ผู้จัดการรายวัน - รังสิตโพล สำรวจพบประชาชนเกินครึ่งไม่พอใจผลงานรัฐบาล “ทักษิณ” ไม่ควรเป็นนายกฯอีกต่อไป ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ กาไม่ประสงค์เลือกใครถึง 45 % ระบุแฟนพันธ์แท้ไทยรักไทยเหลือไม่ถึง 5 ล้านคนในแผ่นดินไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 15.00 น. วันนี้(30 มี.ค. ) นายทวีเกียรติ ประเสริฐเจริญสุข รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต แถลงผลสำรวจ ความเห็นจากประชาชน ในหัวข้อ “ทัศนะประชาชนต่อสถานการณ์การเลือกตั้งที่จะมาถึง” ว่าระหว่าง วันที่ 28-29 มีนาคม 2549 โดยแยกพื้นที่ที่ทำการสำรวจเป็น 24 จุด กระจายไปในเขตกรุงเทพมหานคร 9 แห่ง และต่างจังหวัด 12 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี สมุทรปราการ สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ลำปาง เชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช รวมแล้วมีประชาชนให้ข้อมูลทั้งสิ้น 2,341 ราย
ทั้งนี้ข้อมูลภูมิหลังของผู้ให้ข้อมูลพบว่า เป็นหญิงมากกว่าชายเล็กน้อย (ร้อยละ 51.3 ต่อ 48.7) ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 18-25 ปี (ร้อยละ 36.0) ลดหลั่นลงไปได้แก่ อายุระหว่าง 26-39 ปี 40-59 ปี และ 60 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 35.6 , 22.0 และ 6.4 ตามลำดับ) ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัด(ร้อยละ 68.0) ที่เหลือเป็นคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ร้อยละ 32.0) ส่วนใหญ่เป็นประชาชนทั่วไป (ร้อยละ 47.1) ลดหลั่นลงมาเป็นภาคเอกชนและภาครัฐ/ราชการ (ร้อยละ 30.1 และ 22.8 ตามลำดับ)
ด้านการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่มีการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป (ร้อยละ 63.9) และมีเพียงส่วนน้อยที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี(ร้อยละ 36.1) สำหรับรายได้พบว่าเกินครึ่งเล็กน้อยมีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท(ร้อยละ 52.2) ที่เหลือสูงกว่า 15,000 บาท(ร้อยละ 47.8)
ทั้งนี้พบว่า ความคิดเห็นต่อความพอใจในการบริหารงานของรัฐบาลพบว่า เกินครึ่งไม่พอใจ (ร้อยละ 53.1) ที่เหลือพอใจ (ร้อยละ 28.4) และ ไม่ออกความเห็น (ร้อยละ 18.5) สำหรับความเห็นต่อการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร พบว่า ส่วนใหญ่มองว่าไม่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป (ร้อยละ 57.5) มีเพียงส่วนน้อยที่ยังคิดว่าควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป (ร้อยละ 23.1) และไม่มีความเห็น (ร้อยละ 19.4) ขณะที่ความเห็นต่อการมีนายกรัฐมนตรีพระราชทานพบว่า เกือบครึ่งเห็นด้วย (ร้อยละ 48.4) ที่เหลือไม่เห็นด้วย (ร้อยละ 26.4) และไม่มีความเห็น (ร้อยละ 24.8)
นายทวีเกียรติ กล่าวว่า ทางด้านการเลือกตั้งพบว่า เกือบครึ่งจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งแต่จะกาในช่องไม่ลงคะแนน (ร้อยละ 45.4) ยังคงเลือกพรรคไทยรักไทย (ร้อยละ 19.6) เลือกพรรคอื่น(ร้อยละ 14.6) ไม่ใช้สิทธิเลือกตั้ง(ร้อยละ 9.5) และที่เหลือไม่ออกความเห็น (ร้อยละ 10.9)
อย่างไรก็ตามเมื่อทำการพยากรณ์เฉพาะผู้ที่เลือกพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว หรือมีผู้ที่เคยเลือกไทยรักไทย 19 ล้านเสียง ปัจจุบันยังคงเลือกพรรคไทยรักไทยเพียงร้อยละ 37.7 (หรือประมาณ 7.2 ล้านเสียง) กล่าวได้ว่า 12 ล้านเสียงที่เคยรักและเลือกพรรคไทยรักไทยได้เปลี่ยนใจไปกาช่องไม่ลงคะแนนร้อยละ 37.4 (หรือประมาณ 7 ล้านเสียง) เลือกพรรคอื่นร้อยละ 11.3 (หรือประมาณ 2 ล้านเสียง) ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 4.1 (8 แสนเสียง) และ ไม่มีความเห็นร้อยละ 9.4 (หรือประมาณ 1.9 ล้านเสียง)
