เมื่อรู้ว่าคัมภีร์ใบลานเก่าแก่ในตู้พระไตรปิฎกใบที่ฝาตู้เปิดอ้าอยู่นั้นเป็นคัมภีร์พระมาลัยแล้วผมจึงเก็บไว้ในที่เดิม ส่วนตู้พระไตรปิฎกอีกใบหนึ่งซึ่งฝายังปิดสนิทอยู่นั้นผมไม่กล้าเปิดออกดู แต่ก็ยังสะดุดอยู่ในใจว่าต้องมีอะไรเป็นพิเศษอันควรแก่การศึกษาอยู่ในตู้พระไตรปิฎกทั้งสองใบนี้ ตั้งใจว่าวันข้างหน้าเมื่อมีเวลาจะลองมาศึกษาค้นคว้าดูสักครั้งหนึ่ง
ผมเดินออกจากคณะหนึ่งไปที่วิหารสมเด็จ กราบบอกความต่อเจ้าประคุณที่ได้เล่าเรียนมนต์พระคาถาชินบัญชรจนสำเร็จ และรำลึกถึงพระคุณในเจ้าประคุณสมเด็จที่ได้เมตตาเอื้ออาทรอยู่ในใจ เสร็จแล้วจึงออกมานั่งสนทนากับแม่ชีเฒ่า พร้อมกับเล่าความสำเร็จให้ทราบ
แม่ชีเฒ่าได้ทราบความก็ดีใจ และบอกว่าหนูเอยเก่งมาก พระคาถาชินบัญชรเป็นพระคาถาที่มีความยาวและเป็นภาษาบาลี หากไม่มีศรัทธาและสมเด็จท่านไม่เมตตาแล้วยากที่จะเรียนให้สำเร็จได้
แม่ชีเฒ่าได้สอนว่าพระคาถาชินบัญชรจะมีความศักดิ์สิทธิ์ก็ด้วยหมั่นภาวนาท่องบ่นอย่าได้ทิ้งช่วงให้ขาดตอน มิฉะนั้นจะหลงลืม พอผมได้ฟังดังนั้นจึงรีบเข้าไปกราบสมเด็จอีกครั้งหนึ่ง ขอให้มีความทรงจำอย่าได้ลืมเลือนเลย
กราบแล้วก็เอาแผ่นทองเปลวที่ตกลงข้างๆ แท่นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เจิมลงที่หน้าผาก พลางภาวนาพระคาถาที่ใช้สำหรับตรึงมนต์และอาคมต่างๆ เพื่อไม่ให้ลืมเลือนตามวิชาที่ได้เล่าเรียนมาจากสำนักพระอาจารย์
ผมออกมานั่งคุยกับแม่ชีเฒ่าต่อไป แม่ชีเฒ่าเห็นดังนั้นจึงถามว่าเจ้าหนูรู้วิชานะหน้าทองหรืออย่างไร ผมจึงเลี่ยงตอบไปว่าผมขอแผ่นทองเปลวจากเจ้าประคุณสมเด็จเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเท่านั้น แล้วปรารภขึ้นว่าผมมาอยู่วัดระฆังก็หลายวันแล้ว อยากได้พระสมเด็จรุ่นแรกๆ สักองค์หนึ่งไว้เป็นพระประจำตัว
แม่ชีเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็รู้ความนัยจึงบอกว่ายายไม่มีหรอก พระสมเด็จรุ่นแรกๆ จะหาที่ไหนได้ ใครเขามีแล้วก็จะเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครรู้ใครเห็น เพราะหากใครรู้เห็นแล้วก็จะมีผู้คนมากวนใจขอชมขอเช่าไม่รู้หยุดไม่รู้หย่อน
ผมจึงถามต่อไปว่าในวัดระฆังนี้สมเด็จท่านบรรจุพระสมเด็จไว้ที่กรุไหนบ้าง แม่ชีเฒ่าก็บอกว่าสมเด็จท่านไม่เคยบรรจุพระสมเด็จไว้ในวัดระฆัง แต่เคยได้ยินคนเก่าๆ เล่าขานว่าในพระปรางค์ริมแม่น้ำและที่ผนังเพดานพระอุโบสถยังมีเก็บไว้บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นเลย แล้วแม่ชีเฒ่าจึงกล่าวถามว่าจะขวนขวายหาพระสมเด็จเก่าๆ ไปทำไม เรียนพระคาถาชินบัญชรสำเร็จแล้วก็เหมือนมีพระสมเด็จรุ่นแรกอยู่กับตัวนั่นแหละ
ผมได้ยินความดังนั้นจึงตั้งใจว่าถ้าหากวาสนาจะได้พระสมเด็จรุ่นแรกๆ หากแม้มีอยู่ในสองที่ดังกล่าว ผมก็จะเพียรพยายามเชิญพระสมเด็จมาเป็นพระสำหรับตัวให้จงได้สักวันหนึ่ง
