ในสนามการแข่งขันฟุตบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟุตบอลอาชีพ ทั้งในระดับโลก ระดับชาติ และระดับสโมสร สังเกตได้ว่า มีพฤติกรรมในระหว่างการแข่งขันของนักฟุตบอลประการหนึ่งที่แสดงออกถึงการยึดมั่นในความชอบธรรมหรือการมีจริยธรรมในอาชีพของตนได้เป็นอย่างดี และน่าจะเป็นข้อคิดเตือนใจในการปฏิบัติตนในอาชีพต่างๆ หรือในชีวิตประจำวันของเราได้ด้วย
ถ้าเราสังเกตเหตุการณ์ในระหว่างเกมการแข่งขันฟุตบอล จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาที่ผู้เล่นฝ่ายหนึ่งเกิดได้รับบาดเจ็บ และนอนเจ็บอยู่กับพื้นสนามในขณะที่การแข่งขันกำลังดำเนินการอยู่ และในขณะนั้นปรากฏว่า ลูกฟุตบอลอยู่ในความครอบครองของฝ่ายตรงข้าม หรือคู่ต่อสู้ เรามักจะเห็นอยู่เสมอว่า ฝ่ายที่ครอบครองบอลอยู่จะเตะลูกออกข้างสนามทันทีเพื่อให้เกมหยุดชั่วคราว เพื่อให้นักฟุตบอลอีกฝ่ายหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ได้รับการปฐมพยาบาล หรือบรรเทาเยียวยาอาการบาดเจ็บนั้น
หลังจากปฐมพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว กรรมการก็จะให้เริ่มเล่นเกมกันต่อไป โดยตามกติกาแล้วเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ทำลูกออกนอกสนาม อีกฝ่ายหนึ่งก็จะได้สิทธิในการทุ่มลูกเข้ามาเล่นในสนาม ซึ่งปรากฏว่า ในกรณีเช่นนี้ฝ่ายที่ได้ทุ่มก็จะทุ่มลูกบอลกลับมาให้อีกฝ่ายหนึ่งเล่น เพราะสาเหตุที่ฝ่ายนั้นเตะลูกออกไปก็เพราะต้องการช่วยให้ผู้เล่นฝ่ายตนที่กำลังบาดเจ็บอยู่ได้รับการปฐมพยาบาลโดยพลัน จึงทุ่มลูกกลับคืนไปให้เล่นเป็นการตอบแทน ไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบคู่ต่อสู้ จนกลายเป็นสปิริต หรือธรรมเนียมที่ยึดถือกันเช่นนี้เรื่อยมา
ถามว่า ถ้าหากฝ่ายที่ได้ทุ่มนั้นทุ่มลูกบอลกลับมาให้ผู้เล่นฝ่ายตนเองเล่น ผิดกติกาหรือไม่? คำตอบคงชัดเจนว่า ไม่ผิดกติกาแน่นอน แล้วทำไมไม่มีนักฟุตบอลทีมไหนๆ เขาทำกันล่ะ!
