xs
xsm
sm
md
lg

คนเครียด-คนป่วย-โรคจิต

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

หลายๆ สัปดาห์หรือเดือนสองเดือนที่ผ่านมา “แสงแดด” ยอมรับสารภาพว่า “มึน-เบลอ” จนถึงขนาด “เฟอะฟะ” และถึงขั้น “เพ้อเจ้อ” คิดอะไรไม่ค่อยออก ไอ้ที่คิดอะไรไม่ออกมิใช่เพราะว่า “สมองกลวง” แต่ประการใด เพียงแต่ “เรื่องมันเยอะ!” เรียกว่า “เต็มกะโหลก” ไปหมด จนเกิดอาการเครียด แยกแยะไม่ออกว่าจะพร่ำพรรณนาเรื่องไหนดี

แต่ก็แปลกนะที่ทุกเรื่องใน “หัวสมอง” โฟกัสไปที่บ้านเมืองอย่างเดียว และที่แน่นอนโฟกัสหรือคำถามสุดท้ายพุ่งไปที่ “คนเหลี่ยมจัด!” ที่ “ร้อยเล่มเกวียน” ไม่รู้จักจบจักสิ้น “ดิ้นรน-ยื้อ-ยืด” เพื่อให้ถึงวันที่ 2 เมษายน “การฟอกตัว” ด้วยสารพัดกลยุทธ์จะได้เป็นข้ออ้าง หาความชอบธรรม โดยไม่คำนึงว่า “ประเทศชาติ-ประชาชน” จะบอบช้ำ เสียหายเพียงใด หรืออาจไม่แคร์ด้วยซ้ำว่า “เลือดจะตกยางจะออก” ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง เพียงเพื่อเหตุผลเดียวคือ “ข้าฯ ต้องอยู่รอด!”

“แสงแดด” มั่นใจว่าคงมิได้เป็นคนเดียวที่ “สับสน-ฟุ้งซ่าน” จนคิดอะไรไม่ถูก “จับต้นชนปลายไม่ได้!” จนถึงขั้น “เลอะเทอะ-เละเทะ!” ในการดำเนินชีวิตประจำวัน จนเกิดอาการ “เครียด!”

มิใช่เฉพาะแต่ “แสงแดด” เท่านั้น สมาชิกทุกคนในครอบครัวเริ่มส่ออาการ “เบลอ...เบลอ!” และ “เครียด” ในที่สุด ผู้คนโดยทั่วไปที่มีโอกาสได้เสวนาด้วยต่างอยู่ในอารมณ์เช่นนี้หมด และบางคนถึงกับเล่าให้ “แสงแดด” ฟังว่าเดี๋ยวนี้ไม่กล้าคุยเรื่องบ้านเมืองภายในสมาชิกครอบครัวแล้ว เพราะจะทะเลาะกันตาย!

เท่านั้นยังไม่พอ พอเดินออกนอกบ้านเพื่อระบายความเครียดกับเพื่อนฝูงตามสภากาแฟหรือร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ใหม่ๆ ก็คุยสนทนากันดีอยู่หรอก แต่พอวกเข้ามาเรื่อง “คนเหลี่ยมจัด!” เมื่อใด ไม่เกิน 10 นาที ก็ส่งเสียงโหวกเหวกทะเลาะ โต้เถียง ขัดแย้งกันแล้ว

“แสงแดด” ว่า “มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว!” ทั้งนี้ความจริงที่เราทุกคนต้องยอมรับว่า แทบทุกคนเวลาเจอหน้ากันบนท้องถนนหรือตามสถานที่ต่างๆ ลองถามดูซิว่าใน “ซอกสมอง-ซอกความคิด” ของแต่ละคนนั้น มีเรื่อง “ความตึงเครียด” ของบ้านเมืองอยู่มั้ย รับรองได้เลยว่า “มีทุกคน!”

สภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งการลงทุนภายในประเทศ และต่างประเทศ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ตลอดจนการบริโภคภายในประเทศต่าง “สะดุด” และ “ชะงัก-ชะลอ” กันไปเรียบร้อย แม้กระทั่งนักธุรกิจภาคเอกชน ร้านค้าต่างๆ “บ่นอุบ!” ว่าสภาพเศรษฐกิจเริ่ม “นิ่ง”

แม้กระทั่งสวนจตุจักร ตลาดสดหลายๆ แห่ง ผู้คนเดินจับจ่ายใช้สอยน้อยลง นักท่องเที่ยวต่างชาติ “หด” ลงไปครึ่งต่อครึ่ง พ่อค้าแม่ขายหน้าเหี่ยวกันเป็นแถวๆ และที่ “แสงแดด” ขอเล่าให้ฟังเลยว่า คำถามสำคัญพรั่งพรูจากปากประชาชนทั่วไป รวมทั้งพ่อค้าแม่ขาย ยกตัวอย่างที่ตลาด อ.ต.ก.และสวนจตุจักรต่างถามว่า “เมื่อไหร่จะจบซะที” นั่นหนึ่งคำถาม คำถามที่สองตามมา “โอ๊ย! เบื่อจริงๆ ใครจะกล้าตัดสินใจรับผิดชอบกับปัญหาสังคมแตกแยกนี้” คำถามที่สามถามว่า “นายกฯ จะเอายังไงกันแน่ ไม่รู้สึกรู้สาเลยหรือว่าบ้านเมืองมันเริ่มย่ำแย่อีกแล้ว...ลาออกหรือไม่ก็เว้นวรรคไปเถอะ!” คำถามสุดท้าย “เมื่อไหร่ในหลวงจะลงมาซะทีนา!”


คำถามต่างๆ เหล่านั้นล้วนเป็นคำถามที่ทุกคนต่างเกิดจากอาการ “สับสน-ว้าเหว่”และอีกครั้งต่างพุ่งเป้าไปที่ “คนหน้าเหลี่ยม” อย่างเดียว แต่มีคำถามเด็ดที่ “แสงแดด” อยากถ่ายทอดสู่กันฟังคือ “หน้าด้าน หน้าทนอยู่ได้ยังไงก็ไม่รู้ ถูกเขาไล่ทุกวัน ไม่ได้รับจ้างมาด้วย เดี๋ยวปิดร้านจะไปสนามหลวง!”

“แสงแดด” บังเอิญเป็นบุคคลที่ชอบตระเวนไปทั่วชนิด “เดินดิน กินข้าวแกง” ตามข้างถนนหรือไม่ก็ร้านก๋วยเตี๋ยว และสุดสัปดาห์เสาร์อาทิตย์ต้องเดินเล่นทักทายผู้คนพ่อค้าแม่ขายที่ตลาดนัดจตุจักร ข้อมูลจึงพรั่งพรูเต็มรูหู และความจริงที่ต้องบอกได้ว่า มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยังเชียร์อยู่ เพราะอาจได้ข้อมูลผิด แต่ส่วนใหญ่ประมาณเกือบร้อยละ 80 “ไม่เชียร์!” แถมบางคนบอก “เกลียด!” ด้วยซ้ำ

ในช่วงที่ “เบลอ...เบลอ!” อยู่นี้มี “ไอเดีย” กระฉูดขึ้นมาท่ามกลางความสับสน เป็นคำศัพท์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ ซึ่งมีทั้งต่อตัวบุคคลและก็เหตุการณ์

เพราะฉะนั้น งวดนี้ขออนุญาตดัดจริตเป็นครูสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษและภาษาไทยก็แล้วกัน!

“Make Belief!” ถ้าจะแปลตรงตัวก็แปลว่า “ทำให้เชื่อ!” หรือ “ทำเชื่อ!” ซึ่งก็คงจะเข้าใจยากอยู่อักโข แต่ความหมายตรงตัวของวลีนี้มีความหมายว่า

“สร้างเหตุการณ์หรือสร้างความคิดเพื่อให้เชื่อ ซึ่งการให้เชื่อนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้คนอื่นเชื่อเสียก่อน พอคนรอบข้างทั้งที่อยู่ใกล้ตัวหรือในชุมชน จนอาจเลยเถิดไปถึงสังคมขนาดใหญ่ เชื่อว่าเป็นจริงเช่นนั้น เมื่อเกิดการเชื่อขึ้นมาแล้วในที่สุด ความเชื่อที่ถูกสร้างขึ้นมานี้ โดยจากตนเองก็จะวกหวนกลับมาทำให้เราเชื่อว่า ไอ้ที่เราพยายามสร้างให้คนอื่นเชื่อนั้น เราก็พลอยเชื่อไปเองด้วย”