“อย่างไรก็ดี เมื่อย้อนไปพิจารณาถึงผลการสำรวจของรังสิตโพลล์ เมื่อวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่าคนที่เคยรักพรรคไทยรักไทยและวันนั้นยังรักพรรคไทยรักไทยมี 10 ล้านเสียง และผลสำรวจเมื่อ 11 มีนาคมที่ผ่านมา มีประมาณ 7 ล้านเสียง และปัจจุบันแม้ว่าฝ่ายพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยจะมีการชุมนุมขับไล่ทุกวัน แต่พรรคไทยรักไทยยังสามารถรักษาแฟนพันธุ์แท้ไทยรักไทยได้ที่ 7 ล้านเสียง แต่ที่น่าสนใจคือ ผู้ที่เคยเลือกพรรคไทยรักไทย แต่ความเห็นปัจจุบันคือจะกาช่องไม่เลือกใครเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 7 ล้านเสียง จากเมื่อ 11 มีนาคม ที่มีประมาณ 4.8 ล้านเสียง”
นายทวีเกียรติ กล่าด้วยว่า หากถามถึงการคาดการณ์ว่าจะมีการโกงเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ในระดับใด พบว่า มีเพียงส่วนน้อยที่มองว่าจะไม่มีการทุจริตเลือกตั้ง (ร้อยละ 6.5) ส่วนใหญ่มองว่าจะมีการทุจริตอย่างมาก ทุจริตพอสมควร และทุจริตน้อย (ร้อยละ 39.8 , 33.7 และ 20.0 ตามลำดับ) และเมื่อถามว่าภายหลังการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ผ่านพ้นไปแล้วสถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคม ในการขับไล่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะสงบเรียบร้อยลงหรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่มองว่าไม่สงบ (ร้อยละ 68.3) มองว่าจะสงบลง(ร้อยละ 14.1) และไม่ออกความเห็น (ร้อยละ 17.6)
ผลการสำรวจนี้ชี้ให้เห็นนัยยะทางการเมืองที่สำคัญ 2 ประการคือ ประชาชนไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 จะทำให้สถานการณ์การขับไล่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะสงบลง และชี้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แม้จะมีพรรคการเมืองใหญ่เพียงพรรคเดียวที่เสนอตัวเข้าแข่งขันแต่ก็จะมีการทุจริตเลือกตั้งครั้งมโหฬารขึ้นอย่างแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 15.00 น. วันนี้(30 มี.ค. ) นายทวีเกียรติ ประเสริฐเจริญสุข รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต แถลงผลสำรวจ ความเห็นจากประชาชน ในหัวข้อ “ทัศนะประชาชนต่อสถานการณ์การเลือกตั้งที่จะมาถึง” ว่าระหว่าง วันที่ 28-29 มีนาคม 2549 โดยแยกพื้นที่ที่ทำการสำรวจเป็น 24 จุด กระจายไปในเขตกรุงเทพมหานคร 9 แห่ง และต่างจังหวัด 12 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี สมุทรปราการ สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ลำปาง เชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช รวมแล้วมีประชาชนให้ข้อมูลทั้งสิ้น 2,341 ราย
ทั้งนี้ข้อมูลภูมิหลังของผู้ให้ข้อมูลพบว่า เป็นหญิงมากกว่าชายเล็กน้อย (ร้อยละ 51.3 ต่อ 48.7) ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 18-25 ปี (ร้อยละ 36.0) ลดหลั่นลงไปได้แก่ อายุระหว่าง 26-39 ปี 40-59 ปี และ 60 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 35.6 , 22.0 และ 6.4 ตามลำดับ) ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัด(ร้อยละ 68.0) ที่เหลือเป็นคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ร้อยละ 32.0) ส่วนใหญ่เป็นประชาชนทั่วไป (ร้อยละ 47.1) ลดหลั่นลงมาเป็นภาคเอกชนและภาครัฐ/ราชการ (ร้อยละ 30.1 และ 22.8 ตามลำดับ)
ด้านการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่มีการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป (ร้อยละ 63.9) และมีเพียงส่วนน้อยที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี(ร้อยละ 36.1) สำหรับรายได้พบว่าเกินครึ่งเล็กน้อยมีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท(ร้อยละ 52.2) ที่เหลือสูงกว่า 15,000 บาท(ร้อยละ 47.8)
