ระบบภาษีอากรเป็นเรื่องเข้าใจยาก แต่เป็นประเด็นสำคัญในการประกอบการค้า การบริการของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนยิ่งต้องให้ความเอาใจใส่ และจะยิ่งสำคัญมากขึ้นอีก หากเป็นการประกอบการค้า การบริการ หรือการลงทุนข้ามชาติ ถึงขนาดเป็นปัจจัยที่หนึ่งในการตัดสินใจเลยก็ได้
ผู้ประกอบการค้า การบริการ หรือการลงทุนข้ามชาติ ซึ่งในที่นี้จะเรียกเป็น บริษัทข้ามชาติ ที่ประกอบการในประเทศไทยจำแนกตามภาระภาษีภายใต้ประมวลรัษฎากร ประกอบด้วย 4 แบบหลัก คือ ภาระภาษี (1) ตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง, (2) ตามมาตรา 66 วรรคสอง, (3) ตามมาตรา 76 ทวิ, ตามมาตรา 70, และ (4) บริษัทข้ามชาติที่มีเงินได้อันพึงต้องเสียภาษีตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ประกาศจ่ายเงินปันผลให้บริษัทข้ามชาติ
มาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตาม (1) เป็นกรณีที่บริษัทข้ามชาติเข้ามาดำเนินการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ตามกฎหมายของประเทศไทย ขณะที่มาตรา 66 วรรคสอง ตาม (2) เป็นกรณีที่บริษัทข้ามชาติเข้ามาดำเนินการจัดตั้งสำนักงานสาขา เพื่อประกอบกิจการในประเทศไทย สำหรับมาตรา 76 ทวิ ตาม (3) บริษัทข้ามชาติมิได้จัดตั้งสำนักงานสาขาขึ้น แต่มีลูกจ้าง ผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อขึ้นในประเทศไทย ทำให้ได้รับเงินได้ ซึ่งต่างกับมาตรา 70 ตาม (4) ซึ่งบริษัทข้ามชาติไม่ได้เข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทย และไม่มีลูกจ้าง ผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย แต่มีเงินได้กิดขึ้นใน หรือจ่ายจากประเทศไทย โดยเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) (6) เท่านั้น
เงินได้ตามมาตรา 40 (2) เป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ตามมาตรา 40 (3) เป็นเงินได้จากค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิ์อย่างอื่น มาตรา 40 (4) เป็นเงินได้จำพวกดอกเบี้ย เงินปันผล เงินโบนัส เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์จากการควบ รับช่วง หรือเลิกกิจการ ผลประโยชน์จากการโอนการเป็นหุ้นส่วนและโอนหุ้น มาตรา 40 (5) เป็นประโยชน์ที่ได้จาการให้เช่าทรัพย์สิน การผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน และการผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน และมาตรา 40 (6) เป็นเงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ ซึ่งหมายถึง วิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลป์ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชีและประณีตศิลปกรรม
ภาระภาษีของวิสาหกิจทั้ง 4 แบบข้างต้น เป็นดังนี้
รูปแบบธุรกิจ
ภาระภาษีบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่ตามกฎหมายไทย (มาตรา 66 วรรคหนึ่ง)
สาขา (มาตรา 66 วรรคสอง)
ลูกจ้าง ผู้ทำการแทน
ผู้ทำการติดต่อ
(มาตรา 76 ทวิ)
ไม่ประกอบกิจการ แต่มีเงินได้ในหรือจากประเทศไทย (มาตรา 70)
ภาษีกำไรสุทธิ
30%
30%
30%
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
---15%
ยกเว้นเงินได้จากเงินปันผล 10%
ภาษีเงินกำไรส่งออก (ตามมาตรา 70 ทวิ) และภาษีเงินปันผล (ตามมาตรา 70 สำหรับรายได้ตามมาตรา 40 (4))
10% จากเงินปันผล
10% จากเงินกำไรที่ส่งออกจริง หลังจากหักภาษีเงินกำไรส่งออก
10% จากเงินกำไรที่ส่งออกจริง หลังจากหักภาษีเงินกำไรส่งออก
-
15% ยกเว้นเงินได้จากเงินปันผล 10%
-
การส่งออกกำไร ตามมาตรา 70 ทวิ ไม่ครอบคลุมถึงบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายไทย ไม่ว่าจะเป็นวิสาหกิจไทย หรือวิสาหกิจในเครือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแม่ในต่างประเทศ เนื่องจากต้องเสียภาษีเงินได้จากรายได้เงินปันผลร้อยละ 10 แล้วตามมาตรา 50 (1) (จ) ขณะที่กิจการตามมาตรา 70 ซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ผู้จ่ายเงินได้นั้นมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย หากเป็นเงินได้ประเภทเงินปันผล ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 ตามมาตรา 50 (1) (จ) เช่นกัน โดยรายได้จากเงินปันผลเป็นรายได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) ซึ่งมาตรา 70 ทวิ ไม่ครอบคลุมถึงเนื่องจากได้เสียภาษีจากรายได้เงินปันผลไปแล้วนั่นเอง