หรือกล่าวง่ายๆ ก็หมายความว่า

“สร้างหรือหลอกให้คนอื่นเชื่อพอเป็นเหตุการณ์ และ/หรือ กระแสแล้ว เราก็พลอยถูกหลอกให้หลงเชื่อไปด้วย” ซึ่งว่ากันตามความเป็นจริงง่ายๆ คือ “หลอกตัวเอง” คือ Make หรือ “ทำ-สร้าง” ให้ Belief หรือเชื่อ!

ในสังคมมนุษย์ที่สลับซับซ้อนใบนี้ มีมนุษย์จำนวนมากที่หลงเชื่อสิ่งที่ตนเองอยากจะเชื่อ เมื่ออยากจะเชื่อก็เพียรพยายามสร้างหรือก่อให้เกิดความรู้สึกว่าความเชื่อนั้นเป็นจริง

พฤติกรรมทางจิตวิทยา เรียกว่า “โรคจิต” หรือ “คนป่วย” ที่มักหลง “ตัวเอง” โดยตกเป็นเหยื่อของตนเองและสภาพแวดล้อมที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกับคำว่า “Victim of Circumstances!”

ประโยคข้างบนนั้นแปลว่า “เหยื่อของเหตุการณ์หรือสภาวการณ์” ที่คนส่วนใหญ่มักตกเป็นเหยื่อได้โดยง่ายจากสภาวการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม หรือภาษาไทยอาจหมายความว่า “ตกกระไดพลอยโจน!” ก็ได้

แต่โดยส่วนใหญ่ ที่เมื่อใครตกเป็นเหยื่อแล้วมักจะ “ติดแหง็ก” หรือ “ติดกับดัก” อยู่อย่างนั้น โดยดิ้นไม่หลุด ถึงแม้ว่าจะเพียรพยายาม “ต่อสู้” หรือ “โต้แย้ง!” เพียงใดก็ตามก็ไม่สามารถ “แก้ตัว” ได้ แล้วในที่สุดก็อาจเป็น Make Belief! ก็เป็นได้

“Spoiled!” แปลว่า “เสีย” มีลักษณะเป็นคำแสลงก็เป็นได้ ที่มักนำมาใช้กับบุคคลที่ “เสียนิสัย” เพราะถูก “ตามใจ” และก็มักเสียคนเพราะเป็นไป “ตามอำเภอใจ” ด้วยคำ “ยกยอปอปั้น สรรเสริญเยินยอ” จนเป็น “เทวดา-ตีนลอย!” ไปเลย

และเมื่อผู้ใด “เสียนิสัย” จนเคยตัวแล้วจะถูกท้วงติง ว่ากล่าว ตักเตือนก็จะโมโหโกรธารับไม่ได้ ดีไม่ดี ผู้ใดที่กล่าวสะกิดตักเตือนด้วยความจริงใจ ห่วงใยอาจถูก “สวนหมัด” ด้วยสารพัดวิธีจนอาจถึงขั้นจาก “รัก” เป็น “เกลียด” เลยก็ได้ เรียกว่า “ใครขัดใจ...ตาย!”

คำว่า “Spoiled” ปัจจุบันนี้เป็นคำศัพท์สากลที่พูดทับศัพท์กันแล้ว และทุกคนจะเข้าใจทันทีว่าหมายความว่าอย่างไร และเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่เฉพาะเจาะจงว่าใครผู้นั้นจะเป็นใคร ว่าไปแล้ว “แสงแดด” บางครั้งยัง “สปอยต์” เลยแค่ “มองหน้าสบตา” เท่านั้น เมื่อถูกขัดใจขืน “ดิ้นพล่าน” มากๆ ก็จะถูกทิ้งให้ “ดิ้นพล่าน” อยู่ตรงนั้นนั่นล่ะ!

