ธีรยุทธ"อัดรัฐบาลแห่งชาติ เป็นรัฐบาลเสียสติแห่งชาติเพราะ"ทักษิณ"เปรียบเหมือนคนเสียสติ จวก "แม้ว จ๊กมก"ทำระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องตลก เพราะผู้นำโกงกิน ใช้อำนาจซ้ำทำร้ายประเทศไทย จนเป็นที่น่าสมเพชในสายตาของต่างชาติ พร้อมเสนอพันธมิตรฯ หยุดพักชุมนุมแบบยืดเยื้อ เปลี่ยนมาใช้ยุทธวิธี"พักยก เลือกชกหนัก"ในช่วงหลังเลือกตั้ง พร้อมชี้ช่องให้ประชาชนประกาศ "กูไม่รับโว้ย"หากทรท.ได้คะแนน 30 ล้านเสียงจริง ระบุ "มาตรา 7 เป็นเพียงประเด็นย่อยที่นำไปสู่การแก้ไขวิกฤตเท่านั้น
นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาวิจารณ์การเมืองในภาวะหลังเลือกตั้งว่า จะเกิดวิกฤติประชาธิปไตยทั้งระบบ เผด็จการพรรคเดียว ดังนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงควรพักยก เพื่อชิ่งปัญหาให้ทักษิณ
นายธีรยุทธ ได้ให้ความเห็นต่อรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุในการปราศรัยหาเสียงที่วงเวียนใหญ่ ว่า ข้อเสนอนี้เหมือนการตั้งรัฐบาลเสียสติแห่งชาติ เพราะทักษิณเหมือนคนเสียสติ สร้างปัญหาทั้งหมดให้เกิดขึ้นจากโลภะ โทสะ โมหะ ของตนล้วนๆ จนต้องกะล่อนเอาตัวรอดไปวันต่อวัน เพราะก่อนยุบสภาทักษิณ มีอำนาจ มีความชอบธรรมสูงมาก จนสร้างความสมานฉันท์ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชาติทุกอย่างได้ กลับไม่ทำ แต่พอถูกเปิดโปงเรื่องทำผิดกฏหมาย โกงภาษี ทักษิณก็ทำสิ่งที่ใหญ่โตมากคือ ยุบสภาเสนอการปฏิรูปการเมือง และหลังสุดก็เสนอจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมา
นายธีรยุทธ กล่าวว่า หลังเลือกตั้ง 2 เม.ย.ปัญหาของประเทศเปลี่ยนจากวิกฤติผู้นำ เพิ่มวิกฤติรัฐธรรมนูญ นำไปสู่วิกฤติประชาธิปไตยทั้งระบบ ดังนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ควรหยุดพักชุมนุมแบบยืดเยื้อก่อนการเลือกตั้ง เปลี่ยนเป็นการพักยก เลือกชกหนักเป็นคราวในช่วงหลังเลือกตั้ง 2 เม.ย.ด้วยเหตุผลดังนี้
1. เป้าหมายสุดท้ายของการต่อสู้ก็เพื่อการปฏิรูปการเมือง เพื่อสร้างการตรวจสอบให้ระบบการเมืองมีคุณธรรม ความรับผิดชอบ ทั้งหมดต้องทำโดยผ่านรัฐธรรมนูญปัจจุบัน คนจำนวนมากเห็นด้วยกับการปฏิรูปการเมือง แต่ต้องการให้อำนาจของรัฐธรรมนูญต่อเนื่องไปโดยไม่ต้องเว้นวรรค จึงต้องการแสดงสิทธิในการเลือกตั้งครั้งนี้ พันธมิตรควรพักยกชั่วคราว เพื่อแสดงวุฒิภาวะและความเคารพสิทธิ ซึ่งกันและกัน แล้วนัดชุมนุมใหญ่ได้อีกหลังเลือกตั้ง อย่างไม่สยบยอมต่อคนชั่วโกงเมือง จะทำให้ได้แนวร่วมเพิ่มขึ้น
2. การชุมนุมบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว การชุมนุมซึ่งคือการแข็งขืนอารยะ ได้ทำให้อำนาจทักษิณเสื่อมถอย จึงควรเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นการชุมนุมใหญ่เป็นคราวๆ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
3. หลังวันที่ 2 เม.ย. นอกจากวิกฤติจริยธรรมผู้นำที่ดำรงอยู่แล้ว ยังจะเพิ่มวิกฤติรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีก ดังนี้
3.1 สถานะผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นอำนาจของประชาชนจะเกิดขึ้นทันที ในวันเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 117
3.2 การเลือกตั้ง 2 เม.ย. จะยังได้สมาชิกรัฐสภาไม่ครบทั้งส.ส.เขตและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ใดจะละเมิดมิได้ ถ้าได้ไม่ครบก็จะเป็นที่ถกเถียงครั้งใหญ่ว่า ความเป็นสภาเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า เมื่อไม่ครบองค์ ความเป็นสภายังไม่เกิด
3.3 ถ้าได้ส.ส.ไม่ครบ และมีการตีความว่ารัฐสภาเกิดขึ้นแล้ว จะมีปัญหาว่าบางภาคโดยเฉพาะภาคใต้ ไม่มีระบบตัวแทนที่เหมาะสมถูกต้อง (underrepresent) ภาวะภูมิภาคนิยม และความขัดแย้งเชิงภูมิภาค อาจก่อตัวขึ้น
3.4 ถ้าทักษิณในฐานะนายกฯรักษาการ กราบบังคมทูลขอทรงเปิดรัฐสภา จะมีเสียงทักท้วงถึงความเหมาะสม เพราะสภาที่แล้ว ถูกทักษิณยุบอย่างไม่มีเหตุผล เพื่อหนีประเด็นจริยธรรมซุกหุ้น โกงภาษี และยังเอารัดเอาเปรียบคู่แข่ง จนถึงขั้นถูกบอยคอต ซึ่งเกือบไม่เคยเกิดขึ้น เหตุการณ์ยังบ่งชี้ว่า การเลือกตั้ง 2 เม.ย. อาจเต็มไปด้วยความสกปรก ดังปรากฏข่าวการจัดฉาก ฉ้อฉล ของพรรคการเมือง เจ้าหน้าที่ขององค์กรอิสระ เช่น ปลอมคุณสมบัติผู้สมัคร ซื้อพรรค และผู้สมัครส.ส.นอมินี ซื้อคะแนนเสียงให้ตัวเองให้คู่แข่ง การจะให้สภาเปิดประชุมได้ ยังต้องยืมมือกกต.รับรองการเลือกตั้งให้สะอาด และศาลรัฐธรรมนูญต้องตีความขัด กับคำวินิจฉัยครั้งแรกของตัวเอง
3.5 พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 116 ถ้าจะมีการยุบสภาหลังเลือกตั้ง 2 เม.ย. จะต้องรอให้เกิดสภาก่อน และต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมรองรับ
4. วิกฤติยกระดับเป็นวิกฤติระบอบประชาธิปไตยไทยโดยรวม เพราะถ้ามองประชาธิปไตยเป็นกระบวนการ หรือวงจร 2 ส่วน ขึ้นสู่อำนาจของพรรคการเมือง และการใช้อำนาจกับการตรวจสอบอำนาจ เราจะเห็นได้ว่า ขณะนี้ ในซีกล่างคือ กระบวนการเลือกตั้งมีปัญหาจากนโยบายประชานิยม ส่วนในซีกบนมีปัญหาในเรื่องการใช้อำนาจ และคอร์รัปชั่นอย่างขาดความละอาย และการตรวจสอบไม่ได้ผล เมื่อทักษิณ เจอปัญหาในซีกบน ก็จะยุบสภา หันมาใช้กระบวนการ(กติกา)ในซีกล่าง แล้วได้รับเลือกขึ้นไปใหม่ ทำซ้ำไปมาได้ไม่รู้จบ จนเป็นปัญหาประชาธิปไตยทั้งกระบวนการ
"ในเวลาข้างหน้าโจทย์ใหญ่นี้จะตกอยู่กับทักษิณ คนจะตั้งคำถามว่าต้นเหตุเกิดจากเพื่อตัวทักษิณคนเดียว บ้านเมืองจึงปั่นป่วนขนาดนี้ เกิดวิกฤติขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ทักษิณยังจะอาจเอื้อมขอให้พระราชทานเปิดสภาให้ประเทศมีการปกครองแบบสภาพรรคเดียว และหวนกลับมาเป็นนายกฯอีกหรือ หากมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ยุบสภา อ้างกติกาเลือกตั้ง หวนกลับมาอีกไม่รู้จบหรือ "
นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า สำหรับโทษทัณฑ์ 10 ประการ ที่ทักษิณสร้างและย้อนกลับเข้าตัวเองรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเหมือน "เราบ่ผิดท่านมาล้าง ดาบนั้นคืนสนอง" ในกรณีที่ทักษิณหมกเม็ดปัญหาหุ้นแอม เพิลริช และ วินมาร์ค ไว้นานจนปัญหามาโผล่เมื่อขาย ชินคอร์ป ด้วยความกลัวจะถูกต้อนจนมุม ทักษิณจึงยุบสภา ใช้อำนาจการควบคุมสื่อ ใช้เล่ห์เหลี่ยมการเมือง ทำลายพลังคัดค้านของประชาชนโดยหวังให้การเลือกตั้ง 2 เม.ย. ฟอกตัวเองกลับมาเป็นนายกฯ ได้อีก แต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ "ดาบจะคืนสนอง"ทักษิณ เพราะโทษทัณฑ์ 10 ประการ คือ ไม่ว่าจะได้รับคะแนนเสียงเท่าใด การขาดความชอบธรรมที่จะปกครองประเทศในแง่การไร้คุณธรรมและจริยธรรม จะยังคงอยู่ ไม่มีสิ่งใดมาลบล้างได้ จะเพิ่มปัญหาว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ เป็นการโกงกติกา ฉ้อฉลอำนาจองค์กรอิสระ จ้างพรรคเล็ก ฮั้วคะแนนเสียง ฯลฯ
เมื่อทอดเวลายาวขึ้น คนทั่วไปจะมองเห็นว่า เพื่อให้ตระกูลตัวเองไม่ต้องเสียภาษีของหุ้นชิน ทักษิณสามารถทำลายบั่นทอนองค์กรสถาบันต่างๆ ของประเทศให้คนเสื่อมศรัทธาลงได้เกือบหมด เช่น ทำลายความน่าเชื่อถือของวุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. ปปง. กกต. กลต. กรมสรรพากร สื่อโทรทัศน์ของรัฐ ทำลายประเพณีการยุบสภา ประเพณีการเจรจาประนีประนอม ตามเหตุผลพอสมควรระหว่างพรรคการเมือง ฯลฯ
นอกจากนี้ การที่จะให้ทักษิณอยู่ในอำนาจต่อไป กกต.จะต้องตะแบงในเรื่องทรท.โกงกติกา จ้างพรรคเล็กฮั้วคะแนนเสียงหรือไม่ รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องตะแบงตีความรัฐธรรมนูญให้ผลการเลือกตั้งใช้ได้ และเปิดรัฐสภาได้ ท่ามกลางการประท้วงเพิ่มเติมขึ้นของประชาชน ฝ่ายค้าน นักวิชาการ คนทั่วไปจะมองว่า ในอนาคตการที่นายกฯรักษาการทักษิณ จะขอพระราชทานเปิดสภาใหม่ ซึ่งเกิดจากการเลือกตั้งสกปรก และให้ประธานรัฐสภาคนใหม่กราบบังคมทูลเสนอชื่อ ทักษิณ ซึ่งมีปัญหาซุกหุ้น ปัญหาคอร์รัปชั่นโคตรานุวัตน์ ผลประโยชน์ทับซ้อน การเลี่ยงภาษี ปั่นหุ้น ขาดจริยธรรม ขึ้นเป็นนายกฯอีกหน เป็นการกระทำที่อาจเอื้อม และไม่สมควรอย่างยิ่ง
นายธีรยุทธ กล่าวว่า คนไทย กลุ่มองค์กร สถาบันต่างๆ ประเทศไทยจะทนอยู่ใต้การปกครองของนายกรัฐมนตรีที่ชมชอบผลประโยชน์ทับซ้อน ขาดคุณธรรม จริยธรรมในเกือบทุกด้าน และมอบอำนาจเป็นผู้เจรจาความเมือง สนธิสัญญา ระหว่างประเทศ ต้อนรับทูตานุทูต ประมุขของประเทศอื่นอีก 4 ปีหรือ คนไทยจะยอมให้นายกฯ ที่ขายบริษัทตนเองที่เป็นกิจการเกี่ยวข้องกับความมั่นคง ความผาสุกของประชาชนให้แก่ต่างชาติ ที่มีความขัดแย้งผลประโยชน์ด้านความมั่นคงกับประเทศไทย โดยไม่ทำหน้าที่ผู้นำติติง ทักท้วงพฤติกรรมนี้เลย เป็นผู้รักษาความมั่นคง เอกราชของประเทศต่อไปหรือ
การปฏิรูปการเมืองไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ถ้าสภาเป็นสภาไทยรักไทย เพราะจะไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคประชาธิปัตย์ ชาติไทย มหาชน ฯลฯ นักวิชาการ และภาคประชาชน วิกฤติการเมืองก็จะยืดเยื้อเป็นแรมปี พลังประชาชนไม่หยุดการเคลื่อนไหวต่อสู้ แต่จะยิ่งขยายรูปแบบไปเรื่อยๆ ธุรกิจและเศรษฐกิจจะทรุดต่ำลง แต่ประชาชนจะมองเห็นว่า การดื้อรั้น อยากอยู่ในอำนาจของทักษิณคือต้นตอของปัญหามากขึ้น
ถ้าทักษิณ จะถอยฉากให้คนอื่นเป็นนายกฯนอมินี ตัวเองเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง กองทัพ ตำรวจ ข้าราชการ ชนชั้นสูงซึ่งถือเอาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมีประเพณีว่านายกฯจะต้องถวายรายงานขอพระราชทานความเห็น แง่คิดต่างๆ จะทนรับระบบการปกครองไทยที่เปลี่ยนไปคล้ายสิงคโปร์ คือนายกฯ ต้องขอคำแนะนำ คำวินิจฉัยจากอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยอีกขั้นหนึ่งก่อนได้หรือไม่
"ทักษิณ สามารถทำให้ระบอบประชาธิปไตยไทยเป็นเรื่องตลก ที่ตัวเองสามารถชักใยให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ได้อย่างสบายใจ หม่ำ จ๊กมก สร้างสิ่งที่ดีกับตลกเมืองไทย แต่ แม้ว จ๊กมก ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าสมเพช ในสายตาต่างชาติ เพราะผู้นำที่โกงกิน ใช้อำนาจทำร้ายประเทศซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ยังมาเป็นตัวแทนของประเทศได้"
หากกลุ่มการเมืองภาคประชาชนต่อต้านทักษิณพ่ายแพ้ โครงสร้างอำนาจในประเทศไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไม่หวนกลับมาเหมือนเดิม กล่าวคือ เราจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำการเมืองที่เข้มแข็ง เพราะมีฐานการเงินสูงที่สุดในประเทศ มีฐานอำนาจเหนือข้าราชการ มีอำนาจเหนือกองทัพ ตำรวจ มีอำนาจทางอุดมการณ์ประชานิยม มีอำนาจเหนือสื่อมวลชน และอำนาจเหนือมวลชน เป็นการเมืองประชานิยมที่ชาวบ้านจัดตั้งกันเป็นภาค จังหวัด เขตเพื่อปกป้องทักษิณ ประเทศจะมีโครงสร้างอำนาจที่มั่นคง ภายใต้อำนาจทักษิณ และทรท.ไปอีก 20-30 ปี เหมือนอาร์เจนตินา หรือฟิลิปินส์ในยุคมาร์กอส คนไทยที่เคยต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยมาด้วยเลือดเนื้อชีวิตของตนเองจะทนรับได้หรือไม่
นายธีรยุทธ กล่าวว่า ปัจจุบันอยู่ในวิกฤติขั้นที่ทุกฝ่ายต้องใช้สติปัญญามากที่สุด ตามทฤษฎีสังคมวิทยาชี้ว่า วิกฤติมักมี 5 ขั้นใหญ่ คือ 1. เริ่มต้น(ปิดกั้นเสรีภาพสื่อผู้จัดการ) 2. ขยายตัว (ขายชินคอร์ปให้เทมาเส็ก) 3. สังคมหาทางแก้ไข รอมชอม (พีเน็ท ทปอ. ประธานองคมนตรี) 4. แตกหัก 5. กลับสู่สภาพปกติหรือก้าวไปสู่คุณภาพใหม่ (ซึ่งนักคิด นักวิชาการของประเทศต้องทำงานหนัก เตรียมล่วงหน้าไว้) ปัจจุบันสังคมหาทางแก้ไขให้ลงรอย หรือถอยคนละก้าวไม่สำเร็จ เราจึงต้องเข้าสู่ขั้นที่ 4 คือ แตกหัก คือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ ไม่มีกฎตายตัวว่าขั้น 4 จะใช้เวลาสั้นยาวเท่าไร
นายธีรยุทธ ยังได้เสนอข้อแนะนำต่อพันธมิตรฯ และผู้ชุมนุมว่า 1. ในกรณีที่ทักษิณ สามารถรวบอำนาจอีกยาว ประชาชนมองเห็นคุณค่าของพันธมิตร และผู้ชุมนุมว่าเป็นพลังหลักที่เหลืออยู่พลังเดียวในการต่อต้านระบอบและลัทธิทักษิณ 2. หลังเลือกตั้งปัญหาจะซับซ้อนมาก การต่อสู้ยืดเยื้อ แม้จะยากลำบากแต่ก็จะได้ผลคุ้มค่าในการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองแก่ประชาชน
