xs
xsm
sm
md
lg

กิจกรรมของภาครัฐและเอกชน

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

ภาครัฐในอดีตเรียกว่า หลวง ส่วนเอกชนเรียกว่า ราษฎร์ ในปัจจุบันใช้คำใหม่คือ การบริหารงานของภาครัฐและภาคเอกชน และในวิชาบริหารรัฐกิจก็มีวิชาหนึ่งที่พูดถึงกิจกรรมที่ภาครัฐและเอกชนต้องรับผิดชอบ หรือรับผิดชอบร่วมกันยุคโลกาภิวัตน์เป็นยุคที่มีการพัฒนาไปในทุกๆ ด้าน องค์กรเอกชน เช่น บริษัท ห้างร้าน รวมทั้งปัจเจกบุคคลมีความรู้ความสามารถ และมีทรัพยากรพอที่จะมีกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการบริการ รวมทั้งส่งผลต่อความร่ำรวยมั่งคั่งของเศรษฐกิจของประเทศ หรือความพลวัตของธุรกิจ เส้นแบ่งเขตของภาครัฐและเอกชนจึงเจือจางลง และในหลายส่วนไม่สามารถจะแยกแยะได้อย่างเด่นชัดเหมือนในสังคมที่ยังด้อยพัฒนา โดยทั่วไปภาครัฐจะมีบทบาทดังต่อไปนี้

1) กิจกรรมที่ภาครัฐต้องกระทำเอง หรือบริหารเองในลักษณะผูกขาด เช่น กิจกรรมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกิดขึ้นจากหน่วยการเมืองคือภาครัฐเป็นหน่วยหลัก ในส่วนนี้กระทรวงต่างประเทศของแต่ละประเทศจะต้องรับผิดชอบโดยตรง นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว การป้องกันประเทศก็เป็นกิจกรรมที่ภาครัฐผูกขาด โดยภาครัฐจะมีกองกำลังทหารหรือมีกองทัพเพื่อป้องกันอริราชศัตรู นอกจากนั้นก็มีส่วนของการคลัง ธนบัตรหรือเงินตราต้องออกโดยรัฐ เอกชนจะออกธนบัตรไม่ได้ นี่คือเรื่องใหญ่ๆ 3 เรื่องที่เป็นส่วนของการบริหารภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม แม้ในส่วนที่กล่าวมาแล้วนั้น เอกชนก็อาจมีบทบาทได้ถึงแม้จะไม่ได้มีบทบาทโดยตรง เช่น กรณีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นภาคเอกชนต่างๆ เช่น ภาคอุตสาหกรรม หอการค้า ภาคการเงิน ก็มีการติดต่อกันอยู่แล้วระหว่างปัจเจกบุคคลและปัจเจกบุคคล หรือระหว่างองค์กรธุรกิจของประเทศต่างๆ ในแง่ของการป้องกันประเทศนั้นในกรณีที่เกิดสงครามขึ้นมาก็สามารถจะจัดเป็นกองอาสาสมัครขึ้นมาช่วยทางฝ่ายรัฐได้ รวมตลอดทั้งการบริจาคทรัพย์สินเงินทอง เครื่องอุปโภคบริโภค และวัตถุที่ใช้ในการรบจากบริษัทห้างร้าน ในแง่ของเงินตรานั้นการออกคูปองของบริษัทห้างร้านก็ดี การทำบัตรเครดิตของบริษัทห้างร้านก็ดี ก็คือการทำหน้าที่เสมือนเงินตราในการแลกเปลี่ยนสินค้า หรือการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแม้กิจกรรมที่เป็นสิ่งที่ต้องผูกขาดโดยรัฐ เอกชนก็มีบทบาทได้

2) รัฐทำหน้าที่ควบคุมและจัดระเบียบกิจกรรมของภาคเอกชนให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ทั้งนี้ก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่า กิจกรรมของภาคเอกชนในหลายๆ ด้านอาจเป็นการค้ากำไรเกินควร มีปัญหาในเรื่องคุณภาพและการบริการ เอารัดเอาเปรียบลูกค้า รวมตลอดทั้งอาจจะเป็นอันตรายกับประชาชนทั่วๆ ไป และในบางกรณีก็เกี่ยวโยงไปถึงปัญหาเรื่องสุขภาพหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน รัฐย่อมมีอำนาจตามกฎหมายและมีหน้าที่ตามภารกิจที่ต้องทำการควบคุมและจัดระเบียบ เช่น รัฐต้องควบคุมไม่ให้มีการค้ากำไรเกินควร ควบคุมคุณภาพสินค้า ควบคุมสินค้าที่อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น วัตถุระเบิด ปืนผาหน้าไม้ ยาเสพติดให้โทษ หรือการจำกัดสถานที่เริงรมย์ต่างๆ การกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะ การจดทะเบียนทรัพย์สินบางประการเพื่อคุ้มครองกรรมสิทธิ์ หรือเพื่อตรวจสอบการไว้มีในครอบครอง เช่น ปืน เลื่อยโซ่ยนต์ วัตถุระเบิด วัตถุเคมี ยาอันตราย ฯลฯ อำนาจหน้าที่ในการควบคุมและจัดระเบียบส่วนนี้เป็นของภาครัฐ และเป็นเรื่องจำเป็น เพราะมิฉะนั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนทั่วไปได้