ผมเห็นว่าแม่ชีเฒ่ารู้ความเก่าเป็นอันมากจึงถามต่อไปว่าเมื่อครั้งสมเด็จท่านทำพระสมเด็จนั้น ผงเก่าๆ แต่ครั้งโน้นมีเหลือเก็บอยู่ที่ไหนบ้าง ผมถามดังนี้ก็เพราะคิดอยู่ในใจว่าแม้มีผงเก่าๆ ก็ยังดี
แม่ชีเฒ่าจึงว่าเศษผงที่หลงเหลือแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จทำพระมีเก็บไว้ที่คณะสี่ ตกทอดมาจนถึงพระครูหินเป็นผู้ดูแลในปัจจุบันนี้ แต่อย่าไปขอให้ยากเลยเพราะพระครูหินหวงแหน ถึงเป็นตายอย่างไรก็ไม่มีทางให้ใครอย่างเด็ดขาด
ต่อมาภายหลังผมซึ่งยังติดใจในเรื่องผงพระสมเด็จเก่าที่คณะสี่ จึงได้แวะเวียนไปเลียบเคียงถามเพื่อนเด็กวัดและพระเณรคณะสี่ดู จึงได้รู้ว่าเป็นความจริงดังความที่แม่ชีบอก หลวงตารูปหนึ่งได้บอกว่าหลวงปู่หินหวงแหนผงทำพระนี้มาก ถึงขนาดจัดเก็บเป็นพิเศษไว้ที่กลางบึง
ภายในคณะสี่ในยุคนั้นมีบึงน้ำอยู่บึงหนึ่ง บางจุดก็ลึก บางจุดก็ตื้น มีเต่าและปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก สังเกตจากเต่าที่อยู่ในบึงน้ำนั้นแล้วบ้างก็ตัวใหญ่ซึ่งแสดงว่าผ่านวันเวลามาช้านานแล้ว กุฏิของคณะสี่บางหลังก็ปลูกอยู่ในบึง ภายในบึงนั้นมีเสาหินอยู่เสาหนึ่ง บนเสามีโอ่งอยู่ใบหนึ่งขนาดไม่ใหญ่มาก โอ่งใบนี้นี่แหละที่หลวงตาบอกว่าเป็นที่เก็บผงพระสมเด็จที่ตกทอดมาแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จยังมีชีวิตอยู่
เมื่อครั้งที่มีการฉลองสมโภชน์เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีดับขันธ์ครบ 108 ปี และ 122 ปี เป็นสมัยที่พระครูผันพระรุ่นน้องหลวงปู่หินเจริญด้วยพรรษาและครองสมณศักดิ์ที่พระเทพประสิทธิคุณได้ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆัง ได้จัดทำพระสมเด็จขึ้นเป็นอนุสรณ์และบูรณะศาสนสถานในวัดระฆัง ได้นำเอาผงพระสมเด็จเก่าแต่ครั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้ทำเก็บไว้มาเป็นส่วนผสมสำคัญในการทำเป็นพระสมเด็จรุ่นนี้ด้วย
ดังนั้นพระสมเด็จวัดระฆังที่ทำขึ้นในสมัย 108 และ 122 ปีสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ดังกล่าวจึงทำด้วยผงเก่าที่ตกทอดมาแต่ครั้งที่เจ้าประคุณสมเด็จได้ทำไว้ และเป็นพระสมเด็จที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธลักษณะและสีสันเป็นอย่างเดียวกับพระสมเด็จรุ่นแรกๆ บางองค์ที่มีผงเก่ารวมกันอยู่มากๆ ก็จะมีลักษณะเหมือนพระสมเด็จรุ่นแรกๆ แม้กระทั่งแตกลายงาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นใครที่โชคดีได้พระที่ผงเก่ารวมกันอยู่มากหน่อยก็เหมือนกับได้ครองพระสมเด็จรุ่นแรกๆ นั่นเอง
แม่ชีเฒ่าเล่าให้ฟังว่านอกจากผงเก่าที่หลวงปู่หินเก็บรักษาไว้แล้ว แต่ก่อนมาที่ท่านเจ้าคุณใหญ่ก็พอมีเหลือเก็บอยู่บ้าง และได้ใช้ในการทำพระสมเด็จรุ่น พ.ศ. 2500 หรือที่เรียกกันว่าสมเด็จเผ่า เพราะ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้นเป็นประธานในการจัดทำเนื่องในวันสถาปนากรมตำรวจ และเป็นโอกาสเดียวกับที่มีการฉลอง 25 พุทธศตวรรษด้วย
