xs
xsm
sm
md
lg

ระบอบทักษิณล้มละลาย ศาลล้มแปรรูปกฟผ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศาลปกครองสั่งเพิกถอนแปรรูป กฟผ. ระบุ พระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชี้ ส่ง "โอฬาร ไชยประวัติ" คุมแปรรูป เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะเป็นคนในอาณาจักรชินวัตร เลี่ยงประชาพิจารณ์ เอาสมบัติแผ่นดินไปขาย สะท้อนถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาลตลอด 5 ปีที่ผ่านมา "แม้ว" โยนขี้ให้ถาม รมต.พลังงานเอง อ้างยังมึน "วิเศษ" ประชุมด่วนให้ กฟผ.เป็นไฟฟ้าฝ่ายผลิต โยนรัฐบาลชุดใหม่ตัดสินแปรรูป "จำลอง" จี้ต้องลาออกสถานเดียว "รสนา" ชี้ผิดมหันต์เท็จทูลออกกฎหมายฉ้อฉลให้ "ในหลวง" ลงนาม ฝูงชนร้อง"ต้องประหารเจ็ดชั่วโคตร"รุกคืบเช็คบิลทวงคืน"ปตท.-ทีโอที-กสท. ขณะที่ ทรท.ตะแบง อ้างศาลพิพากษาขั้นตอนและวิธีการออกพ.ร.ฎ. ไม่ได้พูดถึงหลักการแปรรูป

เมื่อวานนี้ (23 มี.ค.) ศาลปกครองสูงสุด โดยนายจรัญ หัตถกรรม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด พร้อมด้วยองค์คณะได้มีคำพิพากษาเพิกถอน พระราชกฤษฎีกากำหนด อำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด ( มหาชน) พ.ศ. 2548 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2548

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับพวกรวม 11 คน ได้ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กระทรวงพลังงาน และคณะรัฐมนตรี ที่ตรากฎหมาย 2 ฉบับดังกล่าวโดยมิชอบ โดยก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการมูลนิธิองค์กรผู้บริโภคในฐานะโจทก์ร่วม พร้อมด้วยทนายความ และพนักงานกฟผ. และประชาชนร่วม 500 คนได้เดินทางมาร่วมรับฟังคำพิพากษา โดยส่วนหนึ่งมีการชุมนุมอยู่ด้านหน้าอาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ซึ่งที่ทำการสำนักงานศาลปกครองพร้อมกับมีการปราศรัยสร้างความสนใจให้กับประชาชนและนักธุรกิจที่ทำงานบริเวณถ.สาธร สีลม จำนวนมาก

นอกจากนี้พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายเพียร ยงหนู ประธานสหภาพรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้า นายกรณ์ จาติกวนิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้มารอฟังคำพิพากษา แต่เนื่องจากมีประชาชนที่รอรับฟังอยู่แน่นขนัดบริเวณทำให้ไม่สามารถเข้าไปรับฟังในห้องพิจารณาคดีได้ จึงรับฟังผ่านทางโทรทัศน์วงจรปิดที่ทางสำนักงานศาลปกครองได้ติดตั้งไว้บริเวณหน้าห้องพิจารณาคดีถึง 4 เครื่อง

**เบื้องหลัง"โอฬาร"ผลประโยชน์ทับซ้อน

สำหรับเหตุผลที่ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนระบุว่า ตามข้อเท็จจริง ขณะที่นายโอฬาร ไชยประวัติ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท นั้น นายโอฬารเป็นกรรมการในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการเกี่ยวกับการสื่อสารและโทรคมนาคม จึงเป็นนิติบุคคลที่มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของ กฟผ. ที่มีระบบรับส่งข้อมูลประกอบด้วยเส้นใยแก้วนำแสง และต่อมาบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ได้จัดตั้งบริษัท กฟผ. โทรคมนาคม จำกัด เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมและการสื่อสารทุกชนิด บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จึงมีประโยชน์ได้เสียกับกิจการของ กฟผ. และบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)

อีกทั้งนายโอฬารยังเป็นกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ กฟผ. ซื้อก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อีกด้วย นายโอฬารจึงเป็นกรรมการในนิติบุคคลที่มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของ กฟผ. และบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) และมีลักษณะต้องห้ามเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

ในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทตามที่ระบุไว้ในมาตรา 17(5) ประกอบมาตรา 5 มาตรา 9 ของพรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ และตามหลักฐานประวัติของนายโอฬารที่ใช้ประกอบการพิจารณาออกคำสั่งแต่งตั้งก็ระบุการเป็นกรรมการดังกล่าวไว้ชัดเจน นายโอฬารจึงเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท อันเป็นการขัดต่อหลักความเป็นกลาง ซึ่งผู้มีอำนาจออกคำสั่งแต่งตั้งได้รู้หรือควรรู้ถึงลักษณะต้องห้ามดังกล่าวแล้ว คำสั่งแต่งตั้งนายโอฬาร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทจึงขัดต่อกฎหมาย และถือได้ว่าเป็นเหตุ อันมีสภาพร้ายแรง จึงมีผลทำให้การกระทำใด ๆ ของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทเสียไปทั้งหมด หรือไม่มีผลทางกฎหมาย

**เลี่ยงบาลีทำประชาพิจารณ์ผิดกม.

นอกจากนั้น นายปริญญา นุตาลัย ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ก็ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทางกฎหมายถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีลักษณะต้องห้ามเป็นกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ตามข้อ 5(3) ของระเบียบคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2543 และข้อเท็จจริงยังพบว่า ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เป็นสาระสำคัญก่อนการตราพ.ร.ฎ คณะกรรมการการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมิได้จัดให้มีการสรุปสาระสำคัญ ของร่างพ.ร.ฎ. 2 ฉบับประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาไทยฉบับเดียวกันติดต่อกัน 3 วัน แต่กลับประกาศแยกในหนังสือพิมพ์ เป็น 3 ฉบับ ๆ ละหนึ่งวัน ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบ ทำให้การจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในมาตรา 59 ของรัฐธรรมนูญ และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง (9) แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542

ส่วนที่ในพ.ร.ฎ. มิได้มีบทบัญญัติใดที่จำกัดอำนาจการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นอำนาจมหาชนและเป็นอำนาจเฉพาะของรัฐ และบทบัญญัติในมาตรา 8 ที่ให้อำนาจบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) กระทำได้โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกิจการผลิตไฟฟ้า คือ การประกาศกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้า เดินสายส่งไฟฟ้า หรือสายจำหน่ายไฟฟ้าไปใต้ เหนือ ตาม หรือข้ามพื้นดินของบุคคลใด ปักหรือตั้งเสาสถานีไฟฟ้าย่อยหรืออุปกรณ์อื่นลงในหรือบนพื้นดินของบุคคล และอำนาจรื้อถอนโรงเรือนหรือทำลายสิ่งอื่นที่สร้างขึ้นหรือทำขึ้น หรือทำลาย หรือตัดฟัน ตัดต้น กิ่ง หรือรากของต้นไม้ หรือพืชผลในเขตเดินสายไฟฟ้า อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิในทรัพย์สินของประชาชน ก็ไม่อาจกระทำได้ ตามมาตรา 48 ,49 ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา 26 วรรค2 แห่งพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ

สำหรับในส่วนทรัพย์สินกฟผ.ที่ระบุว่าเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการเวนคืน เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซและโรงไฟฟ้าพลังน้ำในท้องที่ตำบลบางปะกง เนื้อที่ประมาณ 176 ไร่ และสิทธิเหนือพื้นดินเกี่ยวกับระบบส่งไฟฟ้าและสายส่งไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งเป็นทรัพย์สินติดอยู่กับที่ดินและเป็นอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 139 ประกอบกับมาตรา 1298 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นสิทธิที่ก่อตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511 จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตามมาตรา 1304 (3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 ไม่อาจโอนไปให้บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ได้เช่นกัน