คำตอบง่ายๆ ก็คือ เพราะมันไม่ชอบธรรม นั่นเอง
กล่าวได้ว่าหากผู้ใดทำคงน่าเกลียดแบบสุดๆ ทีเดียว ดังนั้น ในฐานะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผู้ที่ยึดมั่นในอาชีพดังกล่าวก็พึงมีคุณธรรมหรือจริยธรรมในอาชีพของตนด้วย สิ่งที่นักฟุตบอลอาชีพได้ถือปฏิบัติกันดังกล่าวข้างต้นก็แสดงให้เห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นต่างก็มีจริยธรรมในอาชีพของตน ทั้งๆ ที่ในเกมการแข่งขันฟุตบอลอาชีพแต่ละแมทช์นั้นต่างก็มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ผลแพ้ชนะมีผลต่อรายได้ของสโมสรของทีม รวมไปถึงรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นของผู้เล่นด้วย
ย้อนกลับมาดูสนามการเมืองบ้าง กรณีนักการเมืองระดับผู้นำสูงสุดในด้านการบริหารของประเทศ คือนายกฯ ทักษิณ ใช้อำนาจและเทคนิควิธีการต่างๆ นานาเพื่อหาช่องทางให้สามารถขายหุ้นของกิจการครอบครัวให้แก่ผู้ซื้อชาวต่างชาติได้ โดยไม่ต้องเสียภาษีใดๆ ทั้งสิ้น โดยก่อนหน้านี้ก็มีการนำหุ้นไปซุกไว้ที่บริษัทแอมเพิลริช ที่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ก่อนที่จะโอนขายให้บุตรในราคาพาร์ โดยไม่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วก็โอนขายให้นายทุนสิงคโปร์ โดยได้คำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติเนื่องจากกิจการที่ขายไปนั้นเป็นกิจการด้านโทรคมนาคมที่ได้มาจากสัมปทานของรัฐ
หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต่างก็ออกมาบอกว่า ตรวจสอบถี่ถ้วนดีแล้ว ทำตามกฎหมายทุกประการ ไม่ผิดกฎหมายทุกประเภท หรือผิดบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ ปรับแค่นิดหน่อยก็จบ
นายกฯ ทักษิณเองก็พยายามชี้แจงในทุกเวที (นอกสภา) ว่า “กฎหมายบอกไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้นถึงตนจะต้องการเสียภาษี สรรพากรก็รับไม่ได้” แถมยังลำเลิกบุญคุณอีกด้วยว่า “ที่ผ่านมาเครือชินคร์อปของครอบครัวตนเอง เสียภาษีให้ประเทศชาติไปแล้วนับแสนล้าน”.....แต่ไม่ยอมบอกให้หมดว่าแล้วที่ฟันผลประโยชน์ไปทั้งหมดล่ะเท่าไหร่ ส่วนจำนวนภาษีที่บอกว่าเสียไปนั้นก็ไม่รู้จริงเท็จอย่างไร เพราะท่านพูดของท่านคนเดียว และท่านก็มักย้ำอยู่เสมอว่า เดินตามกติกาแล้วทุกอย่าง
กรณีนี้ก็เหมือนเช่นกรณีของเกมฟุตบอลที่ยกมาข้างต้นนั่นแหละ....ไม่ผิดกติกา แต่ไม่ชอบธรรม!
แล้วในฐานะที่ท่านเป็นถึงผู้นำประเทศ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี ท่านไม่อ่อนไหว ไม่รู้สึกรู้สาในเรื่องความไม่ชอบธรรมบ้างหรือ?
นักฟุตบอล..เขายังยอมทุ่มลูกบอลกลับไปให้ฝ่ายตรงข้ามเลย ทั้งๆ ที่ทุ่มให้ฝ่ายตนเองก็ได้...ไม่ผิดกติกา แต่เขาไม่ทำ กลับเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมมากกว่าผลประโยชน์ของทีม โค้ชผู้จัดการทีม หรือเจ้าของทีมก็ไม่เคยปรากฏว่า มีการตำหนินักฟุตบอลที่ทำเช่นนั้น แฟนบอลหรือกองเชียร์ก็ไม่รู้สึกโกรธ กลับชื่นชมด้วยการปรบมือให้เสียอีก ไม่เคยได้ยินว่าใครตำหนิติเตียนหรือกล่าวหาเป็นเกมฟุตบอล ประหลาด อะไรเลย