ผงที่เหลือจากการทำพระสมเด็จรุ่นนั้นได้นำมาผสมในการทำพระสมเด็จรุ่นต่อๆ ไป ในลักษณะสืบทอดเชื้อผงเช่นเดียวกับน้ำมนต์ แต่แม่ชีเฒ่าได้เตือนว่าพระสมเด็จที่กุฏิใหญ่นั้นต้องระวังหน่อยเพราะเป็นพระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านเป็นผู้ทำก็มี เป็นพระสมเด็จโอฬารก็มี
พระสมเด็จโอฬารก็คือพระสมเด็จที่หัวหน้าเด็กวัดของกุฏิใหญ่ทำขึ้นเองแล้วแจกจ่ายแก่ผู้ทำบุญ ดังนั้นพระสมเด็จในสมัยหลวงปู่นาคจึงมีสองชนิดดังนี้ และทำให้ผมต้องจำชื่อโอฬารซึ่งเป็นหัวหน้าเด็กวัดกุฏิใหญ่ว่าจะต้องไปทำความรู้จักเสวนาสักหน่อยหนึ่ง
โอฬารเป็นเด็กวัดรุ่นใหญ่ มีศักดิ์เป็นหลานหลวงปู่นาค สำนักอยู่ที่กุฏิใหญ่ของหลวงปู่นาคนั่นเอง โอฬารมาอยู่วัดระฆังก่อนหน้าผมหลายปี เพราะศักดิ์และฐานะเช่นนี้โอฬารจึงเป็นลูกพี่ใหญ่ของบรรดาเด็กวัดในกุฏิใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กวัดจากภาคอีสาน และถือตัวว่าเป็นหัวหน้าเด็กวัดคณะหนึ่งด้วย ทั้งๆ ที่เด็กวัดคณะหนึ่งนั้นแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัดที่มาจากภาคอีสานก็ตาม แต่ก็ยังมีเด็กวัดจากภาคใต้และเด็กวัดจากภาคกลางอีกหลายคน
สำหรับเด็กวัดจากภาคใต้นั้นก็มีเด็กวัดรุ่นใหญ่ที่มีอาวุโสกว่าโอฬารและเรียนสูงๆ อยู่หลายคน แต่เด็กวัดจากปักษ์ใต้รุ่นใหญ่เหล่านี้ก็ไม่ได้คิดที่จะแก่งแย่งแข่งดีหรือชิงความเป็นหัวหน้ากับโอฬารแต่ประการใด เพราะถือเสียว่าโอฬารเป็นหลานท่านเจ้าคุณใหญ่ สำนักอยู่ในกุฏิท่านเจ้าคุณใหญ่ ย่อมใกล้ชิดและรู้ความประสงค์ต่าง ๆ ของท่านเจ้าคุณใหญ่ดีกว่าคนอื่น ดังนั้นโอฬารจะว่ากล่าวประการใดบรรดาเด็กวัดทั้งปวงจึงถือว่าเป็นดำริของท่านเจ้าคุณใหญ่ หรือไม่ก็เป็นไปตามความประสงค์หรือความต้องการของท่านเจ้าคุณใหญ่ ทุกคนจึงพร้อมใจทำตามอยู่เสมอ
ในขณะที่ผมเพิ่งเข้ามาอยู่วัดระฆังนั้นโอฬารเรียนธรรมศาสตร์มาหลายปีแล้วและไม่ยอมจบสักทีหนึ่ง เพราะในขณะนั้นการเรียนในธรรมศาสตร์หากยังไม่จบปริญญาตรีจะเรียนซ้ำสักกี่ปีก็ได้ เพิ่งมากำหนดให้เรียนได้ไม่เกิน 8 ปีก็ในภายหลังไม่กี่ปีมานี้
วันนั้นผมออกจากวิหารสมเด็จในเวลาตกบ่ายแล้ว อากาศยังร้อนอบอ้าวทั้งไม่มีกิจธุระอันใดจึงแวะมาที่แผงลอยร้านกาแฟหน้าคณะหนึ่ง เห็นมีตาแก่คนหนึ่งนั่งเล่นหมากรุกอยู่คนเดียวก็รู้สึกแปลกใจ จึงแวะเข้าไปนั่งสั่งชาเย็นมาดื่มแก้กระหาย
เจ้าของร้านเห็นผมก็ทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี ผมจึงถือโอกาสถามว่าวันก่อนเป็นอะไรเพราะท่าทางเหมือนกับถูกตีหัวมา ไม่ทันที่ฝ่ายผัวจะตอบ ฝ่ายเมียได้ชิงตอบขึ้นก่อนว่าก็จะเป็นอะไรเสียอีก มันเอาแต่เล่นบิลเลียด บ้าบิลเลียดทั้งวันทั้งคืน บ้านช่องไม่ยอมกลับ ให้ลูกไปตามก็ไม่ยอมกลับ ฉันจึงตามไปเอาไม้บิลเลียดฟาดหัวนั่นแหละถึงได้กลับ แต่ไม่ได้กลับบ้านหรอกเพราะต้องไปโรงพยาบาลแทน