3) ภารกิจของรัฐในการส่งเสริมเกื้อกูลกิจกรรมของภาคเอกชน กิจกรรมของภาคเอกชนนอกเหนือจากการมุ่งเน้นเพื่อการทำกำไรแล้ว ยังมีผลสองประการคือ กำไรที่ได้จ่ายในรูปของภาษีทำให้รัฐมีรายได้เพื่อการบริหารประเทศ ในส่วนที่สองคือบริการที่ให้แก่ประชาชน เช่น ร้านขายอาหาร โรงเรียนเอกชน โรงพยาบาล รถยนต์โดยสารประจำทาง ฯลฯ แม้จะมุ่งเน้นหากำไรแต่ประชาชนทั่วไปก็ได้ประโยชน์จากบริการดังกล่าว และยังเป็นการแบ่งเบาภาระของภาครัฐซึ่งอาจจะไม่มีทรัพยากร และกำลังคนพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการของสังคมได้ ในส่วนนี้รัฐจึงต้องส่งเสริมเพราะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ญี่ปุ่นในสมัยเมจิรัฐจะเป็นผู้เริ่มทดลองโครงการนำร่องอุตสาหกรรม และเมื่อทำจนสามารถเลี้ยงตัวเองได้ก็จะขายให้แก่เอกชนรับไปดำเนินงานต่อ

4) กิจกรรมที่รัฐต้องทำเองเพราะไม่มีเอกชนรายใดสนใจที่จะกระทำกิจกรรมนั้นๆ เนื่องจากไม่มีโอกาสที่จะทำกำไรในเชิงธุรกิจได้ รัฐจึงต้องรับภาระในการทำกิจกรรมนั้นๆ เพื่อเป็นการบริการประชาชน ตัวอย่างเช่น ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ทุรกันดาร การเปิดโรงพยาบาลเอกชนย่อมไม่สามารถจะกระทำได้เพราะคนส่วนใหญ่ยากจน รัฐมีภารกิจที่ต้องเปิดโรงพยาบาลเพื่อบริการแก่ประชาชนทั่วไปโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิดค่าใช้จ่ายแต่เพียงเล็กน้อย ยอมรับการขาดทุนอันนั้นโดยเอาจากงบประมาณแผ่นดินซึ่งมาจากภาษีของประชาชนเอง กิจกรรมในลักษณะนี้เป็นบริการขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องทำเอง และรัฐต้องไม่คิดกำไรขาดทุนในเชิงธุรกิจ เพราะสิ่งที่ได้คือการบริการสาธารณะ หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือการศึกษา ถึงแม้จะลงทุนเป็นจำนวนมหาศาลก็ต้องถือว่าเงินที่ลงไปนั้นไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่ายที่สูญเสียในเชิงธุรกิจ แต่ต้องถือเป็นการลงทุนชนิดหนึ่งจะมีผลกำไรมาภายหลัง นั่นคือการที่ประชาชนมีความรู้ความสามารถ มีทักษะ จึงเป็นการผลิตประชาชนที่มีคุณภาพ ผลกำไรที่ตามมาก็คือประชาชนเหล่านี้จะมีงานทำ จะมีรายได้ และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ จะช่วยพัฒนาสังคม ฯลฯ ในส่วนนี้คือส่วนกำไรจากการลงทุนในการศึกษาของภาครัฐ ค่าใช้จ่ายในการศึกษาจึงไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่าแต่เป็นการลงทุนที่ผลกำไรออกมาเป็นในรูปผลได้ทางสังคม