ดังนั้นศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า การดำเนินการในขั้นตอนที่เป็นสาระสำคัญในการเปลี่ยนทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นหุ้นของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เฉพาะอย่างยิ่ง การกระทำของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทได้เสียไปทั้งหมด หรือไม่มีผลตามกฎหมาย ย่อมมีผลทำให้การดำเนินการต่อมา รวมทั้งมติของครม. ที่อนุมัติเปลี่ยนทุนของ กฟผ. เป็นหุ้นและจัดตั้งบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) และการออกพ.ร.ฎ 2 ฉบับดังกล่าวเสียไป จึงพิพากษาให้เพิกถอนพ.ร.ฎ ทั้ง 2 ฉบับตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย. 48 ซึ่งเป็นวันที่ใช้บังคับพ.ร.ฎ.นี้

**ประชาชนเฮลั่นหลังอ่านคำพิพากษา

ทันทีที่ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ประชาชนหลายร้อยคนที่รับฟังอยู่ภายนอกห้องพิจารณาคดี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ศาลก็ร้องด้วยต่างก็ร้องตะโกนแสดงความดีใจ ดังลั่นว่า"ประชาชนชนะแล้ว"พร้อมกับกอดกันร้องไห้อย่างไม่อายใครทั้งที่บางคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากนั้นประชาชนได้ร้องตะโกนโดยพร้อมเพียงกันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อนว่า"ทักษิณ...ออกไป"และมีเสียงปรบมือยาวนาน ทำให้ประชาชนจำนวนมากที่พบเห็นภาพดังกล่าวต่างพากันร้องไห้ด้วยความปิติยินดีและพากันตะโกนว่า"เราสู้มานานเท่าไหร่แล้ว แต่วันนี้มันหายเหนื่อยแล้ว " ขณะที่ประชาชนอีกบางส่วนได้ร้องตะโกนดังลั่นว่า"ศาลยืนข้างประชาชน ความยุติธรรมมีจริง" นอกจากนี้บรรดาพนักงานกฟผ.ได้ร่วมร้องเพลงมาร์ชของกฟผ.และพากันยกตัวแกนนำสหภาพกฟผ.ขึ้นโยนเพื่อฉลองชัยชนะที่มีการเรียกร้องมากว่า 417 วัน

นี่เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าการบริหารงานของรัฐบาลทักษิณ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมีความผิดพลาดและมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากคนในรัฐบาลมาโดยตลอด เป็นการแสดงให้เห็นว่าการบริหารงานที่ผ่านมาของรัฐบาล มีความผิดพลาดอย่างรุนแรงในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถึงแม้จะมีการคัดค้านแต่รัฐบาลตลอด 417 วันรัฐบาลก็ไม่ฟังเสียง ยืนยันให้ตายที่จะต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อนนั่นเอง

**กฟผ.ต้องกลับเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต

หลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนพรฎ. 2 ฉบับเกี่ยวกับการแปรรูปกฟผ. นายวิเศษ จูภิบาล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เรียก นายไกรสีห์ กรรณสูต กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บมจ.กฟผ. นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงานในฐานะรักษาการประธานบอร์ดบมจ.กฟผ.และนายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ ปลัดกระทรวงพลังงาน หารือเพื่อรองรับต่อคำพิพากษาดังกล่าวโดยใช้เวลาร่วมหารือเกือบ 5 ชั่วโมง

นายวิเศษกล่าวว่า ทุกฝ่ายพร้อมรับคำตัดสินดังกล่าวซึ่งจากนี้ไปกฟผ.คงจะต้องไปพิจารณาว่ามีกระบวนการดำเนินงานในขั้นตอนใดบ้างที่จะขัดกับคำพิพากษาที่ให้ยกเลิกพรฎ. 2 ฉบับที่เกียวกับการแปลงสภาพบมจ.กฟผ.ซึ่งคงจะต้องหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเนื่องจากเป็นข้อที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย เช่น การโอนทรัพย์สินต่างๆ อาทิ ที่ดิน เขื่อน สัญญาก่อสร้างต่างๆ เป็นต้น