พูดแล้วสองผัวเมียก็ด่ากันเองต่อไป ผมจึงขยับเข้าไปนั่งสนทนากับตาแก่แล้วถามว่าลุงเล่นหมากรุกคนเดียวจะได้การหรือ เพราะหมากรุกจะเล่นให้สนุกก็ต้องมีคู่เล่น แล้วถามว่าลุงเล่นหมากฮอสเป็นไหม ถ้าหากเป็นมาเล่นกับผมดีกว่า
ที่ชวนตาแก่เล่นหมากฮอสก็เพราะว่าผมมีพื้นฐานการเล่นหมากฮอสมาจากบ้านนอก ถึงไม่จัดว่าเก่งแต่ก็พอนับว่าพอตัว และอยู่ในแนวหน้าของผู้คนในบ้านเดียวกัน ส่วนหมากรุกนั้นพอเดินได้แต่ไม่จัดว่าเดินเป็น
ตาแก่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า โอ๊ยหมากฮอสฉันไม่เล่นดอก เป็นเรื่องของเด็กๆ ที่มุทะลุเอาแต่เดินหน้าท่าเดียว ในชีวิตจริงมีที่ไหนที่จะเดินหน้าได้อย่างเดียว จะต้องรู้จักหยุด รู้จักถอย และต้องรู้จักใช้กลอุบายที่ลึกซึ้ง หมากรุกนี่แหละสอดคล้องกับชีวิตจริงของคน เพราะในสังคมเต็มไปด้วยคนดี คนชั่ว แต่คนชั่วเจ้าเล่ห์เพทุบายมีเกลื่อนกลาด ในขณะที่คนดีซุกตัวเก็บตัวอยู่ที่บ้าน ว่าแล้วก็ท่องโคลงตอนหนึ่งว่า “เล่นหมากรุกสนุกล้ำเพราะล้ำลึก”
ผมได้ฟังตาแก่ดังนั้นก็รู้สึกว่าตาแก่คนนี้ท่าจะไม่ธรรมดา เพราะดูท่าเจ้าบทเจ้ากลอน และรู้คติของชีวิตที่ลึกซึ้งอยู่ไม่น้อย จึงบอกว่าผมเล่นหมากรุกไม่เก่ง ถึงจะเล่นก็สู้ลุงไม่ได้
ตาแก่นั้นได้บอกว่าหมากรุกนี้มีความพิเศษ คนไม่เก่งกับคนเก่งก็เล่นกันได้ เพราะสามารถให้แต้มต่อกันได้ หากฝีมือห่างกันมากก็ลดเรือ หากฝีมือห่างกันไม่มากก็ลดเม็ด มีหลายลำดับชั้น จะเอาชั้นไหนก็ได้ มาลองเล่นกันดู
ผมต้องการจะผูกมิตรกับตาแก่จึงฝืนใจยอมเล่นหมากรุก ตาแก่เห็นผมท่าทางจะอ่อนหัดจึงต่อเรือให้ลำหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะไม่รู้ฝีมือแต่คิดว่าขนาดคนบ้าคลั่งหมากรุกขนาดนั่งเล่นคนเดียวได้ก็เห็นจะมีฝีมือไม่ธรรมดา
ปรากฏว่าฝีมือตาแก่นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ การขยับหมากแต่ละตัวมีความแคล่วคล่องว่องไว มีพลังรุกรับและหลอกล่ออยู่ตลอดเวลา และผมก็ต้องแพ้แก่ตาแก่ไปตามระเบียบ
แต่ก็ได้ผล เพราะการพ่ายแพ้บางทีก็ได้มิตร ดังที่โบราณมีคติเตือนใจไว้ว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” ซึ่งมีความหมายว่าความพ่ายแพ้ในบางครั้งอาจจะได้รับการยอมรับนับถือจากผู้อื่น หรืออย่างน้อยก็ได้รับความเป็นไมตรี กระทั่งความเอื้ออาทรจากผู้อื่น ในขณะที่ชัยชนะในบางครั้งกลับได้ศัตรูติดตามมา อย่างน้อยก็อาจได้ความหมั่นไส้ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีเท่ากับการรู้จักแพ้ในบางครั้งบางโอกาสที่เหมาะสม
ดังนั้นคนโบราณจึงมักสอนลูกหลานว่าเกิดเป็นคนอย่าทนงตนคิดแต่จะเอาชนะท่าเดียว ต้องรู้จักแพ้ รู้จักชนะ นั่นคือพึงรู้ว่าโอกาสไหนควรต้องแพ้ โอกาสไหนควรต้องชนะ และแม้เห็นว่าจะชนะแล้วหากมีผลเสียตามมาในภายหลังก็ต้องชั่งใจก่อนว่าควรรบหรือไม่ควรรบ เพราะชัยชนะเช่นนั้นหาประเสริฐไม่
ในเรื่องนี้คัมภีร์พิชัยสงครามจึงได้บัญญัติไว้เป็นบทสำคัญว่าผู้บัญชาการรบนั้นจะต้องรู้การว่าควรรบหรือไม่ควรรบก่อน หากไม่ควรรบแม้ถ้ารบไปจะได้ชัยชนะก็รบไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น