3. การชุมนุมของพันธมิตรฯ ได้สร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ คือ การแข็งขืนอารยะให้เป็นสมบัติของประชาชนไทย เป็นการต่อสู้ที่น่าชื่นชม ที่พ่อแม่จูงลูกหลาน ตายาย ไปร่วมชุมนุมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพราะเชื่อมั่นในการต่อสู้ที่ถูกต้องของตน ชาวบ้านได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้การเมือง เชื่อมั่นในอำนาจตรวจสอบพฤติกรรมไม่ชอบของนักการเมืองนี้เป็นมรดกมีคุณค่าที่การต่อสู้ครั้งนี้มอบให้แก่สังคมไทยและมีความสำคัญยิ่งกว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเสียอีก
4. เพราะสถานการณ์เปลี่ยนวิกฤติเปลี่ยน พันธมิตรควรเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีให้สอดคล้องคือ
4.1 เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการต่อสู้ที่ยาวนานเป็นหลายๆ เดือน คล้ายการต่อสู้ในประเทศประชาธิปไตยตะวันตก ต้องเริ่มด้วยการพยายามสร้างคำอธิบายที่ชัดเจนว่า ผู้ชุมนุมกำลังต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดี เพื่อคุณธรรม ความยุติธรรม ถ้าคนไทยเชื่อมั่นว่า ทำดีย่อมเกิดผลดี จะเข้าใจว่าความลำบากระยะสั้น เช่น เครียด รถติด รวมถึงการค้าขาย ธุรกิจการท่องเที่ยวซบเซา การบริโภคลดลง เป็นต้นทุนทางสังคม (social cost) ที่เราจำเป็นต้องจ่าย เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมเราไม่เข้มแข็งพอจะแก้ไขการคอร์รัปชั่น การแทรกแซงอำนาจตรวจสอบ จนเป็นปัญหาหมักหมม เมื่อจะแก้ไขก็ต้องเจ็บปวดคล้ายกับการผ่าตัดไปด้วย แต่เมื่อโรคหายแล้วจะคุ้มค่ามากกว่าต้นทุนที่เสียไป ดีกว่าปล่อยให้เกิดระบบเผด็จอำนาจพรรคเดียว นโยบายประชานิยมซึ่งใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเพื่อคะแนนเสียงทักษิณ ซึ่งระยะยาวจะทำลายเศรษฐกิจมากกว่า
4.2 ยกระดับจากพันธมิตรเป็นแนวร่วม (Front)ถาวร โดยขยายตัวร่วมกับกลุ่มวิชาการ วิชาชีพ แพทย์ พยาบาล วิศวกร นักกฎหมาย ทนายความ ดารานักแสดง ตัวแทนภูมิภาคต่างๆ เพื่อขยายความชอบธรรมของตัวเองมากขึ้นตลอดเวลา
4.3 เนื่องจากการต่อสู้อาจยาวนานจึงต้องผ่อนปรนตัวเอง โดยชุมนุมยืดเยื้อย่อยๆ หรือเลิกการชุมนุมยืดเยื้อ ใช้การชุมนุมใหญ่เป็นคราวๆ เช่น 10 วันหน "เป็นการพักยกชกหนัก" สร้างเนื้อหาให้แต่ละหนมีน้ำหนัก และประเด็นสูง แต่ผู้ชุมนุมต้องมีความมุ่งมั่นทางการเมืองอย่างสูง ทุกหนที่นัดชุมนุมจะต้องให้มีคนมากกว่าเดิม (เพราะตามทฤษฎีการชุมนุม จะชนะต่อเมื่อขนาด ความมุ่งมั่นของผู้ชุมนุมโตขึ้นเรื่อยๆ และยืดเยื้อยันกันไปเมื่อพลังรักษาระดับคงที่ แต่จะพ่ายแพ้ถ้ากำลังความมุ่งมั่นหดตัวเล็กลง) ขณะที่ผู้ชุมนุมมีจำนวนมากและมีความมุ่งมั่นสูง จึงสามารถที่จะนัดชุมนุมเมื่อไรก็ได้
4.4 พันธมิตรมีความชอบธรรมที่จะยกระดับการแข็งขืนอารยะให้เข้มข้นขึ้นอีกระดับ ในช่วงหลังเลือกตั้ง เพราะความชอบธรรมทักษิณจะลดลง การยกระดับทำได้ด้วยการที่ประชาชนจะเสียสละตัวเอง เช่น สไตร์ก หยุดงาน เสี่ยงและยอมถูกจับ ฯลฯ ซึ่งเป็นวิธีแข็งขืนอารยะในขั้นที่หมดหนทางขจัดคนเลวออกไปจริงๆ และเพื่อพิสูจน์ให้ทักษิณเห็นว่า ประชาชน ไม่มีวันยอมแพ้ความเลว
นายธีรยุทธ ยังขยายประเด็นทางทฤษฎีนี้ด้วยว่า 1. ทักษิณ เป็นคนที่มีสิทธิน้อยที่สุดที่จะพูดถึงวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย หรือการเสียสละเลือดเนื้อของคนไทยเพื่อประชาธิปไตย เพราะสิ่งที่ทักษิณทำคือ การทำให้ประชาธิปไตยเป็นสินค้า เอาประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือของครอบครัว ระบบตรวจสอบพิกลพิการ ข้าราชการเป็นผู้รับใช้ ทรท. พรรคการเมืองเป็นบริษัท ทรท. พยายามทำให้ประชาธิปไตยเป็นสิ่งเดียวกับการเลือกตั้ง เป็นการปลิ้นปล้อนทางการเมือง
แต่ถ้าจะให้เกียรติในเชิงทฤษฎี ก็ต้องแย้งว่า การเลือกตั้งเป็นกระบวนการหนึ่งของประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แก่นของความคิดว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย ก็คือลัทธิเสรีนิยม ซึ่งมองประชาธิปไตยเป็นการใช้อำนาจของปัจเจกบุคคล เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง การเลือกตั้งของประชาธิปไตยแบบตัวแทน ก็คือการส่งผ่านอำนาจประชาชนให้กับผู้แทน แต่เมื่อได้รับอำนาจแล้วผู้แทนไม่เคยยอมรับอำนาจของประชาชน แต่กลับเชื่อฟังอำนาจของพรรคหรือหัวหน้าพรรคอย่างเชื่องเชื่อ
2. ในทางวิชาการ พวกโฆษณาว่าประชาธิปไตยคือ การเลือกตั้ง เป็นพวกรู้ความคิดฝรั่งเพียงผิวเผิน มองว่าประชาธิปไตยเป็นการใช้สิทธิของบุคคล ไม่ศึกษาให้ลึกซึ้งพอว่า ในอเมริกา การใช้สิทธิบุคคลต้องควบคู่ไปกับการมีคุณธรรมทางสังคม (civic virtue) ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐเป็นผู้มีอำนาจตีความคุณธรรมสังคมเข้าไป อยู่ในรัฐธรรมนูญ ส่วนอังกฤษก็มีกฎหมายจารีตประเพณีแบบปฏิบัติแต่ครั้งก่อนประกอบ กลุ่มประเทศยุโรปก็มีอุดมคติความเป็นธรรมทางสังคมมากำกับอยู่ตลอด
ทั้งความคิดเรื่องสิทธิบุคคล ที่ประกอบกับความรับผิดชอบและคุณธรรมสังคม ล้วนมีรากเหง้ามาจากประวัติศาสตร์ของตะวันตกและศาสนาคริสต์ สิทธิ คืออำนาจจากพระเจ้า และแสดงออกในวิญญาณของคนตะวันตก ส่วนคนไทยก็เป็นเมืองพุทธศาสนาที่เน้นในศีลธรรมคุณธรรม และไม่ได้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยเฉยๆ แต่เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมเป็นประมุข ไฉนจึงจะอ้างเฉพาะการใช้สิทธิเลือกตั้งมาปิดปากประชาชน ปิดกั้นการพูดถึงศีลธรรมคุณธรรมเพื่อคัดค้านการใช้อำนาจในทางชั่วเล่า
3. ประเด็นการขอพระราชทานพระมหากษัตริย์ และ กรณีมาตรา 7 ได้แก่ 3.1 มีคำวิจารณ์พันธมิตรและผู้ชุมนุมว่าผิดพลาดในเชิงทฤษฎี ในการขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 แต่ถ้ามองให้พ้นกรอบความคิดตะวันตกว่า ผู้ชุมนุมเป็นชาวบ้านไทยๆ ก็จะพบว่าชาวบ้านไทยอยู่กับอำนาจบารมีของพระมหากษัตริย์ตลอดมา เช่น กษัตริย์เป็นจอมทัพไทย ศาลอยู่ภายใต้พระปรมาภิไธย ประชาธิปไตยของทุกประเทศเป็นการผสมผสานระหว่างกฎเกณฑ์สากลใหม่เรื่องสิทธิของปัจเจกบุคคล กับอำนาจตามจารีตประเพณีเก่า และอำนาจ ชุมชน ประชาคม สังคมเสมอ หนทางที่ถูกต้องคือผสมผสานให้สองพลังขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ประชาชน
