xs
xsm
sm
md
lg

พระพรหมที่แท้มิใช่แค่รูปปั้น

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

พระพรหมตามนัยแห่งศาสนาพราหมณ์หมายถึง ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบรรดามีในจักรวาล รวมทั้งโลก และทุกสิ่งในโลก

ด้วยเหตุนี้พระพรหมในศาสนาพราหมณ์จึงได้ชื่ออีกหนึ่งว่า ปรมาตมัน หมายถึง ตัวตนอันยิ่งใหญ่หรือพระเจ้านั่นเอง และเมื่อมีปรมาตมันหมายถึงพระผู้สร้าง ก็มีชื่อสิ่งที่ถูกสร้างตามมาคือ อาตมัน แปลว่าตัวตนเล็กหรือส่วนย่อยที่แยกออกมาจากปรมาตมันนั่นเอง

แต่พระพรหมตามนัยแห่งพระพุทธศาสนามิได้หมายถึงผู้สร้างดังเช่นในศาสนาพราหมณ์ แต่หมายถึงเทวดาหรือเทพ อีกนัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงนำเอาพระพรหมตามคติของศาสนาพราหมณ์ที่มีความเชื่อว่ามีสี่หน้าและสี่กรมาปฏิรูปให้เป็นนามธรรม โดยสอนว่าพระพรหมก็คือผู้ที่มีธรรม 4 ประการประจำใจ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ดังจะเห็นจากคำสอนบทที่ว่าบิดามารดาเป็นพรหมของบุตร เป็นต้น

ถึงแม้ว่าคำสอนในพระพุทธศาสนามิได้สอนให้นับถือพระพรหมในฐานะผู้สร้างสรรพสิ่ง และคนไทยส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา แต่ก็มีความเชื่อในส่วนที่เกี่ยวกับพระพรหมในแง่ของอิทธิปาฏิหาริย์ อันเป็นบทบาทของพระพรหมในฐานะผู้สร้างปรากฏให้เห็นอย่างดาษดื่นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์ เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เป็นเรื่องพรหมลิขิต หรือเส้นทางที่พระพรหมกำหนดให้เป็นไป

ด้วยเหตุนี้การนับถือ เช่น ไหว้ บูชาพระพรหมจึงมีให้เห็นอยู่ทั่วไปในสังคมไทย และในบรรดาศาลพระพรหมที่มีอยู่ในเมืองไทย ศาลท้าวมหาพรหมที่โรงแรมเอราวัณจะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในหมู่คนไทย และแพร่หลายไปยังต่างประเทศด้วย จะเห็นได้จากในปีหนึ่งมีผู้คนมากราบไหว้มากมาย และมีรายได้เข้ามูลนิธิท้าวมหาพรหมปีหนึ่งๆ นับร้อยล้านบาท

แต่วันนี้ศาลท้าวมหาพรหมที่ว่านี้คงเหลือเพียงซากแตกหักขององค์ท้าวมหาพรหมให้ผู้ที่นับถือศรัทธาได้กราบไหว้ ทั้งนี้เนื่องจากว่าได้มีผู้บุกเข้ามาทำลายองค์พระพรหมด้วยการใช้ค้อนทุบจนแตกหัก และตัวคนทุบเองก็ถูกรุมทำร้ายถึงแก่ชีวิตใกล้ๆ กับศาลท้าวมหาพรหมนั่นเอง ดังมีรายละเอียดตามที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน

แต่เพื่อให้ท่านผู้อ่านที่ยังไม่ได้อ่านข่าวนี้ หรืออ่านแล้วแต่ยังสงสัยข้องใจกับที่มาของศาลพระพรหม รวมไปถึงเหตุการณ์การบุกทำลายองค์พระพรหมอีกครั้ง ผู้เขียนขอนำข่าวนี้มาเสนออีกครั้งโดยสรุปเป็นประเด็นดังต่อไปนี้

1. เมื่อกลางดึกของวันอังคารที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ได้มีชายผู้หนึ่งบุกเข้าไปใช้ค้อนทุบทำลายองค์พระพรหมที่ประดิษฐานอยู่ ณ ที่ศาลหน้าโรงแรมเอราวัณกลางสี่แยกราชประสงค์ จนทำให้องค์ท้าวมหาพรหมแตกหักเสียหายทั้งองค์