โปรดติดตามตอนที่ 13 “ผู้ทรงคุณวุฒิใต้ถุนกุฏิ” ในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2549
ผมเดินออกจากคณะหนึ่งไปที่วิหารสมเด็จ กราบบอกความต่อเจ้าประคุณที่ได้เล่าเรียนมนต์พระคาถาชินบัญชรจนสำเร็จ และรำลึกถึงพระคุณในเจ้าประคุณสมเด็จที่ได้เมตตาเอื้ออาทรอยู่ในใจ เสร็จแล้วจึงออกมานั่งสนทนากับแม่ชีเฒ่า พร้อมกับเล่าความสำเร็จให้ทราบ
แม่ชีเฒ่าได้ทราบความก็ดีใจ และบอกว่าหนูเอยเก่งมาก พระคาถาชินบัญชรเป็นพระคาถาที่มีความยาวและเป็นภาษาบาลี หากไม่มีศรัทธาและสมเด็จท่านไม่เมตตาแล้วยากที่จะเรียนให้สำเร็จได้
แม่ชีเฒ่าได้สอนว่าพระคาถาชินบัญชรจะมีความศักดิ์สิทธิ์ก็ด้วยหมั่นภาวนาท่องบ่นอย่าได้ทิ้งช่วงให้ขาดตอน มิฉะนั้นจะหลงลืม พอผมได้ฟังดังนั้นจึงรีบเข้าไปกราบสมเด็จอีกครั้งหนึ่ง ขอให้มีความทรงจำอย่าได้ลืมเลือนเลย
กราบแล้วก็เอาแผ่นทองเปลวที่ตกลงข้างๆ แท่นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เจิมลงที่หน้าผาก พลางภาวนาพระคาถาที่ใช้สำหรับตรึงมนต์และอาคมต่างๆ เพื่อไม่ให้ลืมเลือนตามวิชาที่ได้เล่าเรียนมาจากสำนักพระอาจารย์
ผมออกมานั่งคุยกับแม่ชีเฒ่าต่อไป แม่ชีเฒ่าเห็นดังนั้นจึงถามว่าเจ้าหนูรู้วิชานะหน้าทองหรืออย่างไร ผมจึงเลี่ยงตอบไปว่าผมขอแผ่นทองเปลวจากเจ้าประคุณสมเด็จเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเท่านั้น แล้วปรารภขึ้นว่าผมมาอยู่วัดระฆังก็หลายวันแล้ว อยากได้พระสมเด็จรุ่นแรกๆ สักองค์หนึ่งไว้เป็นพระประจำตัว
แม่ชีเฒ่าได้ฟังดังนั้นก็รู้ความนัยจึงบอกว่ายายไม่มีหรอก พระสมเด็จรุ่นแรกๆ จะหาที่ไหนได้ ใครเขามีแล้วก็จะเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครรู้ใครเห็น เพราะหากใครรู้เห็นแล้วก็จะมีผู้คนมากวนใจขอชมขอเช่าไม่รู้หยุดไม่รู้หย่อน
ผมจึงถามต่อไปว่าในวัดระฆังนี้สมเด็จท่านบรรจุพระสมเด็จไว้ที่กรุไหนบ้าง แม่ชีเฒ่าก็บอกว่าสมเด็จท่านไม่เคยบรรจุพระสมเด็จไว้ในวัดระฆัง แต่เคยได้ยินคนเก่าๆ เล่าขานว่าในพระปรางค์ริมแม่น้ำและที่ผนังเพดานพระอุโบสถยังมีเก็บไว้บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นเลย แล้วแม่ชีเฒ่าจึงกล่าวถามว่าจะขวนขวายหาพระสมเด็จเก่าๆ ไปทำไม เรียนพระคาถาชินบัญชรสำเร็จแล้วก็เหมือนมีพระสมเด็จรุ่นแรกอยู่กับตัวนั่นแหละ
ผมได้ยินความดังนั้นจึงตั้งใจว่าถ้าหากวาสนาจะได้พระสมเด็จรุ่นแรกๆ หากแม้มีอยู่ในสองที่ดังกล่าว ผมก็จะเพียรพยายามเชิญพระสมเด็จมาเป็นพระสำหรับตัวให้จงได้สักวันหนึ่ง
ผมเห็นว่าแม่ชีเฒ่ารู้ความเก่าเป็นอันมากจึงถามต่อไปว่าเมื่อครั้งสมเด็จท่านทำพระสมเด็จนั้น ผงเก่าๆ แต่ครั้งโน้นมีเหลือเก็บอยู่ที่ไหนบ้าง ผมถามดังนี้ก็เพราะคิดอยู่ในใจว่าแม้มีผงเก่าๆ ก็ยังดี