ทั้งนี้การพิพากษาดังกล่าวจะมีผลทำให้บมจ.กฟผ.ต้องกลับไปเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเช่นเดิมเหมือนอดีต ดังนั้นก็จะต้องมีการรับซื้อหุ้นพนักงานกฟผ.คืนซึ่งรัฐจะดูแลในเรื่องของภาระดอกเบี้ย และภาษีที่ได้จ่ายในการซื้อหุ้นไปทั้งหมดด้วย อย่างไรก็ตามบอร์ดกฟผ.ไม่มีผลต้องยุบไปเช่นเดียวกับคณะกรรมการกำกับกิจการไฟฟ้าหรือ Regulator ด้วยเพราะไม่เกี่ยวกันยกเว้น คณะกรรมการประกอบกิจการไฟฟ้าที่มีนายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานเท่านั้นเพราะออกตามพรฎ. 2 ฉบับ

**"แม้ว"โยนขี้ถามรมต.พลังงานเอง

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องดูคำพิพากษา ส่วนไหนที่ศาลและผู้ร้องไม่สบายใจ และศาลเห็นด้วย อะไรที่เป็นความไม่พอใจของผู้บริโภค อะไรที่ยังไม่เข้าใจ หรือทั้งไม่เข้าใจและไม่พอใจก็ต้องทำให้เกิดความเข้าใจกันก่อน เมื่อเข้าใจแล้วและพอใจก็ทำ และเมื่อเข้าใจแล้วและไม่พอใจก็ไม่ทำก็แค่นั้นเอง เพราะรัฐบาลนี้มีหน้าที่ทำงานเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ถ้าประชาชนไม่สบายใจ ไม่เห็นด้วยก็ไม่ทำ

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้ถือเป็นการทำผิดขั้นตอนตามกฎหมายหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ต้องไปดู ตนวิจารณ์อะไรไม่ได้ เป็นหน้าที่ของกระทรวงพลังงานต้องไปดูในรายละเอียด แต่เรื่องนี้ไม่กระทบต่อการแปรรูปที่ผ่านมา เพราะคนละเรื่องกัน อย่างไรก็ตามขั้นตอนรายละเอียดต่างๆ ต้องถามรมว.พลังงานอีกครั้งหนึ่ง ตนไม่ทราบ ตอนนี้ยังมึมอยู่ แต่อย่างไรก็ตามทุกอย่างก็ต้องว่ากันไปตามกติกา โดยหลักแล้วทุกคนก็ต้องเคารพกติกา

**"วิเศษ"โบ้ยไม่ได้หารือเรื่องลาออก

นายวิเศษกล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการลาออกทั้งรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ บอร์ดกฟผ.ว่า การหารือครั้งนี้ไม่ได้มีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด และการดำเนินงานที่ผ่านมาก็เป็นไปตามกระบวนการและขั้นตอนทุกอย่าง ส่วนการแปรรูปกฟผ.จากนี้ไปคงจะต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่เพราะขณะนี้รัฐบาลเป็นเพียงรักษาการที่ไม่สามารถพิจารณาด้านนโยบายใดๆ

"นโยบายแปรรูปคงต้องรอรัฐบาลใหม่ ซึ่งก็คงต้องรวมถึงการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่วนพระราชบัญญัติประกอบกิจการไฟฟ้าที่กำลังพิจารณาอยู่ก็ยังดำเนินไปตามปกติเพราะไม่เกี่ยวกับการแปรรูป ส่วนจะมีการดำเนินการที่มองไปถึงบมจ.ปตท.ด้วยหรือไม่คงไม่ทราบ ซึ่งเรื่องทั้งหมดยังไม่ได้มีการหารือกับนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด"นายวิเศษกล่าว

**บอร์ดกฟผ.ถกด่วนวันนี้

นายไกรสีห์ กรรณสูต กรรมการผู้อำนวยการใหญ่บมจ.กฟผ.กล่าวว่า วันนี้จะมีการประชุมบอร์ดกฟผ.วาระพิเศษ วันนี้(24มี.ค.)เพื่อพิจารณาผลของคำพิพากษาของศาลปกครองว่าจะมีการดำเนินการต่อไปอย่างไร ที่ไม่ขัดต่อคำพิพากษา อย่างไรก็ตามก็คงจะไม่กระทบต่อการดำเนินงานของกฟผ.แต่อย่างใด ส่วนกรณีที่คลังจะค้ำประกันเงินกู้กฟผ.หรือไม่คงไม่เกี่ยวกันเพราะคลังมีนโยบายลดหนี้สาธารณะอยู่แล้ว