3.2 ผู้ชุมนุมควรเข้าใจว่า ตามจารีตที่ปฏิบัติกันมา พระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง ไม่เข้าข้างความขัดแย้งทางการเมือง การไกล่เกลี่ยความขัดแย้งทางการเมือง เป็นหน้าที่ของกลไกอื่นๆ เช่น การอภิปรายในรัฐสภา ประชาพิจารณ์ ศาลรัฐธรรมนูญ รัฐบุรุษ แต่กษัตริย์ทรงเป็นผู้ตัดสิน และคลี่คลายสุดท้ายของความขัดแย้ง (final conflict resolution หรือ conflict conclusion) เช่น กรณี 14 ตุลา หรือกรณีพฤษภา 2535 เป็นต้น หรือเป็นผู้คลี่คลายสุดท้ายของวิกฤติ ซึ่งทางวิชาการ คือภาวะไม่ทำงาน (dysfunction) ของสถาบันกลไกต่างๆ ของประเทศ ในโลกปัจจุบันยิ่งมีความจำเป็นยิ่งขึ้นที่พระมหากษัตริย์จะต้องทรงเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย ในแง่นี้ทรงเป็นผู้ปกป้องรัฐธรรมนูญ (defender of the constitution) ไม่ใช่เป็นผู้ทรงล้มเลิกรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคติของกษัตริย์หลายประเทศ เช่น อังกฤษ เป็นต้น
3.3 ทางออกจากวิกฤติทักษิณครั้งนี้จึงมี 2 ทาง ที่สามารถแยกหรือทำร่วมกันได้คือ (ก) ผู้ชุมนุมควรยืนหยัดด้วยความพยายามของตนเองอย่างอดทนอย่างยิ่งต่อไป โดยมองเห็นประโยชน์ของการต่อสู้ภาคประชาชนซึ่งเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เช่น กรณีกลุ่มผู้บริโภคชนะคดี กฟผ. การขยายตัวเครือข่ายผู้ต้องการปฏิรูปการเมืองทั้งใน กทม.และภูมิภาคต่างๆ ทั้งหมดจะสะสมเป็นต้นทุนและกลไกทางการเมืองที่แท้จริงของภาคประชาชน
(ข) อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงตอนซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อประวัติศาสตร์ พระมหากษัตริย์ก็อาจทรงเป็นผู้ริเริ่มปฏิรูปประเทศ เช่น การปฏิรูปของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย การปฏิรูปเมจิของญี่ปุ่น หรือการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินของพระพุทธเจ้าหลวง
ดังนั้น ถ้าประชาชนมองเห็นว่า ปัจจุบันระบอบประชาธิปไตยอยู่ในภาวะวิกฤติตีบตันในเชิงระบบ วิกฤตินี้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง เพราะเป็นวิกฤติของประเทศของระบอบใหญ่ทั้งหมด และไม่อาจวางใจให้ พรรคการเมือง ซึ่งไม่จริงใจนำพาการปฏิรูป พวกเขาก็อาจเรียกร้องให้ปฏิรูปได้
หรือถ้าประชาชนมองว่า ปัญหาประเทศไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ภาคการเมืองใช้อำนาจการเงิน ผลประโยชน์ ซึ่งเป็นอำนาจนอกรัฐธรรมนูญไปทำให้กลไกการเลือกตั้ง กลไกการตรวจสอบไม่ทำงาน ทำให้ตัวรัฐธรรมนูญ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ไม่อาจทำงานได้ตามปกติ (dysfunction) พวกเขาก็อาจมองว่า ตนเองมีความผูกพันทางสังคม (social bond) กับพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตามจารีตประเพณีซึ่งไม่ได้จารึกไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นความสัมพันธ์ตาม ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทย ซึ่งเน้นหลักทศพิธราชธรรม เป็นแก่นของความผูกพันนี้
ถ้าประชาชนโดยเฉพาะผู้ชุมนุมและกลุ่มที่เคยร่วมกันถวายฎีกามาแล้ว เห็นว่าบ้านเมืองมีวิกฤติคุณธรรม ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญเฉยๆ ไม่อาจคลี่คลายได้ก็อาจขอพระราชทานแรงบันดาลใจจากพระมหากษัตริย์เพื่อการปฎิรูปประชาธิปไตยคุณธรรมขึ้นก็ย่อมเป็นประโยชน์ประเทศชาติกับประชาชนได้ โดยไม่ผิดทั้งรัฐธรรมนูญและจารีตประเพณี ซึ่งถ้าเกิดขึ้นผู้ที่เกี่ยวข้องก็ควรใช้มโนสำนึกกันเองว่า ควรพิจารณาตนเองอย่างไร
**หลังเลือกตั้งร่วมตะโกน"กูไม่รับโว้ย"
นายธีรยุทธ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตนไม่เห็นเงื่อนไขอะไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะลาออก เพราะเชื่อเขาจะไม่ลาออกแน่นอน แต่ภายหลังการเลือกตั้งจะมีตัวแปรที่มากกว่า เช่น พรรคไทยรักไทย อาจขัดแย้งกันเอง รวมทั้งการมีสภาเดียวมาจากพรรคเดียว จะทำให้รัฐบาลขาดความชอบธรรมหนักขึ้น
ภายหลังการเลือกตั้ง แม้รัฐบาลอาจได้เสียงกลับมามากหรือ 30 ล้านเสียง แต่ประชาชนอาจจะบอกว่า กูไม่รับโว้ย เพราะในแง่ศีลธรรม คุณธรรม คนๆ นี้ไม่มีอีกแล้ว เพราะหากใครโกงแม้แต่บาทเดียวก็มีความผิด อย่างตนเคยต่อต้านกับเผด็จการทหาร จะมาเจอกับเผด็จการพรรคเดียว หรือ เผด็จการพลเรือนก็ไม่กลัว และเชื่อว่าคนรุ่นตนก็จะต้องออกมาร่วมต่อสู้กับคนที่เสียสติที่แทรกตัวเข้ามาในระบอบประชาธิปไตย สุดท้ายสังคมไทยก็จะผ่านไปได้
นายธีรยุทธ ยังกล่าวว่า พันธมิตรไม่ควรแบกรับความผิดพลาดเพียงลำพัง ไม่เช่นนั้น อาจจะมีการกล่าวโทษถึงความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์ อยากให้หลังเลือกตั้ง ทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนว่า มีการโกงเลือกตั้งหรือไม่ หรือ เรื่องซุกหุ้น เพื่อไม่ให้พันธมิตร โดดเดียว และยังเห็นว่า ผู้ที่เสียชีวิตระหว่างการชุมนุม 2 ราย ก็ควรยกให้เขาเป็นวีรชนด้วย จะให้ตายฟรีได้อย่างไร
นายธีรยุทธ ยังกล่าวถึงการผ่าทางตันด้วยมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญว่า มาตรา 7 เป็นเพียงประเด็นย่อย ที่นำไปสู่การแก้ไขวิกฤต โดยตามประเพณีของไทยในอดีต ชาวบ้านเคยพึ่งบารมีในหลวงโดยใช้การถวายฎีกาเพื่อการร้องทุกข์ต่างๆ จึงมองว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเหมือนชาวบ้านธรรมดา โดยเราต้องแบบปล่อยวาง อย่าคิดว่า ไม่ควรให้สถาบันพระมหากษัตริย์มาแก้ไขความขัดแย้ง แต่ควรมองแบบเสรีนิยม เพราะความจริงพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง และไม่ได้มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในสภา แต่ภายหลังที่ผู้อาวุโสในบ้านเมืองมาไกล่เกลี่ยแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นคนสุดท้ายที่มาลดความขัดแย้ง เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และ พฤษภาทมิฬ ทั้งนี้ในโลกปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ยังมีความสำคัญ ทรงอยู่ในฐานะผู้ปกป้องรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นผู้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญ
นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาวิจารณ์การเมืองในภาวะหลังเลือกตั้งว่า จะเกิดวิกฤติประชาธิปไตยทั้งระบบ เผด็จการพรรคเดียว ดังนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงควรพักยก เพื่อชิ่งปัญหาให้ทักษิณ
นายธีรยุทธ ได้ให้ความเห็นต่อรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุในการปราศรัยหาเสียงที่วงเวียนใหญ่ ว่า ข้อเสนอนี้เหมือนการตั้งรัฐบาลเสียสติแห่งชาติ เพราะทักษิณเหมือนคนเสียสติ สร้างปัญหาทั้งหมดให้เกิดขึ้นจากโลภะ โทสะ โมหะ ของตนล้วนๆ จนต้องกะล่อนเอาตัวรอดไปวันต่อวัน เพราะก่อนยุบสภาทักษิณ มีอำนาจ มีความชอบธรรมสูงมาก จนสร้างความสมานฉันท์ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชาติทุกอย่างได้ กลับไม่ทำ แต่พอถูกเปิดโปงเรื่องทำผิดกฏหมาย โกงภาษี ทักษิณก็ทำสิ่งที่ใหญ่โตมากคือ ยุบสภาเสนอการปฏิรูปการเมือง และหลังสุดก็เสนอจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมา
นายธีรยุทธ กล่าวว่า หลังเลือกตั้ง 2 เม.ย.ปัญหาของประเทศเปลี่ยนจากวิกฤติผู้นำ เพิ่มวิกฤติรัฐธรรมนูญ นำไปสู่วิกฤติประชาธิปไตยทั้งระบบ ดังนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ควรหยุดพักชุมนุมแบบยืดเยื้อก่อนการเลือกตั้ง เปลี่ยนเป็นการพักยก เลือกชกหนักเป็นคราวในช่วงหลังเลือกตั้ง 2 เม.ย.ด้วยเหตุผลดังนี้
1. เป้าหมายสุดท้ายของการต่อสู้ก็เพื่อการปฏิรูปการเมือง เพื่อสร้างการตรวจสอบให้ระบบการเมืองมีคุณธรรม ความรับผิดชอบ ทั้งหมดต้องทำโดยผ่านรัฐธรรมนูญปัจจุบัน คนจำนวนมากเห็นด้วยกับการปฏิรูปการเมือง แต่ต้องการให้อำนาจของรัฐธรรมนูญต่อเนื่องไปโดยไม่ต้องเว้นวรรค จึงต้องการแสดงสิทธิในการเลือกตั้งครั้งนี้ พันธมิตรควรพักยกชั่วคราว เพื่อแสดงวุฒิภาวะและความเคารพสิทธิ ซึ่งกันและกัน แล้วนัดชุมนุมใหญ่ได้อีกหลังเลือกตั้ง อย่างไม่สยบยอมต่อคนชั่วโกงเมือง จะทำให้ได้แนวร่วมเพิ่มขึ้น
2. การชุมนุมบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว การชุมนุมซึ่งคือการแข็งขืนอารยะ ได้ทำให้อำนาจทักษิณเสื่อมถอย จึงควรเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นการชุมนุมใหญ่เป็นคราวๆ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
3. หลังวันที่ 2 เม.ย. นอกจากวิกฤติจริยธรรมผู้นำที่ดำรงอยู่แล้ว ยังจะเพิ่มวิกฤติรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีก ดังนี้
3.1 สถานะผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นอำนาจของประชาชนจะเกิดขึ้นทันที ในวันเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 117
3.2 การเลือกตั้ง 2 เม.ย. จะยังได้สมาชิกรัฐสภาไม่ครบทั้งส.ส.เขตและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ใดจะละเมิดมิได้ ถ้าได้ไม่ครบก็จะเป็นที่ถกเถียงครั้งใหญ่ว่า ความเป็นสภาเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า เมื่อไม่ครบองค์ ความเป็นสภายังไม่เกิด
3.3 ถ้าได้ส.ส.ไม่ครบ และมีการตีความว่ารัฐสภาเกิดขึ้นแล้ว จะมีปัญหาว่าบางภาคโดยเฉพาะภาคใต้ ไม่มีระบบตัวแทนที่เหมาะสมถูกต้อง (underrepresent) ภาวะภูมิภาคนิยม และความขัดแย้งเชิงภูมิภาค อาจก่อตัวขึ้น
3.4 ถ้าทักษิณในฐานะนายกฯรักษาการ กราบบังคมทูลขอทรงเปิดรัฐสภา จะมีเสียงทักท้วงถึงความเหมาะสม เพราะสภาที่แล้ว ถูกทักษิณยุบอย่างไม่มีเหตุผล เพื่อหนีประเด็นจริยธรรมซุกหุ้น โกงภาษี และยังเอารัดเอาเปรียบคู่แข่ง จนถึงขั้นถูกบอยคอต ซึ่งเกือบไม่เคยเกิดขึ้น เหตุการณ์ยังบ่งชี้ว่า การเลือกตั้ง 2 เม.ย. อาจเต็มไปด้วยความสกปรก ดังปรากฏข่าวการจัดฉาก ฉ้อฉล ของพรรคการเมือง เจ้าหน้าที่ขององค์กรอิสระ เช่น ปลอมคุณสมบัติผู้สมัคร ซื้อพรรค และผู้สมัครส.ส.นอมินี ซื้อคะแนนเสียงให้ตัวเองให้คู่แข่ง การจะให้สภาเปิดประชุมได้ ยังต้องยืมมือกกต.รับรองการเลือกตั้งให้สะอาด และศาลรัฐธรรมนูญต้องตีความขัด กับคำวินิจฉัยครั้งแรกของตัวเอง
3.5 พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา 116 ถ้าจะมีการยุบสภาหลังเลือกตั้ง 2 เม.ย. จะต้องรอให้เกิดสภาก่อน และต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมรองรับ
4. วิกฤติยกระดับเป็นวิกฤติระบอบประชาธิปไตยไทยโดยรวม เพราะถ้ามองประชาธิปไตยเป็นกระบวนการ หรือวงจร 2 ส่วน ขึ้นสู่อำนาจของพรรคการเมือง และการใช้อำนาจกับการตรวจสอบอำนาจ เราจะเห็นได้ว่า ขณะนี้ ในซีกล่างคือ กระบวนการเลือกตั้งมีปัญหาจากนโยบายประชานิยม ส่วนในซีกบนมีปัญหาในเรื่องการใช้อำนาจ และคอร์รัปชั่นอย่างขาดความละอาย และการตรวจสอบไม่ได้ผล เมื่อทักษิณ เจอปัญหาในซีกบน ก็จะยุบสภา หันมาใช้กระบวนการ(กติกา)ในซีกล่าง แล้วได้รับเลือกขึ้นไปใหม่ ทำซ้ำไปมาได้ไม่รู้จบ จนเป็นปัญหาประชาธิปไตยทั้งกระบวนการ
"ในเวลาข้างหน้าโจทย์ใหญ่นี้จะตกอยู่กับทักษิณ คนจะตั้งคำถามว่าต้นเหตุเกิดจากเพื่อตัวทักษิณคนเดียว บ้านเมืองจึงปั่นป่วนขนาดนี้ เกิดวิกฤติขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ทักษิณยังจะอาจเอื้อมขอให้พระราชทานเปิดสภาให้ประเทศมีการปกครองแบบสภาพรรคเดียว และหวนกลับมาเป็นนายกฯอีกหรือ หากมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ยุบสภา อ้างกติกาเลือกตั้ง หวนกลับมาอีกไม่รู้จบหรือ "
นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า สำหรับโทษทัณฑ์ 10 ประการ ที่ทักษิณสร้างและย้อนกลับเข้าตัวเองรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเหมือน "เราบ่ผิดท่านมาล้าง ดาบนั้นคืนสนอง" ในกรณีที่ทักษิณหมกเม็ดปัญหาหุ้นแอม เพิลริช และ วินมาร์ค ไว้นานจนปัญหามาโผล่เมื่อขาย ชินคอร์ป ด้วยความกลัวจะถูกต้อนจนมุม ทักษิณจึงยุบสภา ใช้อำนาจการควบคุมสื่อ ใช้เล่ห์เหลี่ยมการเมือง ทำลายพลังคัดค้านของประชาชนโดยหวังให้การเลือกตั้ง 2 เม.ย. ฟอกตัวเองกลับมาเป็นนายกฯ ได้อีก แต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ "ดาบจะคืนสนอง"ทักษิณ เพราะโทษทัณฑ์ 10 ประการ คือ ไม่ว่าจะได้รับคะแนนเสียงเท่าใด การขาดความชอบธรรมที่จะปกครองประเทศในแง่การไร้คุณธรรมและจริยธรรม จะยังคงอยู่ ไม่มีสิ่งใดมาลบล้างได้ จะเพิ่มปัญหาว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ เป็นการโกงกติกา ฉ้อฉลอำนาจองค์กรอิสระ จ้างพรรคเล็ก ฮั้วคะแนนเสียง ฯลฯ