แม่ชีเฒ่าจึงว่าเศษผงที่หลงเหลือแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จทำพระมีเก็บไว้ที่คณะสี่ ตกทอดมาจนถึงพระครูหินเป็นผู้ดูแลในปัจจุบันนี้ แต่อย่าไปขอให้ยากเลยเพราะพระครูหินหวงแหน ถึงเป็นตายอย่างไรก็ไม่มีทางให้ใครอย่างเด็ดขาด
ต่อมาภายหลังผมซึ่งยังติดใจในเรื่องผงพระสมเด็จเก่าที่คณะสี่ จึงได้แวะเวียนไปเลียบเคียงถามเพื่อนเด็กวัดและพระเณรคณะสี่ดู จึงได้รู้ว่าเป็นความจริงดังความที่แม่ชีบอก หลวงตารูปหนึ่งได้บอกว่าหลวงปู่หินหวงแหนผงทำพระนี้มาก ถึงขนาดจัดเก็บเป็นพิเศษไว้ที่กลางบึง
ภายในคณะสี่ในยุคนั้นมีบึงน้ำอยู่บึงหนึ่ง บางจุดก็ลึก บางจุดก็ตื้น มีเต่าและปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก สังเกตจากเต่าที่อยู่ในบึงน้ำนั้นแล้วบ้างก็ตัวใหญ่ซึ่งแสดงว่าผ่านวันเวลามาช้านานแล้ว กุฏิของคณะสี่บางหลังก็ปลูกอยู่ในบึง ภายในบึงนั้นมีเสาหินอยู่เสาหนึ่ง บนเสามีโอ่งอยู่ใบหนึ่งขนาดไม่ใหญ่มาก โอ่งใบนี้นี่แหละที่หลวงตาบอกว่าเป็นที่เก็บผงพระสมเด็จที่ตกทอดมาแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จยังมีชีวิตอยู่
เมื่อครั้งที่มีการฉลองสมโภชน์เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีดับขันธ์ครบ 108 ปี และ 122 ปี เป็นสมัยที่พระครูผันพระรุ่นน้องหลวงปู่หินเจริญด้วยพรรษาและครองสมณศักดิ์ที่พระเทพประสิทธิคุณได้ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆัง ได้จัดทำพระสมเด็จขึ้นเป็นอนุสรณ์และบูรณะศาสนสถานในวัดระฆัง ได้นำเอาผงพระสมเด็จเก่าแต่ครั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้ทำเก็บไว้มาเป็นส่วนผสมสำคัญในการทำเป็นพระสมเด็จรุ่นนี้ด้วย
ดังนั้นพระสมเด็จวัดระฆังที่ทำขึ้นในสมัย 108 และ 122 ปีสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ดังกล่าวจึงทำด้วยผงเก่าที่ตกทอดมาแต่ครั้งที่เจ้าประคุณสมเด็จได้ทำไว้ และเป็นพระสมเด็จที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธลักษณะและสีสันเป็นอย่างเดียวกับพระสมเด็จรุ่นแรกๆ บางองค์ที่มีผงเก่ารวมกันอยู่มากๆ ก็จะมีลักษณะเหมือนพระสมเด็จรุ่นแรกๆ แม้กระทั่งแตกลายงาให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นใครที่โชคดีได้พระที่ผงเก่ารวมกันอยู่มากหน่อยก็เหมือนกับได้ครองพระสมเด็จรุ่นแรกๆ นั่นเอง
แม่ชีเฒ่าเล่าให้ฟังว่านอกจากผงเก่าที่หลวงปู่หินเก็บรักษาไว้แล้ว แต่ก่อนมาที่ท่านเจ้าคุณใหญ่ก็พอมีเหลือเก็บอยู่บ้าง และได้ใช้ในการทำพระสมเด็จรุ่น พ.ศ. 2500 หรือที่เรียกกันว่าสมเด็จเผ่า เพราะ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้นเป็นประธานในการจัดทำเนื่องในวันสถาปนากรมตำรวจ และเป็นโอกาสเดียวกับที่มีการฉลอง 25 พุทธศตวรรษด้วย
ผงที่เหลือจากการทำพระสมเด็จรุ่นนั้นได้นำมาผสมในการทำพระสมเด็จรุ่นต่อๆ ไป ในลักษณะสืบทอดเชื้อผงเช่นเดียวกับน้ำมนต์ แต่แม่ชีเฒ่าได้เตือนว่าพระสมเด็จที่กุฏิใหญ่นั้นต้องระวังหน่อยเพราะเป็นพระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านเป็นผู้ทำก็มี เป็นพระสมเด็จโอฬารก็มี