**"จำลอง"ชี้"ทักษิณ"ต้องรับผิดชอบแต่ผู้เดียว

พล.ต.จำลอง กล่าวว่าผลการตัดสินคดีของศาลปกครองสูงสุดโดยมารยาททางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองสถานเดียวคือลาออกจากตำแหน่งเพราะการแปรรูปกฟผ.ถือเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลในการผลักดันการแปรรูปกฟผ.แต่เมื่อศาลตัดสินเช่นนี้ถ้าเป็นต่างประเทศแล้วเขาต้องลาออกทันที

ต่อข้อถามว่าคำวินิจฉัยของศาลในคดีนี้มีการระบุถึงกรณีการแปรรูปปตท.ด้วยหลายครั้งจะทำให้มีการยื่นเรื่องให้ทบทวนการแปรรูปปตท.ได้หรือไม่ พลตรีจำลองกล่าวว่า คงเป็นเรื่องที่ฝ่ายผู้เกี่ยวข้องต้องไปศึกษาข้อกฎหมายต่อไป แต่คำวินิจฉัยของศาลก็มีการระบุว่านายโอฬาร ไชยประวัติ ที่เกี่ยวข้องกับปตท.และปตท.ก็มีส่วนได้ส่วนเสียกับกฟผ.ดังนั้นคงต้องให้ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคไปศึกษากันต่อไปว่าสามารถทำได้หรือไม่ การต่อสู้ครั้งนี้ขอชื่นชมมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ต่อสู้แทนประชาชนได้ดีเยี่ยม

**เตรียมทวงคืนทศท.-การบินไทย

หลังจากที่น.ส.รสนา และทนาย ออกห้องพิจารณาคดี ประชาชนก็พยายามที่จะเข้าไปจับมือแสดงความชื่นชม ซึ่งทั้งหมดก็ได้ลงมาพบกับประชาชนที่ชุมนุมรออยู่ด้านหน้าอาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ โดยน.ส.รสนา ปราศรัยกับผู้ชุมนุม ว่านายกฯทักษิณ ในฐานะผู้รับสนองพระบรมราชโองการในกฎหมาย 2 ฉบับจะรับผิดชอบอย่างไร ประชาชนจึงตอบว่า"ออกไป"เราต้องเรียกร้องให้นายกและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบเพราะใช้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ครอบครัวตามที่ศาลวินิจฉัย นักการเมืองต้องสร้างบรรทัดฐานด้วยการลาออกไป นี่คือชัยชนะของประชาชน ต่อไปเราจะทวงคืนประเทศไทย ทวงคืนทรัพย์สมบัติที่ถูกแย้งชิงไปจากคนไทยทั้ง องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย การบินไทย ขอให้ทุกคนมีกำลังใจในการต่อสู้เพื่อทวงคืนประเทศไทย ต่อไปจะไม่ยอมให้นักธุรกิจการเมืองเข้ามาล้วงไส้พวกเราและเอาไปขายให้ต่างชาติ ทักษิณ ชินวัตร ชักศึกเข้าบ้าน การตัดสินวันนี้เพียงพอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าทักษิณ ชินวัตรไม่มีความชอบธรรมและต้องรับผิดชอบในฐานะที่นำกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งที่เป็นกฎหมายที่ไม่ชอบถือว่ามีความผิดร้ายแรงอภัยให้ไม่ได้

จากนั้นประชาชนได้ร้องตะโกนดังลั่นว่า"ทักษิณ ออกไป"หลายรอบ ต่อมานายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความของผู้ร้องปราศรัยว่าการแปรรูปกฟผ.ของรัฐบาลทำผิดกฎหมายและนำไปทูลเกล้าฯเท่ากับเป็นการเท็จทูล ทำให้ประชาชนร้องตะโกนว่า"ต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโครต"

**สภาทนายความจ่อคิวทวงชินคอร์ปคืน

นายนิติธรกล่าวต่อว่า วันนี้ไม่ต้องรอให้ครบ 48 ชั่วโมงแล้วทักษิณต้องลาออกทันที บริษัทกุหลาบแก้ว และบริษัทนอมินีทั้งหลายที่ซื้อหุ้นชินคอร์ปถือว่ามีส่วนในการขายชาติทั้งสิ้น ทุกบริษัทเวลานี้แม้แต่ชินคอร์ป ทางสภาทนายความจะตามเอาคืนทั้งหมด