“Stubborn” คืออีกคำหนึ่งที่อยากถ่ายทอดต่อเนื่องที่ว่า คนเราเมื่อ Spoiled มากๆ เข้าก็จะ “Stubborn-ดื้อรั้น” ที่เป็นอาการของคนที่ไม่เชื่อฟังใครใดๆ ทั้งสิ้น

และสาเหตุของ “ดื้อรั้น” หรือ “Stubborn” นี้สาเหตุเกิดจากธรรมชาติของคนคนนั้นที่ “ดื้อรั้น” โดย “สันดาน” หรือ “เกิดมาเป็นอย่างนั้น!” หรืออาจจะเกิดกับบุคคลที่ “ดื้อรั้น” มากๆ เนื่องด้วยถูก Spoiled “เสียคน” ซะจน “เคยตัว” จนไม่ฟังใครทั้งสิ้น พฤติการณ์ พฤติกรรมเช่นนี้มักเกิดจากคนที่ “ดื้อโดยธรรมชาติ” อยู่แล้ว พอมาเจอกับสภาวการณ์ที่ถูกจูงสู่ความดื้อรั้นด้วยแล้วยิ่ง “เลอะเทอะ-เปรอะเปื้อน” ไปกันใหญ่

ทั้งนี้ คนที่ Stubborn ส่วนใหญ่ในทาง “สรีรวิทยา” และ “จิตวิทยา” แล้วมักเกิดจากธรรมชาติทางสมองและธรรมชาติของสภาพแวดล้อมใกล้ตัว โดยเฉพาะคนในครอบครัวและคนรอบข้างที่สามารถก่อให้เกิด “อาการดื้อรั้น” ได้

ในทาง “สรีรวิทยา” จะเรียกว่า “กะโหลกหนา” หรือ “Thick Skill” ที่ข้อมูลข่าวสาร “เจาะทะลุ” ไปสู่ “สติสัมปชัญญะ” เข้าถึงยาก พูดง่ายๆ คือ “เข้าใจยาก” ต้องตอกย้ำหลายครั้งจนกว่าจะเข้าใจ

หรืออาการดื้อรั้นนี้เกิดจาก “มั่นใจตนเองสูง” หรือเรียกว่า “Over Confidence” ที่ “มั่นใจจนเกินเหตุ” จนไม่มีอะไร “ทะลุทะลวง” เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจได้

ถ้า “แสงแดด” สะเออะจะคิด “ทฤษฎีสัมพัทธ์” หรือเรียกว่า Theory of Relativity ที่ไม่ว่า Karl Marx เรียกว่า Dialectical Theory หรือ Albert Einstein จะเรียกเช่นนั้น

เราก็คงจะต้องเรียบเรียงว่า “ความดื้อรั้น (Stubborn)” ตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดทีหลัง แล้วค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยจนเกิดอาการ “กะโหลกหนา (Thick Skill)” จนกลายมาเป็น “เสียนิสัย-เสียคน (Spoiled)” เพราะถูกกล่อมเกลาบ่มให้ตกอยู่ในภวังค์ของความเป็น “เหยื่อ (Victim)” ของสภาวการณ์รอบตัว จนในที่สุดก็ “เชื่อ” ว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยเกิดจาก “กระบวนการทำให้เชื่อ (Make Belief)” แล้วก็ “จมปลักเชื่อ!” จนท้ายสุดเป็น “การเชื่อมั่นสูงเกินเหตุ” ที่เรียกว่า “Over Confidence!”

ใครที่ถูก “กระบวนการหล่อหลอม” เช่นนี้ ก็ขอกระซิบบอกได้เลยว่า “เห็นมาเยอะ พังทุกราย!”

งวดนี้ “แสงแดด” ขอสะเออะทั้งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและบังอาจทำเป็น “นักจิตแพทย์-จิตวิทยา” อีกต่างหาก ทั้งๆ ที่ความรู้ของตนเองแค่ “หางอึ่ง!” เท่านั้น

จริงๆ แล้วบ้านเรามีคน “หางอึ่ง!” เยอะ! แต่มัก “อวดรู้-อวดดี-อวดเก่ง” เยอะ!
กำลังโหลดความคิดเห็น