xs
xsm
sm
md
lg

ยุติทักษิณสมาณัติ เริ่มต้นราชประชาสมาศัย

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

บัดนี้วันที่ 14 มีนาคม 2549 ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะยุติ ทักษิณสมาณัติ คือระบบการเมืองของทักษิณ โดยทักษิณ เพื่อทักษิณ และเริ่มต้น ราชประชาสมาศัย คือระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่แท้จริง โดยปวงชนและประชาสังคมมีส่วนร่วมภายใต้บุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามจารีตประชาธิปไตย

ก่อนที่ผมจะอธิบายเปรียบเทียบระบบทั้งสองให้ละเอียดขึ้น ผมขอกล่าวถึงทางเลือกของประชาชนที่กำลังแบ่งกันเป็นสองฝักสองฝ่าย ด้วยการต่อสู้และปลุกระดมของผู้เกี่ยวข้องทั้ง 2 ด้าน ผมขอประกาศความเชื่อของตนเองเสียก่อนว่า พี่น้องชาวไทยส่วนใหญ่ที่ยากไร้ ไม่มีการศึกษา ขาดข้อมูลและหวังพึ่งผู้นำและรัฐบาลนั้นไม่ใช่คนโง่ ถ้าหากมีผู้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเขาจะคิดได้และเลือกได้เช่นเดียวกับฝ่ายพันธมิตรที่กำลังเรียกร้องประชาธิปไตยและปฏิรูปการเมืองอยู่ขณะนี้

ทำอย่างไรพี่น้องชาวไทยส่วนใหญ่จึงจะได้ข้อมูล ข้อนี้เป็นเรื่องยาก เพราะรัฐบาลตกอยู่ใต้อำนาจของนายกฯ ทักษิณ ผู้ซึ่งเชื่อมั่นว่าคนไทยโง่ ต้องใช้เงินซื้อลูกเดียว
ที่ผมกล่าวเช่นนี้มิใช่การใส่ความ เพราะผมมีพยานหลักฐานในตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณผละจากพรรคพลังธรรมนั้น ท่านให้เหตุผลว่าหากใช้จรรยาบรรณของพรรคพลังธรรมคือ “ไม่ซื้อ-ไม่ด่า” ไม่มีทางที่พรรคจะโตได้ การเมืองไทยต้องใช้เงินซื้อลูกเดียว เพราะคนไทยยังโง่

เมื่อความคิดพื้นฐานของนายกฯ ทักษิณเป็นเช่นนี้ การใช้อำนาจและเงินปลุกระดมมวลชนมาสนับสนุนรัฐบาลจึงหลีกเลี่ยงมิได้ที่จะต้องครอบงำการรับรู้ของประชาชน และผลิตข้อมูลที่บิดเบือนป้อนให้กับผู้สนับสนุนเพื่อให้เกลียดชังฝ่ายตรงกันข้าม และให้เชิดชูบูชาบารมีและความเก่งกล้าของนายกฯ

คำถามที่ผมจะยกข้างล่างนี้ ผมว่าคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ทุ่งนาป่าเขา อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เป็นคนยากจนในสลัม หรืออยู่คอนโดฯ หรูในเมืองหลวง ราคาหลายสิบล้าน เรียนจบสูงๆ แต่ก็จะคิดออกและตอบได้เหมือนๆ กัน ยกเว้นแต่จะถูกบังคับด้วยอำนาจหรืออามิสสินจ้างมิให้เป็นตัวของตัวเองได้ นั่นก็คือ

คำถามว่า บุคคล 2 กลุ่มที่มีความแตกต่างกันข้างล่างนี้ ท่านจะเลือกอยู่กับกลุ่มใด
หรือเห็นว่ากลุ่มใดดี

1. พวกแรก เป็นคนโกหกมดเท็จ กลับกลอก ไม่พูดความจริง กับ พวกหลังเป็น คนพูดความจริง วาจาสัตย์ และรักษาคำพูด

2. คนคดโกงกินบ้านกินเมืองเอื้อประโยชน์ให้ลูกน้องบริวาร กับ คนซื่อสัตย์สุจริต ไม่มักง่ายมักได้ ไม่เบียดบังคดโกง และยังควบคุมลูกน้องไม่ให้โกง

3. คนเย่อหยิ่งจองหองมองข้ามหัวคนอื่นหมด เอาดีแต่ตัวป้ายชั่วให้ผู้อื่น กับคนอ่อนน้อมถ่อมตัว รู้จักเคารพผู้อื่น และรักษาศักดิ์ศรีของตนเอง

4. คนทำผิดแล้วไม่ยอมรับกลับป้ายผิดให้คนอื่น กับ คนกล้าหาญ รู้ว่าสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง กระทำความผิดแล้ว รู้จักเสียใจขอโทษ และรู้จักแก้ไข

5. คนไม่มีสัมมาคารวะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กำเริบเสิบสาน จาบจ้วงตีเสมอผู้ใหญ่ กับ คนที่มีสัมมาคารวะ รู้จักธรรมเนียมประเพณีที่ต่ำที่สูง รู้จักเคารพผู้ใหญ่