สำหรับกิจการกฟผ.เป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับสมบัติของแผ่นดินและเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ คนที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งกรณีของนายโอฬารถือว่าผลประโยชน์ทับซ้อนชัดเจน รวมทั้งกรณีของนายปริญญา ในส่วนของรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่แปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ทางเรากำลังศึกษาอยู่ว่าจะสามารถฟ้องร้องเพื่อทวงสมบัติคืนกลับมาให้ประชาชนได้หรือไม่

**"ทักษิณ"ทรราชแผ่นดิน

นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสสร.ที่เป็นเจ้าของแนวความคิดในการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคก็ขึ้นกล่าวปราศรัยว่าทักษิณ...ออกไป วันนี้เป็นการประกาศชัยชนะเหนือทรราชย์ เราได้กฟผ.กลับคืนมาแล้ว ศาลปกครองได้เอาสมบัติของแผ่นดินกลับคืนมาให้คนไทย พ.ร.ฎ การแปรรูปกฟผ.ทั้ง 2ฉบับเป็นโมฆะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กฟผ.คืนสภาพทันทีหลังมีการประกาศคำพิพาษาในวันนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าทักษิณเป็นทรราชของแผ่นดิน ฉ้อฉลต่อประเทศ

**ปชป.ยันแปรรูปไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ศาลปกครองสูงสุด พิพากษา ให้เพิกถอนการกระจายหุ้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) ในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการยกเลิก พ.ร.ฎ.2 ฉบับ ตามที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค 11 ยื่นฟ้อง โดยศาลให้เหตุผลว่า พ.ร.ฎ.ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่า ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของภาคประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นความรับชอบของรัฐบาลโดยตรงในฐานะที่ออกนโยบายนี้ ดังนั้นรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง ที่ตัดสินใจดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดในฐานะผู้รับผิดชอบสูงสุดของประเทศในระบอบประชาธิปไตย และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะการแปรรรูปรัฐวิสหากิจ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงไม่ยอมลาออก ถึงขนาดมีการกล่าวหาว่ามีการทุจรติคอรัปชั่น อย่างร้ายแรงและมีการเรียกร้องให้ลาออกแต่ยังไม่ออก

ดังนั้นรัฐบาลต้องกลับไปทบทวนเรื่องการแปรรูปทั้งหมด โดยยกเลิกพ.ร.ฎ.2 ฉบับ เพื่อให้บมจ.กฟผ.กลับเป็นรัฐสาหกิจตามเดิม โดยการโอนทรัย์สินทั้งหมดกลับมายังกฝผ.โดยอาศัยกฎหมายมหาชน ซึ่งขณะนี้ บมจ.กฟผ.กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่กฟผ.รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้น ในรูปของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลและพนักงานกฟผ.ว่าจะเดินหน้าหรือกลับไปเป็นกฟผ.เหมือนเดิม เพราะขณะนี้มีปัญหาเรื่องการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยพนักงานทุกคนถือเป็นผู้ถือหุ้นราย่อย มีการโอนหุ้นและจ่ายภาษีเรียบร้อยแล้ว จึงขึ้นอยู่กับว่ากรมสรรพากรจะมีการคืนภาษีให้หรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการเจรจาเพราะไม่ใช่เรื่องง่าย หากพนักงานต้องการกลับมาเป็น กฟผ.