เห็นว่าท่านนายกฯ ทักษิณชอบฟุตบอล ถึงขนาดที่ก่อนหน้านี้พยายามที่จะซื้อทีมฟุตบอลลิเวิอร์พูลจากเกาะอังกฤษให้ได้ ก็ไม่รู้ว่า...กรณีตัวอย่างของการยึดถือและประพฤติตนด้วยหลักความชอบธรรมของนักฟุตบอลที่ยกมานี้ พอจะชี้ชวนให้นายกฯ ทักษิณสำนึกหรือสำเหนียกถึงหลักความชอบธรรมได้บ้างหรือไม่ อย่ามัวแต่อ้างกติกาอยู่เลย
ที่กล่าวมายืดยาวก็แค่อยากบอกว่า “ลาออกเถอะ” เพื่อความชอบธรรม เชื่อว่าบรรดากองเชียร์และแฟนคลับจำนวนมากคงสรรเสริญและปรบมือให้
อย่าให้ใครเขามาตำหนิเลยว่า “ผู้นำประเทศของไทยมีความสำนึกด้านความชอบธรรมต่ำกว่านักฟุตบอลเสียอีก”
ถ้าเราสังเกตเหตุการณ์ในระหว่างเกมการแข่งขันฟุตบอล จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาที่ผู้เล่นฝ่ายหนึ่งเกิดได้รับบาดเจ็บ และนอนเจ็บอยู่กับพื้นสนามในขณะที่การแข่งขันกำลังดำเนินการอยู่ และในขณะนั้นปรากฏว่า ลูกฟุตบอลอยู่ในความครอบครองของฝ่ายตรงข้าม หรือคู่ต่อสู้ เรามักจะเห็นอยู่เสมอว่า ฝ่ายที่ครอบครองบอลอยู่จะเตะลูกออกข้างสนามทันทีเพื่อให้เกมหยุดชั่วคราว เพื่อให้นักฟุตบอลอีกฝ่ายหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ได้รับการปฐมพยาบาล หรือบรรเทาเยียวยาอาการบาดเจ็บนั้น
หลังจากปฐมพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว กรรมการก็จะให้เริ่มเล่นเกมกันต่อไป โดยตามกติกาแล้วเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ทำลูกออกนอกสนาม อีกฝ่ายหนึ่งก็จะได้สิทธิในการทุ่มลูกเข้ามาเล่นในสนาม ซึ่งปรากฏว่า ในกรณีเช่นนี้ฝ่ายที่ได้ทุ่มก็จะทุ่มลูกบอลกลับมาให้อีกฝ่ายหนึ่งเล่น เพราะสาเหตุที่ฝ่ายนั้นเตะลูกออกไปก็เพราะต้องการช่วยให้ผู้เล่นฝ่ายตนที่กำลังบาดเจ็บอยู่ได้รับการปฐมพยาบาลโดยพลัน จึงทุ่มลูกกลับคืนไปให้เล่นเป็นการตอบแทน ไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบคู่ต่อสู้ จนกลายเป็นสปิริต หรือธรรมเนียมที่ยึดถือกันเช่นนี้เรื่อยมา
ถามว่า ถ้าหากฝ่ายที่ได้ทุ่มนั้นทุ่มลูกบอลกลับมาให้ผู้เล่นฝ่ายตนเองเล่น ผิดกติกาหรือไม่? คำตอบคงชัดเจนว่า ไม่ผิดกติกาแน่นอน แล้วทำไมไม่มีนักฟุตบอลทีมไหนๆ เขาทำกันล่ะ!
คำตอบง่ายๆ ก็คือ เพราะมันไม่ชอบธรรม นั่นเอง
กล่าวได้ว่าหากผู้ใดทำคงน่าเกลียดแบบสุดๆ ทีเดียว ดังนั้น ในฐานะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผู้ที่ยึดมั่นในอาชีพดังกล่าวก็พึงมีคุณธรรมหรือจริยธรรมในอาชีพของตนด้วย สิ่งที่นักฟุตบอลอาชีพได้ถือปฏิบัติกันดังกล่าวข้างต้นก็แสดงให้เห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นต่างก็มีจริยธรรมในอาชีพของตน ทั้งๆ ที่ในเกมการแข่งขันฟุตบอลอาชีพแต่ละแมทช์นั้นต่างก็มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ผลแพ้ชนะมีผลต่อรายได้ของสโมสรของทีม รวมไปถึงรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นของผู้เล่นด้วย