2. ได้มีผู้เห็นเหตุการณ์การบุกทำลายองค์ท้าวมหาพรหม และได้ขัดขวางจนเกิดการต่อสู้กันทำให้ผู้ที่บุกเข้าทำลายพระพรหมถึงแก่ชีวิต

3. ต่อมาได้ทราบว่าผู้ที่บุกเข้าทำลายองค์ท้าวมหาพรหมคือ นายธนกร ภักดีผล อายุ 26 ปี เป็นคนสติไม่ดี และจากการติดตามจับกุมผู้ที่รุมทำร้ายนายธนกรของเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ที่รุมทำร้ายได้ 2 คนคือ นายศักดิ์ศรี กลิ่นบัว และนายเกษมศรี การุณวงษ์ และได้ทำการจับกุมผู้ที่ร่วมทำร้ายที่เหลือเพื่อนำมาดำเนินคดีต่อไป

4. ต่อมานายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้มาตรวจสภาพศาลท้าวมหาพรหม พร้อมด้วยคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และได้สั่งการให้ผู้เกี่ยวข้องรีบซ่อมแซมโดยเร็ว

หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ได้มีโหรบางคนออกมาบอกว่าจะเป็นลางร้ายหรือเกิดเหตุไม่ดีขึ้นในบ้านเมือง จึงทำให้คนที่เชื่อถือศรัทธาเกิดความวิตกกังวล และด้วยเหตุนี้เองผู้เขียนจึงได้นำเรื่องนี้มาเขียนเพื่อหวังให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระพรหม และความเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์เท่าที่สติปัญญาความรู้ความสามารถของตนเองที่มีอยู่ เริ่มด้วยประเด็นคำถามที่ว่า

ความเชื่อถือศรัทธาเกี่ยวกับท้าวมหาพรหมที่เกิดขึ้น และมีอยู่ในประเทศไทยนั้นเป็นไปตามคติแห่งศาสนาพราหมณ์ หรือเป็นไปตามคติแห่งพุทธศาสนา ผู้สร้างหรือผสมกันทั้ง 2 ศาสนา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านลองย้อนไปดูต้นตอหรือที่มาของคำว่า พรหม ดังที่ได้ว่าเป็นคำที่มาจากศาสนาพราหมณ์ ซึ่งใช้เรียกเทพเจ้าผู้สร้างอันถือว่าเป็นผู้สรรพสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งโลกและทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในโลก ดังนั้น พระพรหมจึงอยู่ในฐานะที่ควรจะได้รับการเคารพนับถือจากสิ่งที่ถูกพระองค์สร้างขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มนุษย์ที่ทุกศาสนาถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มีความกตัญญูรู้คุณแก่ผู้กระทำอุปการคุณแก่ตนเอง

ส่วนในทางพระพุทธศาสนาไม่ถือว่าพระหรหมเป็นผู้สร้าง แต่ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดมาเพราะมีเหตุให้เกิด หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด และปัจจัยปรุงแต่งที่ว่านี้ไม่ถือว่าเป็นผู้สร้าง ยิ่งกว่านี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิเสธคำสอนของพราหมณ์ที่เกี่ยวกับวิถีที่ทำให้มนุษย์ไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหมด้วย ดังจะเห็นได้ในเตวิชชสูตร สูตรว่าด้วยไตรเวทซึ่งจะได้นำมาบอกกล่าวให้ทราบเพียงย่อๆ ดังต่อไปนี้

วันหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จจาริกไปในแคว้นโกศล พร้อมด้วยพระภิกษุหมู่ใหญ่ และได้แวะพักที่ตำบลบ้านพราหมณ์ ณ ป่ามะม่วงริมฝั่งแม่น้ำอิรวดี ด้านเหนือของตำบลนั้น

สมัยนั้น พราหมณ์มหาสาล (พราหมณ์ผู้มั่งคั่ง) มีชื่อเสียงหลายคนได้พักอาศัยอยู่ในตำบลนั้น เช่น วังคีสพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ เป็นต้น