พระสมเด็จโอฬารก็คือพระสมเด็จที่หัวหน้าเด็กวัดของกุฏิใหญ่ทำขึ้นเองแล้วแจกจ่ายแก่ผู้ทำบุญ ดังนั้นพระสมเด็จในสมัยหลวงปู่นาคจึงมีสองชนิดดังนี้ และทำให้ผมต้องจำชื่อโอฬารซึ่งเป็นหัวหน้าเด็กวัดกุฏิใหญ่ว่าจะต้องไปทำความรู้จักเสวนาสักหน่อยหนึ่ง
โอฬารเป็นเด็กวัดรุ่นใหญ่ มีศักดิ์เป็นหลานหลวงปู่นาค สำนักอยู่ที่กุฏิใหญ่ของหลวงปู่นาคนั่นเอง โอฬารมาอยู่วัดระฆังก่อนหน้าผมหลายปี เพราะศักดิ์และฐานะเช่นนี้โอฬารจึงเป็นลูกพี่ใหญ่ของบรรดาเด็กวัดในกุฏิใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กวัดจากภาคอีสาน และถือตัวว่าเป็นหัวหน้าเด็กวัดคณะหนึ่งด้วย ทั้งๆ ที่เด็กวัดคณะหนึ่งนั้นแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัดที่มาจากภาคอีสานก็ตาม แต่ก็ยังมีเด็กวัดจากภาคใต้และเด็กวัดจากภาคกลางอีกหลายคน
สำหรับเด็กวัดจากภาคใต้นั้นก็มีเด็กวัดรุ่นใหญ่ที่มีอาวุโสกว่าโอฬารและเรียนสูงๆ อยู่หลายคน แต่เด็กวัดจากปักษ์ใต้รุ่นใหญ่เหล่านี้ก็ไม่ได้คิดที่จะแก่งแย่งแข่งดีหรือชิงความเป็นหัวหน้ากับโอฬารแต่ประการใด เพราะถือเสียว่าโอฬารเป็นหลานท่านเจ้าคุณใหญ่ สำนักอยู่ในกุฏิท่านเจ้าคุณใหญ่ ย่อมใกล้ชิดและรู้ความประสงค์ต่าง ๆ ของท่านเจ้าคุณใหญ่ดีกว่าคนอื่น ดังนั้นโอฬารจะว่ากล่าวประการใดบรรดาเด็กวัดทั้งปวงจึงถือว่าเป็นดำริของท่านเจ้าคุณใหญ่ หรือไม่ก็เป็นไปตามความประสงค์หรือความต้องการของท่านเจ้าคุณใหญ่ ทุกคนจึงพร้อมใจทำตามอยู่เสมอ
ในขณะที่ผมเพิ่งเข้ามาอยู่วัดระฆังนั้นโอฬารเรียนธรรมศาสตร์มาหลายปีแล้วและไม่ยอมจบสักทีหนึ่ง เพราะในขณะนั้นการเรียนในธรรมศาสตร์หากยังไม่จบปริญญาตรีจะเรียนซ้ำสักกี่ปีก็ได้ เพิ่งมากำหนดให้เรียนได้ไม่เกิน 8 ปีก็ในภายหลังไม่กี่ปีมานี้
วันนั้นผมออกจากวิหารสมเด็จในเวลาตกบ่ายแล้ว อากาศยังร้อนอบอ้าวทั้งไม่มีกิจธุระอันใดจึงแวะมาที่แผงลอยร้านกาแฟหน้าคณะหนึ่ง เห็นมีตาแก่คนหนึ่งนั่งเล่นหมากรุกอยู่คนเดียวก็รู้สึกแปลกใจ จึงแวะเข้าไปนั่งสั่งชาเย็นมาดื่มแก้กระหาย
เจ้าของร้านเห็นผมก็ทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี ผมจึงถือโอกาสถามว่าวันก่อนเป็นอะไรเพราะท่าทางเหมือนกับถูกตีหัวมา ไม่ทันที่ฝ่ายผัวจะตอบ ฝ่ายเมียได้ชิงตอบขึ้นก่อนว่าก็จะเป็นอะไรเสียอีก มันเอาแต่เล่นบิลเลียด บ้าบิลเลียดทั้งวันทั้งคืน บ้านช่องไม่ยอมกลับ ให้ลูกไปตามก็ไม่ยอมกลับ ฉันจึงตามไปเอาไม้บิลเลียดฟาดหัวนั่นแหละถึงได้กลับ แต่ไม่ได้กลับบ้านหรอกเพราะต้องไปโรงพยาบาลแทน
พูดแล้วสองผัวเมียก็ด่ากันเองต่อไป ผมจึงขยับเข้าไปนั่งสนทนากับตาแก่แล้วถามว่าลุงเล่นหมากรุกคนเดียวจะได้การหรือ เพราะหมากรุกจะเล่นให้สนุกก็ต้องมีคู่เล่น แล้วถามว่าลุงเล่นหมากฮอสเป็นไหม ถ้าหากเป็นมาเล่นกับผมดีกว่า