5) กิจการซึ่งรัฐและเอกชนต่างคนต่างทำ โดยทางภาคเอกชนนั้น กระทำกิจกรรมดังกล่าวในกรอบของธุรกิจจากการคำนวณขาดทุนกำไร ในขณะที่รัฐก็ทำกิจการอันเดียวกันแต่ทำในลักษณะการบริการสังคมเหมือนกับข้อที่กล่าวมาแล้ว เช่น ในเมืองใหญ่ๆ จะมีโรงพยาบาลของเอกชนซึ่งคิดค่ารักษาแพงกว่าภาครัฐ หรือมหาวิทยาลัยเอกชนซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าภาครัฐ ขณะเดียวกันก็จะมีโรงพยาบาลของรัฐและมหาวิทยาลัยของรัฐซึ่งในบางกรณีอาจจะมีคุณภาพดีกว่าเสียด้วยซ้ำ โดยเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าภาคเอกชน แต่มีข้อจำกัดในการบริการ ต้องใช้เวลารอนานเพื่อรับการรักษาจากโรงพยาบาลของรัฐ หรือต้องผ่านการสอบคัดเลือกจึงจะมีโอกาสเข้ารับการศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ ในกรณีที่ต่างคนต่างทำนี้เอกชนย่อมดำเนินกิจการโดยคำนึงถึงกำไรขาดทุนเป็นเกณฑ์ ส่วนรัฐอาจจะต้องยอมขาดทุนโดยเก็บค่าใช้จ่ายในราคาย่อมเยากว่าเพราะไม่ได้มองในเชิงการประกอบธุรกิจ

6) ภาครัฐและเอกชนร่วมกันทำกิจกรรม เช่น กิจกรรมที่เป็นบริการสาธารณะที่ออกมาเป็นรูปของบริษัทโดยมีภาครัฐเป็นหุ้นส่วน ขณะเดียวกันเอกชนก็สามารถจะลงทุนในธุรกิจดังกล่าวได้ด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นการถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง ในกรณีเช่นนี้การประกอบธุรกิจอาจจะต้องผสมผสานโดยเน้นการบริการประชาชน แต่ก็ต้องคำนึงถึงผลกำไรขาดทุนด้วยในตัว

7) รัฐทำธุรกิจเองเนื่องจากต้นทุนสูงแต่ก็เน้นการบริหารในแง่กำไรขาดทุน เช่น รัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ เป็นต้น และเมื่อเอกชนมีกำลังพอในการลงทุนด้านนี้รัฐก็จะปล่อยให้มีการแปรรูปเพื่อผ่องถ่ายให้แก่ภาคเอกชน เช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศ หรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย

ในยุคโลกาภิวัตน์การแยกแยะระหว่างภาครัฐและเอกชนไม่สามารถกระทำได้อย่างขาวและดำเหมือนในอดีต ในหลายส่วนของภาครัฐก็พยายามผ่องถ่ายให้เอกชนรับผิดชอบ ตัวอย่างเช่น การตรวจสภาพรถยนต์ก็ได้ให้ภาคเอกชนทำหน้าที่นี้ได้ ในกรณีของต่างประเทศเอกชนได้รับแต่งตั้งจากทางราชการให้เป็นตัวแทนของภาครัฐมีอำนาจในการรับรองเอกสารของทางราชการ และส่วนอื่นๆ ที่อนุมัติตามกฎหมาย ที่เรียกว่า Notary Public ในกรณีของประเทศไทยนั้นมีแนวโน้มว่าการให้ภาคเอกชนรับผิดชอบมากในกิจกรรมต่างๆ ที่รัฐเคยผูกขาดหรือเป็นผู้กระทำนั้น จะทวีขอบเขตและปริมาณมากยิ่งขึ้นในอนาคต

คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ ส่วนใดควรจะเป็นกิจกรรมของภาครัฐ ส่วนใดควรจะเป็นกิจกรรมของภาคเอกชน ส่วนใดควรกระทำร่วมกัน ส่วนใดควรจะต่างคนต่างทำ ฯลฯ ทั้งนี้และทั้งนั้นเพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์มากที่สุด นั่นคือประชาชน

เมื่อใดก็ตามที่มีการปฏิรูปบริหาร ปฏิรูประบบราชการ เมื่อใดก็ตามที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจหรือการขายกิจการของรัฐ คำถามที่สำคัญที่สุดที่ต้องตอบให้ได้อย่างน่าพอใจคือ แล้วประชาชนจะได้อะไร แล้วสังคมหรือประเทศชาติจะเกิดความเสียหายหรือไม่ ถ้าสามารถตอบคำถามดังกล่าวนี้ได้ บทบาทการแบ่งภารกิจและความรับผิดชอบระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนก็จะไม่ใช่ประเด็นซับซ้อนยุ่งยากอีกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น