ในระหว่างเวลาที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ สถานที่ดังกล่าว ได้มีมาณพ (คือชายหนุ่ม) สองคน คนหนึ่งขื่อ วาเสฏฐะ และอีกคนหนึ่งชื่อภารทวาชะเดินทางมา และได้สนทนากันเกี่ยวกับทางที่จะไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหม อันหมายถึงสภาวะบริสุทธิ์หลังการตาย (คล่้ายๆ กับภาวะนิพพานของพุทธศาสดา แต่วิธีการปฏิบัติเพื่อการเข้าถึงต่างกัน) วาเสฏฐมาณพได้อ้างถ้อยคำของโปกชรสาติพราหมณ์ ส่วนภารทวาชะได้อ้างถ้อยคำของภารุกขพราหมณ์จึงได้เกิดการโต้เถียงกัน และไม่สามารถตกลงกันได้ จึงได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และกราบทูลถามเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังโต้เถียงกัน และในขณะที่ทูลถามได้กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้พราหมณ์ต่างๆ จะบัญญัติหนทางไว้ต่างกัน แต่ก็นำผู้กระทำไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหมได้ เหมือนทางหลายสายซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคาม (หมู่บ้าน) ก็จะไปร่วมกันที่คามคือหมู่บ้านได้ พระพุทธเจ้าเมื่อทรงได้สดับคำนี้แล้วจึงได้มาณพที่ชื่อว่า วาเสฏฐะยืนยัน 3 ครั้งว่าทางต่างๆ นำไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหมได้

ต่อจากนั้นได้ตรัสถามมาณพทั้ง 2 ด้วยปัญหา 5 ข้อ ซึ่งสรุปโดยย่อได้ดังนี้

ในบรรดาพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวท อาจารย์ของพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวท อาจารย์ของอาจารย์ของพราหมณ์พวกนั้น ใครคนใดคนหนึ่งใน 7 ยุคของอาจารย์ของพราหมณ์ฤษีก่อนที่แต่งมนต์ ร่ายมนต์ ซึ่งพวกพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทสมัยนี้เล่าเรียนท่องบ่นมนต์นั้น มีใครสักคนไหมที่เคยเห็นพระพรหม

เมื่อมาณพทั้ง 2 ตอบว่าไม่มี จึงได้ตรัสสรุปว่า เปรียบเหมือนคนตาบอดจูงคนตาบอด ทั้งคนต้น คนกลาง คนสุดท้ายต่างก็มองไม่เห็นกัน พราหมณ์ผู้รู้ไตรเวททั้งคนต้น คนกลาง และคนสุดท้ายก็ไม่เคยเห็นพระพรหม คำกล่าวของพราหมณ์เหล่านั้นจึงว่างเปล่า

ต่อจากนี้ได้ตรัสถามคำถามอีก 2 ข้อ โดยใจความสรุปได้ว่า พราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทและคนอื่นต่างเห็นดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกจึงพากันสรรเสริญ ประคองอัญชลีกราบไหว้ เพียงเท่านี้เพียงพอหรือไม่

เมื่อมาณพทั้ง 2 ตอบว่าไม่เพียงพอ จึงได้ตรัสต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ถ้อยคำของพราหมณ์ผู้รู้ไตรเวทจึงไม่มีปาฏิหาริย์ (เลื่อนลอย ไม่มีหลักฐาน) ใช่หรือไม่ มาณพทั้ง 2 ตอบว่า ใช่ จึงได้ตรัสต่อไปว่า เมื่อไม่รู้ไม่เห็นแต่แสดงทางเพื่อไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหม จึงมิใช่ฐานะที่เป็นไปได้

โดยนัยแห่งปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงถามเพื่อให้มาณพตอบนี้ ก็คือการปฏิเสธสภาวะแห่งการเข้าถึงความบริสุทธิ์โดยคติแห่งความเชื่อของพราหมณ์นั่นเอง

ต่อจากนี้ได้ตรัสคำสอนในเชิงอุปมา และคุณสมบัติของพราหมณ์แก่พราหมณ์แล้วจบลงด้วยการบอกทางไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหมตามแนวทางของพระองค์ โดยการตรัสถึงการที่พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกมีบุคคลมาฟังธรรม ออกประพฤติพรหมจรรย์ (คืออยู่โดยปราศจากกิจกรรมของคนคู่เยี่ยงชาวโลก) ตั้งอยู่ในศีล ละนิวรณ์ 5 แผ่เมตตาไปสู่สี่ทิศ นี่คือทางไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพรหม

ทั้งหมดที่ยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเตวิชชสูตร คือสูตรว่าด้วยไตรเวทเท่านั้น ถ้าท่านผู้อ่านสนใจขอให้หาอ่านได้จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 9 หรือพระไตรปิฎกฉบับประชาชนหน้า 313 จากนัยแห่งคำสอนที่เกี่ยวกับพระพรหมทั้งของศาสนาพราหมณ์ และพุทธบอกได้ชัดเจนว่าทั้ง 2 ศาสนามีคำสอนเกี่ยวกับคำว่า พรหม แต่สมัยแห่งวิธีการเข้าถึงต่างกัน ทั้งสภาวะแห่งการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพราหมณ์ก็ต่างกัน

ดังนั้น ประเด็นที่ลงความเชื่อเกี่ยวกับพระพรหมในประเทศไทยเป็นไปในแง่ของพราหมณ์หรือพุทธหรือผสมกัน ก็ตอบได้ในทันทีว่าผสมกัน จะเห็นได้ชัดเจนจากการที่ผู้คนซึ่งไปกราบไหว้ศาลท้าวมหาพรหมล้วนแต่เป็นชาวพุทธ ที่มีความเชื่อว่าพระพรหมมีสถานะเป็นเทพเจ้าผู้สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ และส่งองค์วิญญาณลงมาประทับในรูปเปรียบหรือรูปเหมือนที่ถูกสร้างขึ้นอุทิศให้เพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจดังที่เกิด และเป็นอยู่ในหลายๆ แห่ง รวมทั้งที่หน้่าโรงแรมเอราวัณด้วย

ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุมีคนบุกเข้าไปทำลายรูปปั้นของท้าวมหาพรหมที่หน้าโรงแรมเอราวัณ จึงเท่ากับทำลายศรัทธาของผู้คนที่ให้ความเคารพนับถือ และก่อให้เกิดความเศร้าสลดเสียใจ ทั้งโกรธแค้นให้เกิดขึ้นแก่พราหมณ์ และนี่เองน่าจะเป็นสาเหตุให้คนที่บุกทุบทำลายองค์ท้าวมหาพรหมต้องจบชีวิตลงด้วยการถูกรุมประชาทัณฑ์ของคนที่ได้พบเห็นเหตุการณ์

ส่วนว่าการที่องค์ท้าวมหาพรหมถูกทำลายในครั้งนี้เป็นลางบอกเหตุอันใดหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ยาก แต่ก็ปฏิเสธได้ยากเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. สิ่งอะไรก็ตามที่ผู้คนเชื่อถือศรัทธากราบไหว้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะเกิดเป็นพลังแฝงเร้นขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งดวงจิตของคนนับร้อยนับพันนับหมื่นดวง แล้วดลบันดาลให้เกิดสิ่งที่ใครคาดคิดหรือเหนือการคาดการณ์ได้

2. พระพรหมโดยเนื้อแท้แล้วเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่น้อยกว่า 5,000 ปี ก่อนพุทธกาล ดังนั้น เมื่อมีใครสักคนบอกว่ามีฤทธิ์เดชและมีอำนาจในการดลบันดาลคนส่วนใหญ่ก็คล้อยตาม และการคล้อยตามนี้เองที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลได้

ในทำนองเดียวกับพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณ ได้ประดิษฐานมาตั้งแต่ 7 พ.ย. 2499 เกือบ 50 ปีแล้ว ซึ่งถือว่านานพอที่จะทำให้คนทั้งหลายเชื่อถือศรัทธา และวิตกกังวลในสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยไม่คำนึงถึงเหตุผล หรือความเป็นไปได้ในทางวิทยาศาสตร์หรือแม้กระทั่งในทางตรรกศาสตร์ว่ามีหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนหวังว่าประชาชนจะไม่นำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มาก่อให้เกิดความวิตก จนทำให้กลายเป็นโรคระแวงในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น