เมื่อทอดเวลายาวขึ้น คนทั่วไปจะมองเห็นว่า เพื่อให้ตระกูลตัวเองไม่ต้องเสียภาษีของหุ้นชิน ทักษิณสามารถทำลายบั่นทอนองค์กรสถาบันต่างๆ ของประเทศให้คนเสื่อมศรัทธาลงได้เกือบหมด เช่น ทำลายความน่าเชื่อถือของวุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. ปปง. กกต. กลต. กรมสรรพากร สื่อโทรทัศน์ของรัฐ ทำลายประเพณีการยุบสภา ประเพณีการเจรจาประนีประนอม ตามเหตุผลพอสมควรระหว่างพรรคการเมือง ฯลฯ
นอกจากนี้ การที่จะให้ทักษิณอยู่ในอำนาจต่อไป กกต.จะต้องตะแบงในเรื่องทรท.โกงกติกา จ้างพรรคเล็กฮั้วคะแนนเสียงหรือไม่ รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องตะแบงตีความรัฐธรรมนูญให้ผลการเลือกตั้งใช้ได้ และเปิดรัฐสภาได้ ท่ามกลางการประท้วงเพิ่มเติมขึ้นของประชาชน ฝ่ายค้าน นักวิชาการ คนทั่วไปจะมองว่า ในอนาคตการที่นายกฯรักษาการทักษิณ จะขอพระราชทานเปิดสภาใหม่ ซึ่งเกิดจากการเลือกตั้งสกปรก และให้ประธานรัฐสภาคนใหม่กราบบังคมทูลเสนอชื่อ ทักษิณ ซึ่งมีปัญหาซุกหุ้น ปัญหาคอร์รัปชั่นโคตรานุวัตน์ ผลประโยชน์ทับซ้อน การเลี่ยงภาษี ปั่นหุ้น ขาดจริยธรรม ขึ้นเป็นนายกฯอีกหน เป็นการกระทำที่อาจเอื้อม และไม่สมควรอย่างยิ่ง
นายธีรยุทธ กล่าวว่า คนไทย กลุ่มองค์กร สถาบันต่างๆ ประเทศไทยจะทนอยู่ใต้การปกครองของนายกรัฐมนตรีที่ชมชอบผลประโยชน์ทับซ้อน ขาดคุณธรรม จริยธรรมในเกือบทุกด้าน และมอบอำนาจเป็นผู้เจรจาความเมือง สนธิสัญญา ระหว่างประเทศ ต้อนรับทูตานุทูต ประมุขของประเทศอื่นอีก 4 ปีหรือ คนไทยจะยอมให้นายกฯ ที่ขายบริษัทตนเองที่เป็นกิจการเกี่ยวข้องกับความมั่นคง ความผาสุกของประชาชนให้แก่ต่างชาติ ที่มีความขัดแย้งผลประโยชน์ด้านความมั่นคงกับประเทศไทย โดยไม่ทำหน้าที่ผู้นำติติง ทักท้วงพฤติกรรมนี้เลย เป็นผู้รักษาความมั่นคง เอกราชของประเทศต่อไปหรือ
การปฏิรูปการเมืองไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ถ้าสภาเป็นสภาไทยรักไทย เพราะจะไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคประชาธิปัตย์ ชาติไทย มหาชน ฯลฯ นักวิชาการ และภาคประชาชน วิกฤติการเมืองก็จะยืดเยื้อเป็นแรมปี พลังประชาชนไม่หยุดการเคลื่อนไหวต่อสู้ แต่จะยิ่งขยายรูปแบบไปเรื่อยๆ ธุรกิจและเศรษฐกิจจะทรุดต่ำลง แต่ประชาชนจะมองเห็นว่า การดื้อรั้น อยากอยู่ในอำนาจของทักษิณคือต้นตอของปัญหามากขึ้น
ถ้าทักษิณ จะถอยฉากให้คนอื่นเป็นนายกฯนอมินี ตัวเองเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง กองทัพ ตำรวจ ข้าราชการ ชนชั้นสูงซึ่งถือเอาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมีประเพณีว่านายกฯจะต้องถวายรายงานขอพระราชทานความเห็น แง่คิดต่างๆ จะทนรับระบบการปกครองไทยที่เปลี่ยนไปคล้ายสิงคโปร์ คือนายกฯ ต้องขอคำแนะนำ คำวินิจฉัยจากอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยอีกขั้นหนึ่งก่อนได้หรือไม่
"ทักษิณ สามารถทำให้ระบอบประชาธิปไตยไทยเป็นเรื่องตลก ที่ตัวเองสามารถชักใยให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ได้อย่างสบายใจ หม่ำ จ๊กมก สร้างสิ่งที่ดีกับตลกเมืองไทย แต่ แม้ว จ๊กมก ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าสมเพช ในสายตาต่างชาติ เพราะผู้นำที่โกงกิน ใช้อำนาจทำร้ายประเทศซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ยังมาเป็นตัวแทนของประเทศได้"
หากกลุ่มการเมืองภาคประชาชนต่อต้านทักษิณพ่ายแพ้ โครงสร้างอำนาจในประเทศไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไม่หวนกลับมาเหมือนเดิม กล่าวคือ เราจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำการเมืองที่เข้มแข็ง เพราะมีฐานการเงินสูงที่สุดในประเทศ มีฐานอำนาจเหนือข้าราชการ มีอำนาจเหนือกองทัพ ตำรวจ มีอำนาจทางอุดมการณ์ประชานิยม มีอำนาจเหนือสื่อมวลชน และอำนาจเหนือมวลชน เป็นการเมืองประชานิยมที่ชาวบ้านจัดตั้งกันเป็นภาค จังหวัด เขตเพื่อปกป้องทักษิณ ประเทศจะมีโครงสร้างอำนาจที่มั่นคง ภายใต้อำนาจทักษิณ และทรท.ไปอีก 20-30 ปี เหมือนอาร์เจนตินา หรือฟิลิปินส์ในยุคมาร์กอส คนไทยที่เคยต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยมาด้วยเลือดเนื้อชีวิตของตนเองจะทนรับได้หรือไม่
นายธีรยุทธ กล่าวว่า ปัจจุบันอยู่ในวิกฤติขั้นที่ทุกฝ่ายต้องใช้สติปัญญามากที่สุด ตามทฤษฎีสังคมวิทยาชี้ว่า วิกฤติมักมี 5 ขั้นใหญ่ คือ 1. เริ่มต้น(ปิดกั้นเสรีภาพสื่อผู้จัดการ) 2. ขยายตัว (ขายชินคอร์ปให้เทมาเส็ก) 3. สังคมหาทางแก้ไข รอมชอม (พีเน็ท ทปอ. ประธานองคมนตรี) 4. แตกหัก 5. กลับสู่สภาพปกติหรือก้าวไปสู่คุณภาพใหม่ (ซึ่งนักคิด นักวิชาการของประเทศต้องทำงานหนัก เตรียมล่วงหน้าไว้) ปัจจุบันสังคมหาทางแก้ไขให้ลงรอย หรือถอยคนละก้าวไม่สำเร็จ เราจึงต้องเข้าสู่ขั้นที่ 4 คือ แตกหัก คือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ ไม่มีกฎตายตัวว่าขั้น 4 จะใช้เวลาสั้นยาวเท่าไร
นายธีรยุทธ ยังได้เสนอข้อแนะนำต่อพันธมิตรฯ และผู้ชุมนุมว่า 1. ในกรณีที่ทักษิณ สามารถรวบอำนาจอีกยาว ประชาชนมองเห็นคุณค่าของพันธมิตร และผู้ชุมนุมว่าเป็นพลังหลักที่เหลืออยู่พลังเดียวในการต่อต้านระบอบและลัทธิทักษิณ 2. หลังเลือกตั้งปัญหาจะซับซ้อนมาก การต่อสู้ยืดเยื้อ แม้จะยากลำบากแต่ก็จะได้ผลคุ้มค่าในการให้ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองแก่ประชาชน
