xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อมุสลิมเข้ารีตเป็นคริสเตียน

เผยแพร่:   โดย: ชัยสิริ สมุทวณิช

ดูเหมือนว่าในศาสนาอื่น การหันไปนับถือศาสนาอื่นไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธที่หันไปนับถือพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาคริสต์ก็มีถมเถไป และชาวพุทธไปนับถืออิสลามก็มี

ไหนจะยังมีคนดังอย่างโมฮัมหมัด อาลี ชื่อเดิม แคชเชียส เคลย์ นั่นก็เปลี่ยนไปเป็นอิสลามก็ไม่เห็นมีใครว่า ยังชกมวยเป็นแชมป์โลกชื่อดังและได้รับการยกย่อง

เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือไม่นับถือศาสนานั้นเป็นเรื่องที่ได้รับการประกันในรัฐธรรมนูญในเกือบทุกประเทศอยู่แล้ว เว้นแต่ในประเทศที่นับถืออิสลาม ตามความเข้าใจของผมนะครับ ผิดถูกอย่างไรช่วยบอกผมด้วย

แต่มันมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ก็เพราะว่านายอับดุล ราห์มาน ในกรุงคาบูล อัฟกานิสถาน นี่แกเกิดเปลี่ยนใจ เอาใจออกห่างจากอิสลามแล้วหันมานับถือศาสนาคริสต์เข้า มันก็เป็นเรื่อง

แถมมันเกิดกรณีหย่าร้างกับภรรยาเสียอีก พอถึงเหตุที่ต้องสู้กันในศาลเพื่อขอสิทธิในการแบ่งลูกกัน ครอบครัวของฝ่ายภรรยาก็บอกกับศาลว่า ตัวนายอับดุล ราห์มาน นั้นไม่สมควรที่จะเลี้ยงดูบรรดาลูกๆ ก็ด้วยเหตุผลสำคัญว่า ตัวเขาหันไปนับถือศาสนาคริสต์มาได้ 16 ปีแล้ว

ศาลรับฟังอย่างนี้แล้ว นอกจากไม่ยอมให้นายอับดุลได้รับสิทธิ์ดูแลลูกๆ แล้ว ยังให้โทษเขาร้ายแรงถึงขั้นที่ต้องถึงประหารอีกกระทงหนึ่งด้วยตามกฎหมายอิสลาม เว้นแต่ว่านายอับดุลจะปฏิเสธและยกเลิกการนับถือศาสนาคริสต์เสียโดยเร็ว หาไม่แล้วศาลก็จะพิพากษาเขาโดยลงโทษให้เขาต้องได้รับกรรมถึงขั้นเสียชีวิต

แน่นอนว่ากรณีคำพิพากษาแบบนี้ บ่งบอกถึงความไม่สมดุลระหว่างจารีตประชาธิปไตยในอัฟกานิสถานกับคำนิยมของแนวอนุรักษนิยมอิสลามซึ่งทางศาลพิทักษ์ไว้ในสังคมของชาวแอฟริกัน

แต่อีกด้านหนึ่งรัฐธรรมนูญแห่งรัฐกลับระบุว่า ผู้นับถือศาสนาอื่นสามารถที่จะปฏิบัติพิธีกรรมตามแนวทางของตนได้ตามขอบเขตของกฎหมาย และในแง่นี้ประเทศอัฟกานิสถานก็ต้องยึดหลักการตามคำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนตามแนวทางสากลที่ยึดถือด้วย ซึ่งปกป้องเสรีภาพและสิทธิส่วนบุคคลที่จะเปลี่ยนหรือหันไปนับถือศาสนาอื่นใดก็ได้

แต่ว่าในอีกด้านหนึ่งนั้น รัฐธรรมนูญอัฟกานิสถานกลับระบุว่า กฎหมายใดไม่อาจขัดต่อความเชื่อใดๆ ที่กำหนดไว้ในศาสนาอิสลาม

ซึ่งตีความได้ชัดเจนเหมือนกันว่า ศาลมีอำนาจที่จะพิพากษาโดยการวินิจฉัยความเห็นไปตามกฎหมายอิสลามได้อย่างเคร่งครัดและกว้างขวาง ซึ่งสำนักกฎหมายของอิสลามหลายแห่งต่างก็ให้ข้อคิดว่า การลงโทษต่อผู้ละทิ้งศาสนาจะเผชิญชะตากรรมรุนแรงอย่างไร

ซึ่งแน่นอนว่าในกรณีของนายอับดุล ราห์มาน นั้น ความยุติธรรมขึ้นตรงต่อการตีความตามที่ศาลในกรุงคาบูลวินิจฉัยโทษถึงขั้นลงโทษด้วยความตาย

ความจริงแล้ว หลังยุคตอลิบานเป็นต้นมา กระบวนการยุติธรรมในอัฟกานิสถานก็ยังคงถูกใช้เป็นกลไกทางการเมืองอยู่อย่างต่อเนื่อง

และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลนั้นเป็นคนอนุรักษนิยมอย่างรุนแรง แถมยังมีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองอิสลามที่มีอิทธิพลและได้อำนาจรัฐและชอบใช้ศาลเป็นเครื่องมือรังแกผู้อื่น รวมทั้งใช้อำนาจเกินขอบเขตแม้แต่นอกอำนาจศาล

เช่นเขาเคยใช้อำนาจนอกศาลผ่านทางอิทธิพลทางการเมืองห้ามที่จะให้มีโรงเรียนผสมชาย-หญิงอยู่หลายครั้ง รวมทั้งพยายามกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของประธานาธิบดีฮามิด คาซัย จากการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2004 แถมยังจำคุกบรรณาธิการหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ทั้งนี้โดยอ้างกฎหมายอิสลามทุกครั้ง

กล่าวอีกว่าศาลนั้นได้ก้าวเลยขอบเขตอำนาจของตัวเองออกไปมาก และทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องความก้าวร้าวรุนแรงกว่าที่มันควรเป็น ยิ่งกว่านั้นทำให้พรรคการเมืองของรัฐบาลได้เอาพรรคพวกและสมุนเข้าไปอยู่ในศาลชั้นต้นจำนวนมาก โดยตั้งผู้พิพากษาเต็มอัตราโดยคนที่ตั้งนี้ส่วนใหญ่มีการศึกษาด้านศาสนาอิสลามแต่ไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายแอฟริกันหรือกฎหมายใดๆ เลยด้วยซ้ำ

เรื่องราวของนายอับดุลกลายเป็นข่าวดังทั่วโลก ทั้งบุชและพระสันตะปาปาต่างออกมาเรียกร้องให้ทางการอัฟกานิสถานเปลี่ยนแปลงท่าทีเสียใหม่

แน่นอนว่าข้อเรียกร้องย่อมส่งผลให้ทีท่าของศาลต้องรับฟังด้วย

ในที่สุดศาลที่กรุงคาบูลก็ต้องยอมถอนคดีออกไปโดยอ้างว่าขาดหลักฐานพอเพียง

แต่จริงๆ แล้ว เป็นที่รู้ๆ กันว่า ประธานาธิบดีฮามิด คาซัย นั้นถูกกดดันหนักจากประชาคมนานาชาติให้ปล่อยนายอับดุลเป็นอิสระ แม้ว่าศาลจะปล่อยตัวเขาก็ตาม ซึ่งเสียงมากเพราะว่าพวกมุสลิมที่คาบูลเรียกร้องให้ประหารชีวิตนายอับดุลเสียโดยเร็ว แต่เจ้าหน้าที่ศาลบอกว่าจะสอบคดีก่อนที่จะปล่อยตัวเขาอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นศาลก็อ้างว่าขาดหลักฐานและจำต้องปล่อยตัวเขาอยู่ดี

แรงกดดันให้ปล่อยตัวนายอับดุลมาจากอเมริกา อังกฤษและหลายประเทศในตะวันตก เฉพาะอย่างยิ่งประธานาธิบดีบุช และนางคอนโดลีซซ่า ไรซ์ ถึงกับโทรศัพท์โดยตรงถึงประธานาธิบดีฮามิด คาซัย ให้ตัดสินใจโดยให้มีข้อสรุปต่อคดีที่เป็นที่น่าพอใจ

พวกนักกฎหมายมุสลิมซึ่งสนับสนุนโทษประหารกล่าวว่าพระโมฮัมหมัดในศตวรรษที่ 7 เคยมีบันทึกว่าได้กล่าวถึงบุคคลที่เปลี่ยนจากศาสนาอิสลามไปเป็นศาสนาอื่นว่าจะต้องโดนฆ่าทิ้ง

แต่ว่าตามคัมภีร์อัลกุรอาน กลับระบุว่าไม่มีการลงโทษประหารและก็ไม่เคยมีคำกล่าวจากพระโมฮัมมัดเกี่ยวกับการให้ฆ่าด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังจากนายอับดุลได้รับการปล่อยตัวแล้ว ก็มีประชาชนในคาบูลร่วม 200 คน ออกมาประท้วงที่ประเทศตะวันออกเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในคดีของนายอับดุล

ส่วนนายอับดุลถูกส่งไปให้แพทย์ดูแล โดยโรงพยาบาลประสาทกำลังตรวจสภาพจิตใจเขาอยู่ และดูว่าคดีจะเป็นอย่างไร เนื่องจากพวกญาติเขาบอกว่าตัวนายอับดุลมีสภาพจิตใจไม่ปกติ ซึ่งศาลระบุว่า หากจิตใจเขาผิดปกติศาลก็ไม่พิจารณาคดีอีกต่อไป และเป็นอิสระตลอดไป
นี่แหละครับ... ปัญหาทั้งปวงคงจะจบสิ้นกันซึ่งแน่นอนว่ากฎหมายอิสลามนั้นยากที่จะละเมิดครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น