ทั้งนี้พบว่า ความคิดเห็นต่อความพอใจในการบริหารงานของรัฐบาลพบว่า เกินครึ่งไม่พอใจ (ร้อยละ 53.1) ที่เหลือพอใจ (ร้อยละ 28.4) และ ไม่ออกความเห็น (ร้อยละ 18.5) สำหรับความเห็นต่อการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร พบว่า ส่วนใหญ่มองว่าไม่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป (ร้อยละ 57.5) มีเพียงส่วนน้อยที่ยังคิดว่าควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป (ร้อยละ 23.1) และไม่มีความเห็น (ร้อยละ 19.4) ขณะที่ความเห็นต่อการมีนายกรัฐมนตรีพระราชทานพบว่า เกือบครึ่งเห็นด้วย (ร้อยละ 48.4) ที่เหลือไม่เห็นด้วย (ร้อยละ 26.4) และไม่มีความเห็น (ร้อยละ 24.8)
นายทวีเกียรติ กล่าวว่า ทางด้านการเลือกตั้งพบว่า เกือบครึ่งจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งแต่จะกาในช่องไม่ลงคะแนน (ร้อยละ 45.4) ยังคงเลือกพรรคไทยรักไทย (ร้อยละ 19.6) เลือกพรรคอื่น(ร้อยละ 14.6) ไม่ใช้สิทธิเลือกตั้ง(ร้อยละ 9.5) และที่เหลือไม่ออกความเห็น (ร้อยละ 10.9)
อย่างไรก็ตามเมื่อทำการพยากรณ์เฉพาะผู้ที่เลือกพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว หรือมีผู้ที่เคยเลือกไทยรักไทย 19 ล้านเสียง ปัจจุบันยังคงเลือกพรรคไทยรักไทยเพียงร้อยละ 37.7 (หรือประมาณ 7.2 ล้านเสียง) กล่าวได้ว่า 12 ล้านเสียงที่เคยรักและเลือกพรรคไทยรักไทยได้เปลี่ยนใจไปกาช่องไม่ลงคะแนนร้อยละ 37.4 (หรือประมาณ 7 ล้านเสียง) เลือกพรรคอื่นร้อยละ 11.3 (หรือประมาณ 2 ล้านเสียง) ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 4.1 (8 แสนเสียง) และ ไม่มีความเห็นร้อยละ 9.4 (หรือประมาณ 1.9 ล้านเสียง)
“อย่างไรก็ดี เมื่อย้อนไปพิจารณาถึงผลการสำรวจของรังสิตโพลล์ เมื่อวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่าคนที่เคยรักพรรคไทยรักไทยและวันนั้นยังรักพรรคไทยรักไทยมี 10 ล้านเสียง และผลสำรวจเมื่อ 11 มีนาคมที่ผ่านมา มีประมาณ 7 ล้านเสียง และปัจจุบันแม้ว่าฝ่ายพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยจะมีการชุมนุมขับไล่ทุกวัน แต่พรรคไทยรักไทยยังสามารถรักษาแฟนพันธุ์แท้ไทยรักไทยได้ที่ 7 ล้านเสียง แต่ที่น่าสนใจคือ ผู้ที่เคยเลือกพรรคไทยรักไทย แต่ความเห็นปัจจุบันคือจะกาช่องไม่เลือกใครเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 7 ล้านเสียง จากเมื่อ 11 มีนาคม ที่มีประมาณ 4.8 ล้านเสียง”
นายทวีเกียรติ กล่าด้วยว่า หากถามถึงการคาดการณ์ว่าจะมีการโกงเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ในระดับใด พบว่า มีเพียงส่วนน้อยที่มองว่าจะไม่มีการทุจริตเลือกตั้ง (ร้อยละ 6.5) ส่วนใหญ่มองว่าจะมีการทุจริตอย่างมาก ทุจริตพอสมควร และทุจริตน้อย (ร้อยละ 39.8 , 33.7 และ 20.0 ตามลำดับ) และเมื่อถามว่าภายหลังการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ผ่านพ้นไปแล้วสถานการณ์ความขัดแย้งทางสังคม ในการขับไล่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะสงบเรียบร้อยลงหรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่มองว่าไม่สงบ (ร้อยละ 68.3) มองว่าจะสงบลง(ร้อยละ 14.1) และไม่ออกความเห็น (ร้อยละ 17.6)
ผลการสำรวจนี้ชี้ให้เห็นนัยยะทางการเมืองที่สำคัญ 2 ประการคือ ประชาชนไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 จะทำให้สถานการณ์การขับไล่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะสงบลง และชี้ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้แม้จะมีพรรคการเมืองใหญ่เพียงพรรคเดียวที่เสนอตัวเข้าแข่งขันแต่ก็จะมีการทุจริตเลือกตั้งครั้งมโหฬารขึ้นอย่างแน่นอน