3. การชุมนุมของพันธมิตรฯ ได้สร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ คือ การแข็งขืนอารยะให้เป็นสมบัติของประชาชนไทย เป็นการต่อสู้ที่น่าชื่นชม ที่พ่อแม่จูงลูกหลาน ตายาย ไปร่วมชุมนุมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพราะเชื่อมั่นในการต่อสู้ที่ถูกต้องของตน ชาวบ้านได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้การเมือง เชื่อมั่นในอำนาจตรวจสอบพฤติกรรมไม่ชอบของนักการเมืองนี้เป็นมรดกมีคุณค่าที่การต่อสู้ครั้งนี้มอบให้แก่สังคมไทยและมีความสำคัญยิ่งกว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเสียอีก
4. เพราะสถานการณ์เปลี่ยนวิกฤติเปลี่ยน พันธมิตรควรเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีให้สอดคล้องคือ
4.1 เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการต่อสู้ที่ยาวนานเป็นหลายๆ เดือน คล้ายการต่อสู้ในประเทศประชาธิปไตยตะวันตก ต้องเริ่มด้วยการพยายามสร้างคำอธิบายที่ชัดเจนว่า ผู้ชุมนุมกำลังต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดี เพื่อคุณธรรม ความยุติธรรม ถ้าคนไทยเชื่อมั่นว่า ทำดีย่อมเกิดผลดี จะเข้าใจว่าความลำบากระยะสั้น เช่น เครียด รถติด รวมถึงการค้าขาย ธุรกิจการท่องเที่ยวซบเซา การบริโภคลดลง เป็นต้นทุนทางสังคม (social cost) ที่เราจำเป็นต้องจ่าย เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมเราไม่เข้มแข็งพอจะแก้ไขการคอร์รัปชั่น การแทรกแซงอำนาจตรวจสอบ จนเป็นปัญหาหมักหมม เมื่อจะแก้ไขก็ต้องเจ็บปวดคล้ายกับการผ่าตัดไปด้วย แต่เมื่อโรคหายแล้วจะคุ้มค่ามากกว่าต้นทุนที่เสียไป ดีกว่าปล่อยให้เกิดระบบเผด็จอำนาจพรรคเดียว นโยบายประชานิยมซึ่งใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเพื่อคะแนนเสียงทักษิณ ซึ่งระยะยาวจะทำลายเศรษฐกิจมากกว่า
4.2 ยกระดับจากพันธมิตรเป็นแนวร่วม (Front)ถาวร โดยขยายตัวร่วมกับกลุ่มวิชาการ วิชาชีพ แพทย์ พยาบาล วิศวกร นักกฎหมาย ทนายความ ดารานักแสดง ตัวแทนภูมิภาคต่างๆ เพื่อขยายความชอบธรรมของตัวเองมากขึ้นตลอดเวลา
4.3 เนื่องจากการต่อสู้อาจยาวนานจึงต้องผ่อนปรนตัวเอง โดยชุมนุมยืดเยื้อย่อยๆ หรือเลิกการชุมนุมยืดเยื้อ ใช้การชุมนุมใหญ่เป็นคราวๆ เช่น 10 วันหน "เป็นการพักยกชกหนัก" สร้างเนื้อหาให้แต่ละหนมีน้ำหนัก และประเด็นสูง แต่ผู้ชุมนุมต้องมีความมุ่งมั่นทางการเมืองอย่างสูง ทุกหนที่นัดชุมนุมจะต้องให้มีคนมากกว่าเดิม (เพราะตามทฤษฎีการชุมนุม จะชนะต่อเมื่อขนาด ความมุ่งมั่นของผู้ชุมนุมโตขึ้นเรื่อยๆ และยืดเยื้อยันกันไปเมื่อพลังรักษาระดับคงที่ แต่จะพ่ายแพ้ถ้ากำลังความมุ่งมั่นหดตัวเล็กลง) ขณะที่ผู้ชุมนุมมีจำนวนมากและมีความมุ่งมั่นสูง จึงสามารถที่จะนัดชุมนุมเมื่อไรก็ได้
4.4 พันธมิตรมีความชอบธรรมที่จะยกระดับการแข็งขืนอารยะให้เข้มข้นขึ้นอีกระดับ ในช่วงหลังเลือกตั้ง เพราะความชอบธรรมทักษิณจะลดลง การยกระดับทำได้ด้วยการที่ประชาชนจะเสียสละตัวเอง เช่น สไตร์ก หยุดงาน เสี่ยงและยอมถูกจับ ฯลฯ ซึ่งเป็นวิธีแข็งขืนอารยะในขั้นที่หมดหนทางขจัดคนเลวออกไปจริงๆ และเพื่อพิสูจน์ให้ทักษิณเห็นว่า ประชาชน ไม่มีวันยอมแพ้ความเลว
นายธีรยุทธ ยังขยายประเด็นทางทฤษฎีนี้ด้วยว่า 1. ทักษิณ เป็นคนที่มีสิทธิน้อยที่สุดที่จะพูดถึงวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตย หรือการเสียสละเลือดเนื้อของคนไทยเพื่อประชาธิปไตย เพราะสิ่งที่ทักษิณทำคือ การทำให้ประชาธิปไตยเป็นสินค้า เอาประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือของครอบครัว ระบบตรวจสอบพิกลพิการ ข้าราชการเป็นผู้รับใช้ ทรท. พรรคการเมืองเป็นบริษัท ทรท. พยายามทำให้ประชาธิปไตยเป็นสิ่งเดียวกับการเลือกตั้ง เป็นการปลิ้นปล้อนทางการเมือง
แต่ถ้าจะให้เกียรติในเชิงทฤษฎี ก็ต้องแย้งว่า การเลือกตั้งเป็นกระบวนการหนึ่งของประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แก่นของความคิดว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย ก็คือลัทธิเสรีนิยม ซึ่งมองประชาธิปไตยเป็นการใช้อำนาจของปัจเจกบุคคล เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง การเลือกตั้งของประชาธิปไตยแบบตัวแทน ก็คือการส่งผ่านอำนาจประชาชนให้กับผู้แทน แต่เมื่อได้รับอำนาจแล้วผู้แทนไม่เคยยอมรับอำนาจของประชาชน แต่กลับเชื่อฟังอำนาจของพรรคหรือหัวหน้าพรรคอย่างเชื่องเชื่อ
2. ในทางวิชาการ พวกโฆษณาว่าประชาธิปไตยคือ การเลือกตั้ง เป็นพวกรู้ความคิดฝรั่งเพียงผิวเผิน มองว่าประชาธิปไตยเป็นการใช้สิทธิของบุคคล ไม่ศึกษาให้ลึกซึ้งพอว่า ในอเมริกา การใช้สิทธิบุคคลต้องควบคู่ไปกับการมีคุณธรรมทางสังคม (civic virtue) ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐเป็นผู้มีอำนาจตีความคุณธรรมสังคมเข้าไป อยู่ในรัฐธรรมนูญ ส่วนอังกฤษก็มีกฎหมายจารีตประเพณีแบบปฏิบัติแต่ครั้งก่อนประกอบ กลุ่มประเทศยุโรปก็มีอุดมคติความเป็นธรรมทางสังคมมากำกับอยู่ตลอด
ทั้งความคิดเรื่องสิทธิบุคคล ที่ประกอบกับความรับผิดชอบและคุณธรรมสังคม ล้วนมีรากเหง้ามาจากประวัติศาสตร์ของตะวันตกและศาสนาคริสต์ สิทธิ คืออำนาจจากพระเจ้า และแสดงออกในวิญญาณของคนตะวันตก ส่วนคนไทยก็เป็นเมืองพุทธศาสนาที่เน้นในศีลธรรมคุณธรรม และไม่ได้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยเฉยๆ แต่เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมเป็นประมุข ไฉนจึงจะอ้างเฉพาะการใช้สิทธิเลือกตั้งมาปิดปากประชาชน ปิดกั้นการพูดถึงศีลธรรมคุณธรรมเพื่อคัดค้านการใช้อำนาจในทางชั่วเล่า
3. ประเด็นการขอพระราชทานพระมหากษัตริย์ และ กรณีมาตรา 7 ได้แก่ 3.1 มีคำวิจารณ์พันธมิตรและผู้ชุมนุมว่าผิดพลาดในเชิงทฤษฎี ในการขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 แต่ถ้ามองให้พ้นกรอบความคิดตะวันตกว่า ผู้ชุมนุมเป็นชาวบ้านไทยๆ ก็จะพบว่าชาวบ้านไทยอยู่กับอำนาจบารมีของพระมหากษัตริย์ตลอดมา เช่น กษัตริย์เป็นจอมทัพไทย ศาลอยู่ภายใต้พระปรมาภิไธย ประชาธิปไตยของทุกประเทศเป็นการผสมผสานระหว่างกฎเกณฑ์สากลใหม่เรื่องสิทธิของปัจเจกบุคคล กับอำนาจตามจารีตประเพณีเก่า และอำนาจ ชุมชน ประชาคม สังคมเสมอ หนทางที่ถูกต้องคือผสมผสานให้สองพลังขับเคลื่อนสังคมไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ประชาชน
