“ยีเอส” ย้ำความเป็นเจ้าตลาดแบตเตอรี่ของเมืองไทย ประกาศปีนี้ขอตั้งเป้ายอดขายโต 20% เผยนโยบายเน้นการเปิดศูนย์จำหน่าย ทั่วประเทศ 300 ราย มั่นใจอีก 5 ปีผลิตได้ 4 ล้านลูกต่อปี
นายเกริกกิจ เรืองปิตาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่าผลประกอบการของ ผลประกอบการทั้ง 2 บริษัท คตือ สยามยีเอสเซลส์และสยามยีเอสแบตเตอรี่ ในปี 2548 ที่ผ่านอยู่ที่ 2,857 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547 สูงขึ้นถึง 30 % โดยแบ่งเป็นตลาดโรงงานประกอบรถยนต์ (OEM) มูลค่า 840 ล้านบาท หรือ 700,000 ลูก เติบโตจากปี 2547 ถึง 25 %
ด้านตลาดทดแทน (REM)ซึ่งจัดจำหน่ายให้กับทางบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัดนั้น มีมูลค่ารวม 1,687 ล้านบาท หรือ 1,250,000 ลูก เติบโตจากปี 2547 25 % ส่วนเป้าในปีนี้ 5,504 ล้านบาทหรือคิดเป็น 20% ในช่วง 3 เดือนแรกนี้ก็ทำได้กว่า 500 ล้านบาทแล้ว
นโยบายด้านการตลาดปี 2549 ตั้งเป้าหมายที่จะขยายตัวแทนจำหน่ายภายใต้การดูแลของบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ให้ครบ 300 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นในเขตกรุงเทพและปริมณฑล รวม 100 แห่งและเขตต่างจังหวัดอีก 200 แห่ง
นอกจากนั้นมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต โดยในปี 2549 นี้บริษัทฯ วางเป้าการผลิตอยู่ที่ 2,700,000 ลูก เพิ่มขึ้น 20 % จากปีที่แล้ว และในปีนี้ทางยีเอสแบตเตอรี่วางเป้าหมายผลประกอบการเติบโตขึ้นอีก 20 % จากปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 5,504 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น บริษัท สยามยีเอสแบตเตอรี่ จำกัด 3,428 ล้านบาท และ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด 2,076 ล้านบาท
นายวิชิต บัวศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม ยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯได้ปรับราคาขึ้น 7% เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากราคาของวัตถุดิบหลักคือตะกั่วมีราคาสูงขึ้น ส่วนแบตเตอรี่รถกอล์ฟหรือแบตเตอรี่สำรองไฟ รวมถึงแบตเตอรี่รถยกไฟฟ้านั้น ทางยีเอสก็ยังทำการผลิตอยู่ต่อเนื่องและในอีก 5 ปีนับจากนี้บริษัทฯวางแผนที่จะเพิ่มการผลิตขึ้นอีกจากปีละ 2.7 ล้านลูก เป็น 4 ล้านลูกต่อปี
ส่วนตลาดการส่งออกนั้น ในปี 2548 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงขึ้นถึง 60% คิดเป็นมูลค่า 330 ล้านบาท โดยมีการส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศใกล้เคียง อาทิ ญี่ปุ่น, พม่า, มาเลเซีย, กัมพูชา, ลาว และกลุ่มประเทศในแถบตะวันออกกลาง ในส่วนของ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้ดูแลการจำหน่ายตลาดภายในประเทศ ผ่านตัวแทนจำหน่ายของยีเอส จำนวน 300 แห่งทั่วประเทศ ในปี 2548 ที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้ 1,220,000 ลูก คิดเป็นมูลค่า 1,730 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตเมื่อเทียบกับปี 2547 กว่า 20 % และในอนาคตทางบริษัทวางแผนที่จะส่งออกเพิ่มขึ้นอีก
นายเกริกกิจ เรืองปิตาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่าผลประกอบการของ ผลประกอบการทั้ง 2 บริษัท คตือ สยามยีเอสเซลส์และสยามยีเอสแบตเตอรี่ ในปี 2548 ที่ผ่านอยู่ที่ 2,857 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547 สูงขึ้นถึง 30 % โดยแบ่งเป็นตลาดโรงงานประกอบรถยนต์ (OEM) มูลค่า 840 ล้านบาท หรือ 700,000 ลูก เติบโตจากปี 2547 ถึง 25 %
ด้านตลาดทดแทน (REM)ซึ่งจัดจำหน่ายให้กับทางบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัดนั้น มีมูลค่ารวม 1,687 ล้านบาท หรือ 1,250,000 ลูก เติบโตจากปี 2547 25 % ส่วนเป้าในปีนี้ 5,504 ล้านบาทหรือคิดเป็น 20% ในช่วง 3 เดือนแรกนี้ก็ทำได้กว่า 500 ล้านบาทแล้ว
นโยบายด้านการตลาดปี 2549 ตั้งเป้าหมายที่จะขยายตัวแทนจำหน่ายภายใต้การดูแลของบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ให้ครบ 300 แห่งทั่วประเทศ แบ่งเป็นในเขตกรุงเทพและปริมณฑล รวม 100 แห่งและเขตต่างจังหวัดอีก 200 แห่ง
นอกจากนั้นมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต โดยในปี 2549 นี้บริษัทฯ วางเป้าการผลิตอยู่ที่ 2,700,000 ลูก เพิ่มขึ้น 20 % จากปีที่แล้ว และในปีนี้ทางยีเอสแบตเตอรี่วางเป้าหมายผลประกอบการเติบโตขึ้นอีก 20 % จากปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 5,504 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น บริษัท สยามยีเอสแบตเตอรี่ จำกัด 3,428 ล้านบาท และ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด 2,076 ล้านบาท
นายวิชิต บัวศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม ยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯได้ปรับราคาขึ้น 7% เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากราคาของวัตถุดิบหลักคือตะกั่วมีราคาสูงขึ้น ส่วนแบตเตอรี่รถกอล์ฟหรือแบตเตอรี่สำรองไฟ รวมถึงแบตเตอรี่รถยกไฟฟ้านั้น ทางยีเอสก็ยังทำการผลิตอยู่ต่อเนื่องและในอีก 5 ปีนับจากนี้บริษัทฯวางแผนที่จะเพิ่มการผลิตขึ้นอีกจากปีละ 2.7 ล้านลูก เป็น 4 ล้านลูกต่อปี
ส่วนตลาดการส่งออกนั้น ในปี 2548 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงขึ้นถึง 60% คิดเป็นมูลค่า 330 ล้านบาท โดยมีการส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศใกล้เคียง อาทิ ญี่ปุ่น, พม่า, มาเลเซีย, กัมพูชา, ลาว และกลุ่มประเทศในแถบตะวันออกกลาง ในส่วนของ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้ดูแลการจำหน่ายตลาดภายในประเทศ ผ่านตัวแทนจำหน่ายของยีเอส จำนวน 300 แห่งทั่วประเทศ ในปี 2548 ที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้ 1,220,000 ลูก คิดเป็นมูลค่า 1,730 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตเมื่อเทียบกับปี 2547 กว่า 20 % และในอนาคตทางบริษัทวางแผนที่จะส่งออกเพิ่มขึ้นอีก