ที่ชวนตาแก่เล่นหมากฮอสก็เพราะว่าผมมีพื้นฐานการเล่นหมากฮอสมาจากบ้านนอก ถึงไม่จัดว่าเก่งแต่ก็พอนับว่าพอตัว และอยู่ในแนวหน้าของผู้คนในบ้านเดียวกัน ส่วนหมากรุกนั้นพอเดินได้แต่ไม่จัดว่าเดินเป็น
ตาแก่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า โอ๊ยหมากฮอสฉันไม่เล่นดอก เป็นเรื่องของเด็กๆ ที่มุทะลุเอาแต่เดินหน้าท่าเดียว ในชีวิตจริงมีที่ไหนที่จะเดินหน้าได้อย่างเดียว จะต้องรู้จักหยุด รู้จักถอย และต้องรู้จักใช้กลอุบายที่ลึกซึ้ง หมากรุกนี่แหละสอดคล้องกับชีวิตจริงของคน เพราะในสังคมเต็มไปด้วยคนดี คนชั่ว แต่คนชั่วเจ้าเล่ห์เพทุบายมีเกลื่อนกลาด ในขณะที่คนดีซุกตัวเก็บตัวอยู่ที่บ้าน ว่าแล้วก็ท่องโคลงตอนหนึ่งว่า “เล่นหมากรุกสนุกล้ำเพราะล้ำลึก”
ผมได้ฟังตาแก่ดังนั้นก็รู้สึกว่าตาแก่คนนี้ท่าจะไม่ธรรมดา เพราะดูท่าเจ้าบทเจ้ากลอน และรู้คติของชีวิตที่ลึกซึ้งอยู่ไม่น้อย จึงบอกว่าผมเล่นหมากรุกไม่เก่ง ถึงจะเล่นก็สู้ลุงไม่ได้
ตาแก่นั้นได้บอกว่าหมากรุกนี้มีความพิเศษ คนไม่เก่งกับคนเก่งก็เล่นกันได้ เพราะสามารถให้แต้มต่อกันได้ หากฝีมือห่างกันมากก็ลดเรือ หากฝีมือห่างกันไม่มากก็ลดเม็ด มีหลายลำดับชั้น จะเอาชั้นไหนก็ได้ มาลองเล่นกันดู
ผมต้องการจะผูกมิตรกับตาแก่จึงฝืนใจยอมเล่นหมากรุก ตาแก่เห็นผมท่าทางจะอ่อนหัดจึงต่อเรือให้ลำหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะไม่รู้ฝีมือแต่คิดว่าขนาดคนบ้าคลั่งหมากรุกขนาดนั่งเล่นคนเดียวได้ก็เห็นจะมีฝีมือไม่ธรรมดา
ปรากฏว่าฝีมือตาแก่นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ การขยับหมากแต่ละตัวมีความแคล่วคล่องว่องไว มีพลังรุกรับและหลอกล่ออยู่ตลอดเวลา และผมก็ต้องแพ้แก่ตาแก่ไปตามระเบียบ
แต่ก็ได้ผล เพราะการพ่ายแพ้บางทีก็ได้มิตร ดังที่โบราณมีคติเตือนใจไว้ว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” ซึ่งมีความหมายว่าความพ่ายแพ้ในบางครั้งอาจจะได้รับการยอมรับนับถือจากผู้อื่น หรืออย่างน้อยก็ได้รับความเป็นไมตรี กระทั่งความเอื้ออาทรจากผู้อื่น ในขณะที่ชัยชนะในบางครั้งกลับได้ศัตรูติดตามมา อย่างน้อยก็อาจได้ความหมั่นไส้ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีเท่ากับการรู้จักแพ้ในบางครั้งบางโอกาสที่เหมาะสม
ดังนั้นคนโบราณจึงมักสอนลูกหลานว่าเกิดเป็นคนอย่าทนงตนคิดแต่จะเอาชนะท่าเดียว ต้องรู้จักแพ้ รู้จักชนะ นั่นคือพึงรู้ว่าโอกาสไหนควรต้องแพ้ โอกาสไหนควรต้องชนะ และแม้เห็นว่าจะชนะแล้วหากมีผลเสียตามมาในภายหลังก็ต้องชั่งใจก่อนว่าควรรบหรือไม่ควรรบ เพราะชัยชนะเช่นนั้นหาประเสริฐไม่
ในเรื่องนี้คัมภีร์พิชัยสงครามจึงได้บัญญัติไว้เป็นบทสำคัญว่าผู้บัญชาการรบนั้นจะต้องรู้การว่าควรรบหรือไม่ควรรบก่อน หากไม่ควรรบแม้ถ้ารบไปจะได้ชัยชนะก็รบไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น
โปรดติดตามตอนที่ 13 “ผู้ทรงคุณวุฒิใต้ถุนกุฏิ” ในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2549