3.2 ผู้ชุมนุมควรเข้าใจว่า ตามจารีตที่ปฏิบัติกันมา พระองค์ทรงอยู่เหนือการเมือง ไม่เข้าข้างความขัดแย้งทางการเมือง การไกล่เกลี่ยความขัดแย้งทางการเมือง เป็นหน้าที่ของกลไกอื่นๆ เช่น การอภิปรายในรัฐสภา ประชาพิจารณ์ ศาลรัฐธรรมนูญ รัฐบุรุษ แต่กษัตริย์ทรงเป็นผู้ตัดสิน และคลี่คลายสุดท้ายของความขัดแย้ง (final conflict resolution หรือ conflict conclusion) เช่น กรณี 14 ตุลา หรือกรณีพฤษภา 2535 เป็นต้น หรือเป็นผู้คลี่คลายสุดท้ายของวิกฤติ ซึ่งทางวิชาการ คือภาวะไม่ทำงาน (dysfunction) ของสถาบันกลไกต่างๆ ของประเทศ ในโลกปัจจุบันยิ่งมีความจำเป็นยิ่งขึ้นที่พระมหากษัตริย์จะต้องทรงเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย ในแง่นี้ทรงเป็นผู้ปกป้องรัฐธรรมนูญ (defender of the constitution) ไม่ใช่เป็นผู้ทรงล้มเลิกรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคติของกษัตริย์หลายประเทศ เช่น อังกฤษ เป็นต้น
3.3 ทางออกจากวิกฤติทักษิณครั้งนี้จึงมี 2 ทาง ที่สามารถแยกหรือทำร่วมกันได้คือ (ก) ผู้ชุมนุมควรยืนหยัดด้วยความพยายามของตนเองอย่างอดทนอย่างยิ่งต่อไป โดยมองเห็นประโยชน์ของการต่อสู้ภาคประชาชนซึ่งเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เช่น กรณีกลุ่มผู้บริโภคชนะคดี กฟผ. การขยายตัวเครือข่ายผู้ต้องการปฏิรูปการเมืองทั้งใน กทม.และภูมิภาคต่างๆ ทั้งหมดจะสะสมเป็นต้นทุนและกลไกทางการเมืองที่แท้จริงของภาคประชาชน
(ข) อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงตอนซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อประวัติศาสตร์ พระมหากษัตริย์ก็อาจทรงเป็นผู้ริเริ่มปฏิรูปประเทศ เช่น การปฏิรูปของพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย การปฏิรูปเมจิของญี่ปุ่น หรือการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินของพระพุทธเจ้าหลวง
ดังนั้น ถ้าประชาชนมองเห็นว่า ปัจจุบันระบอบประชาธิปไตยอยู่ในภาวะวิกฤติตีบตันในเชิงระบบ วิกฤตินี้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง เพราะเป็นวิกฤติของประเทศของระบอบใหญ่ทั้งหมด และไม่อาจวางใจให้ พรรคการเมือง ซึ่งไม่จริงใจนำพาการปฏิรูป พวกเขาก็อาจเรียกร้องให้ปฏิรูปได้
หรือถ้าประชาชนมองว่า ปัญหาประเทศไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ภาคการเมืองใช้อำนาจการเงิน ผลประโยชน์ ซึ่งเป็นอำนาจนอกรัฐธรรมนูญไปทำให้กลไกการเลือกตั้ง กลไกการตรวจสอบไม่ทำงาน ทำให้ตัวรัฐธรรมนูญ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ไม่อาจทำงานได้ตามปกติ (dysfunction) พวกเขาก็อาจมองว่า ตนเองมีความผูกพันทางสังคม (social bond) กับพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ตามจารีตประเพณีซึ่งไม่ได้จารึกไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นความสัมพันธ์ตาม ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมไทย ซึ่งเน้นหลักทศพิธราชธรรม เป็นแก่นของความผูกพันนี้
ถ้าประชาชนโดยเฉพาะผู้ชุมนุมและกลุ่มที่เคยร่วมกันถวายฎีกามาแล้ว เห็นว่าบ้านเมืองมีวิกฤติคุณธรรม ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญเฉยๆ ไม่อาจคลี่คลายได้ก็อาจขอพระราชทานแรงบันดาลใจจากพระมหากษัตริย์เพื่อการปฎิรูปประชาธิปไตยคุณธรรมขึ้นก็ย่อมเป็นประโยชน์ประเทศชาติกับประชาชนได้ โดยไม่ผิดทั้งรัฐธรรมนูญและจารีตประเพณี ซึ่งถ้าเกิดขึ้นผู้ที่เกี่ยวข้องก็ควรใช้มโนสำนึกกันเองว่า ควรพิจารณาตนเองอย่างไร
**หลังเลือกตั้งร่วมตะโกน"กูไม่รับโว้ย"
นายธีรยุทธ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ขณะนี้ตนไม่เห็นเงื่อนไขอะไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะลาออก เพราะเชื่อเขาจะไม่ลาออกแน่นอน แต่ภายหลังการเลือกตั้งจะมีตัวแปรที่มากกว่า เช่น พรรคไทยรักไทย อาจขัดแย้งกันเอง รวมทั้งการมีสภาเดียวมาจากพรรคเดียว จะทำให้รัฐบาลขาดความชอบธรรมหนักขึ้น
ภายหลังการเลือกตั้ง แม้รัฐบาลอาจได้เสียงกลับมามากหรือ 30 ล้านเสียง แต่ประชาชนอาจจะบอกว่า กูไม่รับโว้ย เพราะในแง่ศีลธรรม คุณธรรม คนๆ นี้ไม่มีอีกแล้ว เพราะหากใครโกงแม้แต่บาทเดียวก็มีความผิด อย่างตนเคยต่อต้านกับเผด็จการทหาร จะมาเจอกับเผด็จการพรรคเดียว หรือ เผด็จการพลเรือนก็ไม่กลัว และเชื่อว่าคนรุ่นตนก็จะต้องออกมาร่วมต่อสู้กับคนที่เสียสติที่แทรกตัวเข้ามาในระบอบประชาธิปไตย สุดท้ายสังคมไทยก็จะผ่านไปได้
นายธีรยุทธ ยังกล่าวว่า พันธมิตรไม่ควรแบกรับความผิดพลาดเพียงลำพัง ไม่เช่นนั้น อาจจะมีการกล่าวโทษถึงความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์ อยากให้หลังเลือกตั้ง ทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนว่า มีการโกงเลือกตั้งหรือไม่ หรือ เรื่องซุกหุ้น เพื่อไม่ให้พันธมิตร โดดเดียว และยังเห็นว่า ผู้ที่เสียชีวิตระหว่างการชุมนุม 2 ราย ก็ควรยกให้เขาเป็นวีรชนด้วย จะให้ตายฟรีได้อย่างไร
นายธีรยุทธ ยังกล่าวถึงการผ่าทางตันด้วยมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญว่า มาตรา 7 เป็นเพียงประเด็นย่อย ที่นำไปสู่การแก้ไขวิกฤต โดยตามประเพณีของไทยในอดีต ชาวบ้านเคยพึ่งบารมีในหลวงโดยใช้การถวายฎีกาเพื่อการร้องทุกข์ต่างๆ จึงมองว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเหมือนชาวบ้านธรรมดา โดยเราต้องแบบปล่อยวาง อย่าคิดว่า ไม่ควรให้สถาบันพระมหากษัตริย์มาแก้ไขความขัดแย้ง แต่ควรมองแบบเสรีนิยม เพราะความจริงพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง และไม่ได้มีหน้าที่ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในสภา แต่ภายหลังที่ผู้อาวุโสในบ้านเมืองมาไกล่เกลี่ยแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นคนสุดท้ายที่มาลดความขัดแย้ง เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และ พฤษภาทมิฬ ทั้งนี้ในโลกปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ยังมีความสำคัญ ทรงอยู่ในฐานะผู้ปกป้องรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นผู้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญ