xs
xsm
sm
md
lg

นักวิชาการ 41 สถาบันตบหน้าแม้ว รณรงค์ Vote For No Vote

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักวิชาการรวมพลังโค้งสุดท้ายก่อนลากตั้ง รณรงค์ "Vote For No Vote” 2 เม.ย.เพื่อตบหน้า"ทักษิณ"ฐานโคตรคอร์รัปชั่น แนะเอาปากกาติดตัวไปด้วยกันถูกวางยา ด้านอาจารย์จุฬาฯแนะใช้ปากกาแดงกาช่องโนโหวต ด้านศาลปกครองไม่รับไต่สวนฉุกเฉิน คดีที่"สุริยะใส"ร้องสอบ"ทักษิณ"ขณะที่ศาลฎีกาตัดสิทธิ์การสมัครของ"พิมพา"ส่งผล เขต 3 นนทบุรีไม่มีผู้สมัคร ส่วนที่ จ.ภูเก็ต มีการเผาบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

เมื่อวานนี้ (31 มี.ค.)ที่ห้องวรรณไวยทยากร ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เครือข่ายนักวิชาการ 585 คนจาก 41 สถาบัน ได้ร่วมลงนาม และออกแถลงการณ์ในชื่อที่ว่า"แถลงการณ์ถึงประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ขอเชิญชวนให้ไปเลือกตั้ง 2 เม.ย โดยกากบาดงดออกเสียง" โดย นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี ฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธธรรมศาสตร์ ในฐานะตัวแทนจากเครือข่าย อ่านแถลงการณ์ ว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 กำหนดให้ประชาชนมีหน้าที่ต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง กฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 56 จึงกำหนดว่าให้มี"ช่องไม่ลงคะแนน"อยู่ในบัตรเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนสามารถงดออกเสียงได้หากเห็นว่าไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมที่จะลงคะแนนให้ โดยกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 72 วรรค 2 ยังกำหนดด้วยว่า ต้องมีการนับจำนวนคะแนนที่ไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครด้วย การลงคะแนนใน"ช่องไม่ลงคะแนน"หรือที่เรียกว่า การ"งดออกเสียง" จึงเป็นการแสดงออกเจตนารมณ์ทางการเมือง เช่นเดียวกับการลงคะแนนเลือกผู้สมัครผู้หนึ่งผู้ใด

การเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 2 เม.ย.นี้ มีพรรคการเมือง ซึ่งเคยมี ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฏรในสมัยที่แล้วเพียงพรรคเดียว ที่ส่งผู้สมีครลงรับเลือกตั้งคือ พรรคไทยรักไทย ส่วนพรรคฝ่ายค้านไม่มีพรรคใดส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ทำให้ในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง มีเขตการเลือกตั้งถึง 271 เขต จากทั้งหมด 400 เขตที่มีผู้ส มัครเพียงแค่คนเดียวและเนื่องจากกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 74 บัญญัติว่า ในการเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครส.ส.เพียงแค่คนเดียว ถ้าผู้สมัครนั้นได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 20 ของผู้ทีสิทธิเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ต้องจัดให้การมีการเลือกตั้งใหม่ การเลือกตั้งครั้งนี้ การงดออกเสียงจึงมีความหมายในทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่า ถ้าได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 50 จะไม่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ยิ่งทำให้การงดออกเสียงยิ่งมีความหมายต่อการกำหนดอนาคตการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง 2 เม.ย.มากขึ้นไปอีก

“ข้าพเจ้าทั้งหลายซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆจำนวน 585 คน จาก 14 สถาบันมีความเห็นว่าตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่แก้ข้อกล่าวในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การใช้อำนาจโดยมิชอบ การซุกหุ้น การหลีกเลี่ยงภาษี การกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ให้ประชาชนหมดสิ้นข้อสงสัย การชุมนุม การคัดค้าน การต่อต้าน การไม่ยอมรับก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ในภาวะผันผวนตึงเครียดแบ่งเป็นฝักฝ่ายอย่างไม่จบสิ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการยุติปัญหาความขัดแยงโดยสันติ และโดยประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงขอเชิญชวนประชาชนให้ดำเนินการต่อไปนี้

1.ขอเชิญชวนประชาชนให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ถ้าประชาชนไม่ต้องการให้พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ขอให้กากบาทงดออกเสียง โดยทำเครื่องหมายกากบาทในช่องไม่ลงคะแนน ซึ่งอยู่ด้านล่างทางขวามือของบัตรเลือกตั้ง ทั้งในบัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ

2. การใช้ตรายางกากบาทจะเป็นช่องทางให้มีการทุจริตได้ง่าย ดังนั้นจึงขอให้ลงคะแนนโดยใช้ปากกาทำเครื่องหมายกากบาท และเนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งอาจจะมิได้จัดเตรียมปากกาไว้ให้ ประชาชนจึงควรเตรียมปากกาไปเองด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายเลือกตั้งแต่ประการใด

3.ขอให้ประชาชนทั้งประเทศและสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ช่วยกันสังเกตุการณ์ และติดตามการเลือกตั้งตั้งแต่ขั้นตอนการเปิดหีบเลือกตั้ง การลงคะแนน การปิดหีบเลือกตั้ง การขนหีบเลือกตั้ง หากพบการทุจริต เช่น มีการเวียนกันมาลงคะแนนหรือมีการเปลี่ยนหีบเลือกตั้งระหว่างการขนย้าย ขอให้แจ้งข่าวกับสื่อมวลชนให้ทราบทันที

“การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันระหว่างพรรคไทยรักไทย กับการงดออกเสียงของประชาชน พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ อนาคตการเมืองไทยหลังวันที่ 2 เม.ย.จะเป็นอย่างไร อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนคนไทยทุกคน"

นายปริญญา กล่าวด้วยว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้ง 3 พรรค (ประชาธิปัตย์ ชาติไทย มหาชน)ได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อทั้ง 3 พรรครวมกันได้ 13 ล้านเสียง ซึ่งถ้าทั้ง 13 ล้านเสียงมากาบาทในช่องไม่ประสงค์ไม่ลงคะแนนก็จะได้ 13 ล้านเสียง และใน 19 ล้านเสียงที่เลือกพรรคไทยรักไทยครั้งที่แล้วมาลงคะแนนเช่นช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนสัก 3 ล้านคน ก็จะได้เป็น 16ล้านเสียงเท่ากัน ทั้งนี้ เชื่อว่าทักษิณไม่น่าจะได้คะแนนเกินร้อยละ 50 เพราะขนาดครั้งที่แล้วที่ทักษิณ อยู่ในความนิยมสูงสุดยังได้เพียงแค่ร้อยละ 58 แต่ตอนนี้คะแนนนิยมตกลงมามากขนาดดิ่งเหวเลย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เช่นกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับประชาชน

นายปริญญา เชื่อว่าหลังการเลือกตั้ง ปัญหาที่จะตามมาคือ จะได้ส.ส.ไม่ครบ 500 คน และเปิดประชุมสภาไม่ได้ จึงเป็นปัญหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาเป็นนายกฯได้อย่างไร ถ้าไม่สามารถเปิดสภาตามเวลาที่กำหนดเพื่อเพื่อเลือกนายกฯ

"ความผิดที่ นายกฯทำไว้การยุบสภาไม่ได้ทำให้ความผิดหมดลงไปด้วย ซึ่งการยุสภาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ไม่ถูกต้องจะติดตัวท่านไปด้วย เมื่อกลับมาเป็นนายกฯ จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า วิกฤติของบ้านเมืองตอนนี้ไม่จบลงด้วยการเลือกตั้ง เพราะต่อให้คุณทักษิณได้คะแนนเกินร้อยละ50 แต่ปัญหาคือการกระทำของท่านที่มีปัญหาก่อนการยุบสภาไม่ได้หายไป และอยากจะบอกการเลือกตั้งเป็นเพียงเรื่องของที่มาของผู้จะมาใช้อำนาจบริหารประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตยแต่เมื่อเข้ามาแล้วใช้อำนาจอย่างไรเป็นอีกเรื่อง"นายปริญญา กล่าว

**จุฬาฯรณรงค์โนโหวตด้วยปากกาแดง

กลุ่มเครือข่ายจุฬาฯ เชิดชูคุณธรรมนำประชาธิปไตย หรือ จคป. ซึ่งประกอบด้วยอาจารย์ปัจจุบัน อดีตอาจารย์ นิสิตปัจจุบัน นิสิตเก่า และเจ้าหน้าที่จากคณะต่างๆ ของจุฬาลงกรมหาวิทยาลัย ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เรียกร้องให้รักษาการณ์นายกรัฐมนตรี ลาออกโดยทันที รวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยนำปากกาสีแดง เพื่อไปทำเครื่องหมายกากบาท เลือกช่องไม่เลือกผู้ใด พร้อมให้ทุกคนร่วมกันตรวจสอบและจับตาการเลือกตั้งครั้งนี้

ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงแถลงการณ์ฉบับนี้ว่า เป็นการขอให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยพร้อมเพรียง แล้วใช้ปากกาสีแดง ทำเครื่องหมายกากบาท ในช่องไม่เลือกผู้ใด และให้ทุกคนร่วมตรวจสอบและจับตาการเลือกตั้งครั้งนี้ หากพบข้อพิรุธ ให้ถ่ายภาพและบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐาน แล้วส่งหลักฐานไปที่ ตู้ ปณ.339 ปณจ.สามเสนใน เขตพญาไท กทม.10400

พร้อมกันนี้ ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนทุกแขนงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ เสนอข่าวสารต่อประชาชนด้วยความเป็นธรรม โดยขอให้สื่อโทรทัศน์แยกรายงานข่าว และบทวิเคราะห์ข่าวออกจากกันให้ชัดเจนและไม่วิเคราะห์ข่าวในลักษณะที่ชี้นำความคิดของประชาชน โดย จคป.จะร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ ต่อไป

ทั้งนี้ การเลือกตั้งสามารถนำปากกาเข้าคูหาเลือกตั้งได้ โดยไม่ระบุว่าต้องเป็นปากกาสีอะไร จึงไม่ผิดกฎหมาย

**ศาลปกครองไม่รับไต่สวนฉุกเฉิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ ศาลปกครองได้มีการพิจารณาคำร้องขอให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อสั่งให้กกต.ดำเนินคดีการทุจริตการเลือกตั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง โดยขอให้ศาลปกครองสั่งให้ดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 2 เม.ย.49

ทั้งนี้ ศาลได้ใช้เวลาในการพิจารณาตั้งแต่เวลา 10.00 น.จนกระทั้งเวลา 17.00 น.ได้มีคำสั่งออกมาว่า ไม่รับคำขอของกลุ่มพันธมิตร แต่ยังไม่ได้พิจารณาว่าจะรับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่

โดยนายไพศาล บุญเกิด ตุลาการเจ้าของสำนวน ได้อ่านคำสั่งที่ศาลได้ออกคำสั่งยกเลิกคำขอโดยให้เหตุผลประกอบ ว่า พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ไม่ได้บังคับให้ต้องกระทำให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาใดเป็นการแน่นอน โดยต้องขึ้นกับข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ของเรื่องเป็นกรณีๆไป และไม่มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องกระทำเสร็จก่อนการเลือกตั้ง นอกจากนี้แม้หลังเลือกตั้งไปแล้ว ก็ยังมีมาตรการทางกฎหมายในการเพิกถอนสิทธิ์ เช่น การดำเนินคดีอาญาเป็นต้น

“การที่ผู้ฟ้องมีคำขอให้ศาลกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาเมื่อวันที่ 31 มี.ค.อันเป็นเวลาก่อนวันเลือกตั้งเพียง 2 วัน หากศาลจะกำหนดวิธีการชั่วคราว จะกระทบกระเทือนถึงความรับผิดชอบของกกต.และอาจก่อให้เกิดปัญหาอุปสรรคแก่การจัดการเลือกตั้งได้ และเมื่อศาลไม่ออกคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน จึงไม่มีความจำเป็นต้องวินิจฉัยคำขอที่ขอการไตร่สวนฉุกเฉินด้วย" คำสั่งศาลปกครอง ระบุ

**เผาบัญชีรายชื่อเลือกตั้งภูเก็ต

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ภูเก็ตว่า เมื่อคืนวันที่ 30 มี.ค.ได้เกิดเหตุมือมืด เผารายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หน่วยเลือกตั้งที่ 1 ศาลาอเนกประสงค์ วัดสว่างอารมณ์ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต ตั้งแต่บ้านเลขที่ 1/1 –38 หมู่ 2 ต.ราไวย์ อ.เมือง ภูเก็ต จนได้รับความเสียหายทั้งหมด ซึ่งพลเมืองดีได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ต.ฉลอง เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและลงบันทึกประจำวัน เพราะไม่มีผู้เสียหายมาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ

นายวิเศษ สบายจิต ผู้อำนวยการเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.ภูเก็ต กล่าวว่า บัญชีที่ถูกเผา เป็นบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่ติดไว้หน้าหน่วยเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบรายชื่อ ก่อนที่จะเข้าไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.รวมทั้งบัญชีรายชื่อดังกล่าวกกต.ได้ติดให้ประชาชนได้ตรวจสอบเป็นเวลาหลายวันที่ผ่านมา

เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.เพราะกกต.ได้เตรียมบัญชีรายชื่อสำรองไว้แล้ว และ จะไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีอะไร กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากเผาบัญชีรายชื่อผู้สิทธิเลือกตั้ง บางหน่วยเลือกตั้งยังมีการดึงรูปผู้สมัคร เอาสีป้าย ทำลายรูป จำนวนหลายหน่วยด้วยกัน รวมทั้งปัญหาเจ้าหน้าที่ ประจำหน่วยปฏิเสธการทำหน้าที่เป็นกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง เช่น ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 1 และ 2 ต.ฉลอง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร สามารถที่จะหาคนมาทดแทนได้ และเมื่อถึงเวลาเลือกตั้งจริงๆแล้วไม่มีคณะกรรมการมาปฏิบัติได้ก็สามารถดึงประชาชนที่มาใช้สิทธิเลือกตั้งได้

**ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิ์พิมพา

วานนี้ ศาลฎีกาได้มีคำสั่งเพิกถอนการเป็นผู้สมัครลงรับเลือกตั้งของ นางพิมพา จันทรประสงค์ ผู้สมัครส.ส.เขต 3พรรคไทยรักไทย นนทบุรี เนื่องจากมีหลักฐานว่า นางพิมพา ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จึงเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งมีผลให้เขตเลือกตั้งดังกล่าวไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเหลืออยู่เลย เนื่องจากก่อนหน้าศาลฎีกาได้มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิการลงสมัครผู้สมัครพรรคเล็กในเขตเลือกตั้งนี้ไปแล้ว3 คน คือ น.ส.กุลนิษฐ์ พัชราวุธ พรรคกิจสังคม น.ส.ผานิต พลัดโชติวงศ์ พรรคคนขอปลดหนี้ น.ส.วรุณฉัตร บางรักษ์สารสิน พรรคแผ่นดินไทย และเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ก็ได้ตัดสิทธิการลงสมัครของ นายจรุพล เรืองเกตุ พรรคพัฒนาชาติไทย เนื่องจากเป็นสมาชิกเกินกว่า 1 พรรคการเมืองอีก พร้อมกับที่ตัดสิทธิ นางพิมพา

ทั้งนี้กกต .ได้วางแนวทางไว้แล้วว่าในวันที่ 2 เม.ย.เขตเลือกตั้งนี้จะเปิดให้ลงคะแนนเลือกตั้งส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ส่วนเลือกตั้งส.ส.เขต จะมีการสั่งเลือกตั้งใหม่ หลังวันที่ 2 เม.ย.ซึ่งอาจจะพร้อมกับการเลือกตั้งส.ส.ในเขตที่มีผ้สมัครคนเดียวแล้วได้รับการเลือกตั้งมาไม่ถึงร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบการคืนสิทธิและถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้งตามคำสั่งศาลฎีกา ณ วันที่ 31 มี.ค. จะพบว่า มีผลให้เขตเลือกตั้งเหลือผู้สมัครเพียงคนเดียวจากพรรคไทยรักไทยมี 254 เขต โดยจังหวัดที่มีผู้สมัครคนเดียวยกจังหวัด มี 27 จังหวัด ส่วนในพื้นกทม.36 เขต เลือกตั้ง มี 12 เขต ที่มีผู้สมัครคนเดียว

สำหรับเขตที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียวและต้องได้คะแนนถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นๆ ปรากฏว่ามี 17 เขต ที่น่าเป็นห่วงเพราะจากสถิติการเลือกตั้งเมื่อปี 48 ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ ปัตตานี เขต 1 และ 2 จ.พังงา เขต 1 จ.สงขลา 6 จ.สุราษฎร์ธานี เขต 1,3 และ 6 จ.ชุมพร เขต 3 จ.ยะลา เขต 2 จ.เพชรบุรี เขต 1 จ.สุพรรณบุรี เขต 2 จ.ตรัง เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช เขต 2,3 และ 6 จ.นราธิวาส เขต 1 จ.ประจวบคีรีขันธ์ เขต 3
กำลังโหลดความคิดเห็น