กิจการบีโอไอ หรือกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายไทย มาตรา 70 ทวิ จึงไม่ครอบคลุมถึง เนื่องจากถือว่าได้มีการเสียภาษีเงินได้จากเงินปันผลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินกำไรแล้ว ดังนั้น การจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย จึงไม่ต้องเสียภาษีอีก
อย่างไรก็ตาม ด้วยสิทธิประโยชน์ภายใต้การส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ มาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 บัญญัติให้เงินปันผลจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 31 ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตลอดระยะเวลาที่ผู้ได้รับการส่งเสริมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น
นอกจากนั้น ก็ยังต้องพิจารณาไปถึงอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement) ระหว่างประเทศไทย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีข้อบทเหมือนหรือแตกต่างกันในแต่ละฉบับ ซึ่งครอบคลุมเฉพาะภาษีเงินได้และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเท่านั้น รวมถึงนิยามของขอบเขตด้านบุคคล และด้านดินแดนในอนุสัญญาฯ ฉบับที่เกี่ยวข้อง หากใช้สิทธิ์ตามอนุสัญญาฯ แล้วได้ประโยชน์มากกว่าก็เลือกใช้ได้ หลายฉบับใช้วิธีเครดิตภาษีที่ได้ชำระในประเทศแหล่งเงินได้ จะไม่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อนในประเทศถิ่นที่อยู่อีก เมื่อนำเงินได้ก้อนเดียวกันนี้กลับประเทศ แต่แน่นอนว่าการเป็นกิจการบีโอไอน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า แม้ข้อบทในอนุสัญญาฯ ไม่ทุกฉบับยอมรับในเรื่องเครดิตภาษีสมมุติ (Tax Sparing Credit) ก็ตาม
เครดิตภาษีสมมติ หมายถึง กรณีที่ประเทศไทยให้การส่งเสริมการลงทุนเป็นพิเศษแก่นักลงทุนรายนั้น โดยให้การยกเว้นภาษีตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุน จำนวนเงินภาษีที่ได้รับการยกเว้นนั้น ให้ถือเสมือนเป็นเงินภาษีที่นักลงทุนนั้นได้จ่ายให้แก่ประเทศไทย และนำไปใช้เป็นเครดิตภาษีในประเทศที่ตนมีถิ่นที่อยู่ได้
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งหลายประเทศที่พัฒนาแล้วไม่มี ประกอบกับภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายก็มีหลายอัตรา แล้วแต่ประเภทของเงินได้ จึงทำให้เข้าใจยาก การประกอบการค้า การบริการ และการลงทุน ไม่ว่าจะภายในประเทศ หรือระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องมีข้อตกลงในประเด็นเรื่องของภาษีด้วยว่า โครเป็นผู้รับภาระในการเสียภาษี ซึ่งจะมีผลในเรื่องของราคาที่ตกลงกัน โดยเฉพาะคู่ค้าและบริษัทข้ามชาติด้วยแล้ว ประเด็นภาระภาษีห้ามพลาดเด็ดขาด กรณีบริษัทข้ามชาติที่ไม่ตกลงประเด็นภาษีไว้ ก็จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ทำให้ได้เงินไม่เต็มจำนวน ฝ่ายคู่ค้าก็มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายเพื่อนำส่งกรมสรรพากรภายใน 7 วันของเดือนถัดไป หากไม่หักไว้ ก็ต้องรับผิดชอบเสียภาษีนั้นแทน
ฉะนั้น การเป็นกิจการบีโอไอสำคัญไม่น้อย ผู้สนใจขอส่งเสริมการลงทุนก็สามารถศึกษาข้อมูลเบื้องต้นได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ http://www.boi.go.th ซึ่งมี 6 ภาษา ประกอบด้วย ภาษาไทย ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน ให้เลือกใช้ตามความถนัด อีกทั้งบริษัทข้ามชาติก็จำเป็นต้องมีการวางแผนทางภาษีให้ถูกต้องและรัดกุม ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า ทุกวิสาหกิจเห็นความสำคัญในเรื่องนี้กันอยู่แล้ว เพียงแต่การได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องนั้นสำคัญมากกว่า
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ กองการตลาดเพื่อการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8163 หรือที่ marketing@boi.go.th
ผู้ประกอบการค้า การบริการ หรือการลงทุนข้ามชาติ ซึ่งในที่นี้จะเรียกเป็น บริษัทข้ามชาติ ที่ประกอบการในประเทศไทยจำแนกตามภาระภาษีภายใต้ประมวลรัษฎากร ประกอบด้วย 4 แบบหลัก คือ ภาระภาษี (1) ตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง, (2) ตามมาตรา 66 วรรคสอง, (3) ตามมาตรา 76 ทวิ, ตามมาตรา 70, และ (4) บริษัทข้ามชาติที่มีเงินได้อันพึงต้องเสียภาษีตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ประกาศจ่ายเงินปันผลให้บริษัทข้ามชาติ
มาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตาม (1) เป็นกรณีที่บริษัทข้ามชาติเข้ามาดำเนินการจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ตามกฎหมายของประเทศไทย ขณะที่มาตรา 66 วรรคสอง ตาม (2) เป็นกรณีที่บริษัทข้ามชาติเข้ามาดำเนินการจัดตั้งสำนักงานสาขา เพื่อประกอบกิจการในประเทศไทย สำหรับมาตรา 76 ทวิ ตาม (3) บริษัทข้ามชาติมิได้จัดตั้งสำนักงานสาขาขึ้น แต่มีลูกจ้าง ผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อขึ้นในประเทศไทย ทำให้ได้รับเงินได้ ซึ่งต่างกับมาตรา 70 ตาม (4) ซึ่งบริษัทข้ามชาติไม่ได้เข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทย และไม่มีลูกจ้าง ผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย แต่มีเงินได้กิดขึ้นใน หรือจ่ายจากประเทศไทย โดยเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) (6) เท่านั้น
เงินได้ตามมาตรา 40 (2) เป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ตามมาตรา 40 (3) เป็นเงินได้จากค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิ์อย่างอื่น มาตรา 40 (4) เป็นเงินได้จำพวกดอกเบี้ย เงินปันผล เงินโบนัส เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์จากการควบ รับช่วง หรือเลิกกิจการ ผลประโยชน์จากการโอนการเป็นหุ้นส่วนและโอนหุ้น มาตรา 40 (5) เป็นประโยชน์ที่ได้จาการให้เช่าทรัพย์สิน การผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน และการผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน และมาตรา 40 (6) เป็นเงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ ซึ่งหมายถึง วิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลป์ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชีและประณีตศิลปกรรม
ภาระภาษีของวิสาหกิจทั้ง 4 แบบข้างต้น เป็นดังนี้
รูปแบบธุรกิจ
ภาระภาษีบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่ตามกฎหมายไทย (มาตรา 66 วรรคหนึ่ง)
สาขา (มาตรา 66 วรรคสอง)
ลูกจ้าง ผู้ทำการแทน
ผู้ทำการติดต่อ
(มาตรา 76 ทวิ)
ไม่ประกอบกิจการ แต่มีเงินได้ในหรือจากประเทศไทย (มาตรา 70)
ภาษีกำไรสุทธิ
30%
30%
30%
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
---15%
ยกเว้นเงินได้จากเงินปันผล 10%
ภาษีเงินกำไรส่งออก (ตามมาตรา 70 ทวิ) และภาษีเงินปันผล (ตามมาตรา 70 สำหรับรายได้ตามมาตรา 40 (4))
10% จากเงินปันผล
10% จากเงินกำไรที่ส่งออกจริง หลังจากหักภาษีเงินกำไรส่งออก
10% จากเงินกำไรที่ส่งออกจริง หลังจากหักภาษีเงินกำไรส่งออก
-
15% ยกเว้นเงินได้จากเงินปันผล 10%
-
การส่งออกกำไร ตามมาตรา 70 ทวิ ไม่ครอบคลุมถึงบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายไทย ไม่ว่าจะเป็นวิสาหกิจไทย หรือวิสาหกิจในเครือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแม่ในต่างประเทศ เนื่องจากต้องเสียภาษีเงินได้จากรายได้เงินปันผลร้อยละ 10 แล้วตามมาตรา 50 (1) (จ) ขณะที่กิจการตามมาตรา 70 ซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ผู้จ่ายเงินได้นั้นมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย หากเป็นเงินได้ประเภทเงินปันผล ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 ตามมาตรา 50 (1) (จ) เช่นกัน โดยรายได้จากเงินปันผลเป็นรายได้ตามมาตรา 40 (4) (ข) ซึ่งมาตรา 70 ทวิ ไม่ครอบคลุมถึงเนื่องจากได้เสียภาษีจากรายได้เงินปันผลไปแล้วนั่นเอง