ย้อนกลับมาดูสนามการเมืองบ้าง กรณีนักการเมืองระดับผู้นำสูงสุดในด้านการบริหารของประเทศ คือนายกฯ ทักษิณ ใช้อำนาจและเทคนิควิธีการต่างๆ นานาเพื่อหาช่องทางให้สามารถขายหุ้นของกิจการครอบครัวให้แก่ผู้ซื้อชาวต่างชาติได้ โดยไม่ต้องเสียภาษีใดๆ ทั้งสิ้น โดยก่อนหน้านี้ก็มีการนำหุ้นไปซุกไว้ที่บริษัทแอมเพิลริช ที่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ก่อนที่จะโอนขายให้บุตรในราคาพาร์ โดยไม่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วก็โอนขายให้นายทุนสิงคโปร์ โดยได้คำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติเนื่องจากกิจการที่ขายไปนั้นเป็นกิจการด้านโทรคมนาคมที่ได้มาจากสัมปทานของรัฐ
หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต่างก็ออกมาบอกว่า ตรวจสอบถี่ถ้วนดีแล้ว ทำตามกฎหมายทุกประการ ไม่ผิดกฎหมายทุกประเภท หรือผิดบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ ปรับแค่นิดหน่อยก็จบ
นายกฯ ทักษิณเองก็พยายามชี้แจงในทุกเวที (นอกสภา) ว่า “กฎหมายบอกไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้นถึงตนจะต้องการเสียภาษี สรรพากรก็รับไม่ได้” แถมยังลำเลิกบุญคุณอีกด้วยว่า “ที่ผ่านมาเครือชินคร์อปของครอบครัวตนเอง เสียภาษีให้ประเทศชาติไปแล้วนับแสนล้าน”.....แต่ไม่ยอมบอกให้หมดว่าแล้วที่ฟันผลประโยชน์ไปทั้งหมดล่ะเท่าไหร่ ส่วนจำนวนภาษีที่บอกว่าเสียไปนั้นก็ไม่รู้จริงเท็จอย่างไร เพราะท่านพูดของท่านคนเดียว และท่านก็มักย้ำอยู่เสมอว่า เดินตามกติกาแล้วทุกอย่าง
กรณีนี้ก็เหมือนเช่นกรณีของเกมฟุตบอลที่ยกมาข้างต้นนั่นแหละ....ไม่ผิดกติกา แต่ไม่ชอบธรรม!
แล้วในฐานะที่ท่านเป็นถึงผู้นำประเทศ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี ท่านไม่อ่อนไหว ไม่รู้สึกรู้สาในเรื่องความไม่ชอบธรรมบ้างหรือ?
นักฟุตบอล..เขายังยอมทุ่มลูกบอลกลับไปให้ฝ่ายตรงข้ามเลย ทั้งๆ ที่ทุ่มให้ฝ่ายตนเองก็ได้...ไม่ผิดกติกา แต่เขาไม่ทำ กลับเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมมากกว่าผลประโยชน์ของทีม โค้ชผู้จัดการทีม หรือเจ้าของทีมก็ไม่เคยปรากฏว่า มีการตำหนินักฟุตบอลที่ทำเช่นนั้น แฟนบอลหรือกองเชียร์ก็ไม่รู้สึกโกรธ กลับชื่นชมด้วยการปรบมือให้เสียอีก ไม่เคยได้ยินว่าใครตำหนิติเตียนหรือกล่าวหาเป็นเกมฟุตบอล ประหลาด อะไรเลย
เห็นว่าท่านนายกฯ ทักษิณชอบฟุตบอล ถึงขนาดที่ก่อนหน้านี้พยายามที่จะซื้อทีมฟุตบอลลิเวิอร์พูลจากเกาะอังกฤษให้ได้ ก็ไม่รู้ว่า...กรณีตัวอย่างของการยึดถือและประพฤติตนด้วยหลักความชอบธรรมของนักฟุตบอลที่ยกมานี้ พอจะชี้ชวนให้นายกฯ ทักษิณสำนึกหรือสำเหนียกถึงหลักความชอบธรรมได้บ้างหรือไม่ อย่ามัวแต่อ้างกติกาอยู่เลย
ที่กล่าวมายืดยาวก็แค่อยากบอกว่า “ลาออกเถอะ” เพื่อความชอบธรรม เชื่อว่าบรรดากองเชียร์และแฟนคลับจำนวนมากคงสรรเสริญและปรบมือให้
อย่าให้ใครเขามาตำหนิเลยว่า “ผู้นำประเทศของไทยมีความสำนึกด้านความชอบธรรมต่ำกว่านักฟุตบอลเสียอีก”