**ปชป.เตรียมออกสมุดปกขาวแจงปชช.

นายกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายทั้งหมด อย่าแก้ไขด้วยการแก้ไข พ.ร.ฎ.ใหม่ เพราะถือเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะหาทางออกที่เหมาะสม เพราะการวินิจฉัยของศาลปกครองครั้งนี้ถือเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาเทียบเคียงกับการแปรรูปรัฐวิสกิจอื่นๆ ได้ เช่น ปตท.ซึ่งมีการดำเนินนโยบายในลักษณะที่ใกล้เคียงกันผ่าน พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ ที่ครั้งหนึ่งพรรคไทยรักไทยเคยหาเสียงว่าพ.รบ.ดังกล่าเป็นกฎหมายขายชาติ แต่พรรคไทยรักไทยกลับใช้พ.ร.บ.นี้มากที่สุดเพื่อผลประโยชน์ของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลว่าจะสามารถนำกรณีของกฟผ.ไปเทียบเคียงกับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นหรือไม่ และอาจจะรวมไม่ถึงการแปรรูป ทศท.และกสท. อย่างไรก็ตามในเร็วๆ นี้พรรคประชาธิปัตย์ เตรียมออกสมุดปกขาวเพื่อชี้แจงนโยบายการแปรรูปของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

**สศค.ชี้กระทบหุ้นรัฐวิสาหกิจตัวอื่นแน่

นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การที่ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ยกเลิกเพิกถอนพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2548 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 2548 เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น การกระจายหุ้นของบมจ.กฟผ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ต้องระงับไป โดยแนวทางการลงทุนในอนาคตของกฟผ.อาจให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนแล้วขายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้กับกฟผ. หรือลดขนาดการลงทุนลง ขณะที่งบประมาณที่กฟผ.จะใช้ลงทุนนั้นก็คงต้องกลับมาใช้รูปแบบเดิมคือ เงินอุดหนุนจากรัฐบาล งบประมาณของบริษัท กู้จากต่างประเทศเอง หรือออกพันธบัตรโดยให้รัฐบาลค้ำประกันหรือไม่ก็ได้

"คำสั่งระงับการกระจายหุ้นในครั้งนี้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนบ้างพอสมควร เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ นักลงทุนอาจเสียดายโอกาสในการซื้อหุ้นตัวนี้เพราะเป็นหุ้นที่มีอนาคตและน่าจะสร้างกำไรและผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ดี และคำสั่งศาลในครั้งนี้อาจส่งผลกระทบกับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ที่เตรียมตัวจะเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะกิจการด้านสาธารณูปโภค ทั้งไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์" นายสมชัยกล่าว

**"เลี๊ยบ"ชี้รัฐบาลชุดใหม่ปฏิรูปรสก.

น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า รัฐบาลเคารพคำพิพากษาของศาลปกครองแม้ว่าจะมีผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายบางคนเห็นข้อขัดแย้งทางกฎหมายบางประการอยู่ แต่คำพิพากษาของศาลปกครองนั้นเป็นที่สิ้นสุดและไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ อีกทั้งครม.ได้พ้นจากหน้าที่ไปตั้งแต่การยุบสภาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.2549 ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครม.ชุดใหม่หลังการเลือกตั้งที่จะพิจารณาแนวทางการดำเนินการว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยรัฐบาลชุดใหม่ควรที่จะนำคำพิพากษาของศาลปกครองมาเป็นแนวทางด้วย

ต่อข้อถามว่า ครม.ชุดที่แล้วเป็นผู้ออกกฎหมายทั้ง 2 ฉบับเมื่อมีการยกเลิก จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร น.พ.สุรพงษ์กล่าวว่า ควรรอครม.ชุดใหม่ ยืนยันว่านโยบายปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานนั้นควรที่จะต้องดำเนินการต่อไป เพียงแต่แนวทางจะดำเนินการอย่างไรนั้นเป็นหน้าที่ของครม.ชุดใหม่ คำพิพากษาของคดีนี้พูดถึงขั้นตอนและวิธีการออกพระราชกฤษฎีกาแต่ไม่ได้พูดถึงหลักการทางกฎหมายการแปรรูปกฟผ. ฉะนั้นครม.ชุดใหม่สามารถดำเนินการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจได้ต่อไป

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเวลาอ่านคำพิพากษาก่อน เพราะอาจมีปัญหาด้านการตีความทางกฎหมายบางด้าน ส่วน ครม.จะแสดงรับผิดชอบอย่างไรนั้น นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า การออกกฏหมายทั้ง 2 ฉบับ เป็นไปตามอำนาจหน้าที่การบริหารและปกครอง
กำลังโหลดความคิดเห็น