กิจการบีโอไอ หรือกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นกิจการที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายไทย มาตรา 70 ทวิ จึงไม่ครอบคลุมถึง เนื่องจากถือว่าได้มีการเสียภาษีเงินได้จากเงินปันผลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินกำไรแล้ว ดังนั้น การจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย จึงไม่ต้องเสียภาษีอีก
อย่างไรก็ตาม ด้วยสิทธิประโยชน์ภายใต้การส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ มาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 บัญญัติให้เงินปันผลจากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 31 ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตลอดระยะเวลาที่ผู้ได้รับการส่งเสริมได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น
นอกจากนั้น ก็ยังต้องพิจารณาไปถึงอนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement) ระหว่างประเทศไทย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีข้อบทเหมือนหรือแตกต่างกันในแต่ละฉบับ ซึ่งครอบคลุมเฉพาะภาษีเงินได้และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเท่านั้น รวมถึงนิยามของขอบเขตด้านบุคคล และด้านดินแดนในอนุสัญญาฯ ฉบับที่เกี่ยวข้อง หากใช้สิทธิ์ตามอนุสัญญาฯ แล้วได้ประโยชน์มากกว่าก็เลือกใช้ได้ หลายฉบับใช้วิธีเครดิตภาษีที่ได้ชำระในประเทศแหล่งเงินได้ จะไม่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อนในประเทศถิ่นที่อยู่อีก เมื่อนำเงินได้ก้อนเดียวกันนี้กลับประเทศ แต่แน่นอนว่าการเป็นกิจการบีโอไอน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า แม้ข้อบทในอนุสัญญาฯ ไม่ทุกฉบับยอมรับในเรื่องเครดิตภาษีสมมุติ (Tax Sparing Credit) ก็ตาม
เครดิตภาษีสมมติ หมายถึง กรณีที่ประเทศไทยให้การส่งเสริมการลงทุนเป็นพิเศษแก่นักลงทุนรายนั้น โดยให้การยกเว้นภาษีตามกฎหมายส่งเสริมการลงทุน จำนวนเงินภาษีที่ได้รับการยกเว้นนั้น ให้ถือเสมือนเป็นเงินภาษีที่นักลงทุนนั้นได้จ่ายให้แก่ประเทศไทย และนำไปใช้เป็นเครดิตภาษีในประเทศที่ตนมีถิ่นที่อยู่ได้
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เป็นภาษีที่ต้องชำระ ซึ่งหลายประเทศที่พัฒนาแล้วไม่มี ประกอบกับภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายก็มีหลายอัตรา แล้วแต่ประเภทของเงินได้ จึงทำให้เข้าใจยาก การประกอบการค้า การบริการ และการลงทุน ไม่ว่าจะภายในประเทศ หรือระหว่างประเทศ จึงจำเป็นต้องมีข้อตกลงในประเด็นเรื่องของภาษีด้วยว่า โครเป็นผู้รับภาระในการเสียภาษี ซึ่งจะมีผลในเรื่องของราคาที่ตกลงกัน โดยเฉพาะคู่ค้าและบริษัทข้ามชาติด้วยแล้ว ประเด็นภาระภาษีห้ามพลาดเด็ดขาด กรณีบริษัทข้ามชาติที่ไม่ตกลงประเด็นภาษีไว้ ก็จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ทำให้ได้เงินไม่เต็มจำนวน ฝ่ายคู่ค้าก็มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายเพื่อนำส่งกรมสรรพากรภายใน 7 วันของเดือนถัดไป หากไม่หักไว้ ก็ต้องรับผิดชอบเสียภาษีนั้นแทน
ฉะนั้น การเป็นกิจการบีโอไอสำคัญไม่น้อย ผู้สนใจขอส่งเสริมการลงทุนก็สามารถศึกษาข้อมูลเบื้องต้นได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ http://www.boi.go.th ซึ่งมี 6 ภาษา ประกอบด้วย ภาษาไทย ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาเยอรมัน ให้เลือกใช้ตามความถนัด อีกทั้งบริษัทข้ามชาติก็จำเป็นต้องมีการวางแผนทางภาษีให้ถูกต้องและรัดกุม ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า ทุกวิสาหกิจเห็นความสำคัญในเรื่องนี้กันอยู่แล้ว เพียงแต่การได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องนั้นสำคัญมากกว่า
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ กองการตลาดเพื่อการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8163 หรือที่ marketing@boi.go.th