6. คนมือถือสาก ปากถือศีล ทำอย่างพูดอย่าง ปากว่าตาขยิบ กับ คนปากกับใจตรงกัน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม หลอกลวงใคร ทำอะไรตรงไปตรงมา

ทั้ง 6 ข้อนี้ไม่ว่าใครที่ไหนที่มีสติปัญญาธรรมดาก็ย่อมจะเลือกคนพวกหลัง ถ้าหากเขารู้ความว่านายกฯ ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนพวกแรก จะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่แน่ แต่นายกฯ ปิดบังครอบงำสื่อทุกประเภท ป้ายโทษว่าคนอื่นที่ไม่หวังดีกับนายกฯ ต่างหากเป็นคนพวกแรก นายกฯ นั้นดียิ่งกว่าพวกหลังด้วยซ้ำ เขาจึงพากันโกรธและอิจฉา อย่างน้อยถ้านายกฯ และรัฐบาลมีความกล้าหาญปล่อยให้ข่าวสารเคลื่อนไหวเผยแผ่ไปได้ตามปกติ คนที่เดินขบวนมาสนับสนุนนายกฯ อาจจะรู้ว่าฝ่ายที่ต่อต้านนายกฯ มีองค์ประกอบหลากหลายมีทั้งคนที่มีความรู้และฐานะ มีทั้งปัญญาชน ศิลปิน และนักเรียนนักศึกษา คุณตาคุณยาย และชาวบ้านธรรมดาทุกอาชีพ มากันด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ไม่มีการจ้างวานจัดตั้ง ไม่แน่ว่าส่วนหนึ่งอาจจะผละกลับใจมาเข้ากับฝ่ายพันธมิตรก็ได้ ยิ่งถ้าเขาจับได้ว่า ที่นายกฯ หรือบริวารอ้างว่าเป็นความจริงนั้นกลับกลายไปเป็นความเท็จ เขาก็จะทบทวนเอาด้วยปัญญาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องใครกันแน่ที่เอาในหลวงมาแอบอ้างเป็นเครื่องมือหาเสียง

ที่เขาจับได้แน่ๆ แล้วตอนนี้ก็คือคนต่างจังหวัดพวกที่มีปัญญาซื้อหรือหาหนังสือพิมพ์มาอ่าน สื่อต่างๆ ได้เห็นมาตีพิมพ์ความจริงเรื่องการชุมนุมประท้วงนายกฯ สื่อต่างๆ เองก็ออกมายืนอยู่ข้างผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นทุกทีแทนที่จะหลบมุมอยู่ด้วยความเกรงกลัวนายกฯ เหมือนเมื่อก่อน อาจกล่าวได้เป็นภาษาสื่อว่า นายกฯ ได้ถูกสื่อจับแก้ผ้าหมดแล้ว อาจารย์นิเทศศาสตร์ชั้นนำของประเทศ เช่น ดร.เสรี วงษ์มณฑา ถึงกลับกระโดดออกมาร่วมลงนามในฎีกา และออกไปพูดที่สนามหลวงเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก เช่นเดียวกับอาจารย์นิเทศศาสตร์จุฬาฯ ที่เป็นสุภาพสตรีได้ขึ้นไปเล่าบนเวทีว่า 5 ปีที่ผ่านมา นายกฯ ได้ครอบงำทำลายเสรีภาพสื่ออย่างไร และขณะนี้นายกฯ โฆษกและบริวารได้กระทำการ “โกหก ปกปิด และบิดเบือน” ปรากฏการณ์ปัจจุบันอยู่อย่างไร

ที่แตกดังโพล๊ะก็คือคำพูดหาเสียงของนายกฯ ที่เรียกผู้คัดค้านว่า “ไอ้คนพวกนี้” ซึ่งนายกฯ อ้างว่าเป็นคนหยิบมือเดียวที่โกรธเพราะนายกฯ ไม่เอื้อประโยชน์ เพราะท่านเป็นคนถือหลักการไม่เห็นแก่พวก หรือเป็นพวกที่ให้เท่าไหร่ไม่รู้จักพอ เป็นพวกลำเอียง ไม่รู้จริงควรกลับเข้าห้องสมุดไปเรียนต่อเสียก่อน หรือไม่ก็เป็นคนของฝ่ายค้าน หรือไม่ก็เพี้ยน อย่างอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช นายกราชบัณฑิต เป็นต้น

ผมเองอาจถูกเตะไปเข้ากับ “ไอ้คนพวกนี้” เรียบร้อยไปแล้ว ข้อเท็จจริงก็คือ ผมพบและคุยกับสนธิเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2548 ปีกว่ามาแล้ว ผมต่อว่าเขาว่าเพื่อนของคุณทำไมถึงเป็นหยั่งงี้ สนธิบอกผมว่า เดี๋ยวนี้เขาคงไม่นับผมเป็นเพื่อนแล้ว ผมพูดอะไรเขาคงไม่ฟังหรอก “เป็นกรรมของบ้านเมืองจริงๆ ที่ได้คนอย่างนี้เป็นนายกฯ” ผมถามเขาว่าเพราะเหตุใด สนธิตอบว่า “เพราะเขาเป็นคนไม่มีการศึกษา และไร้วัฒนธรรมอย่างสิ้นเชิง” ผมใจหายวูบและเป็นห่วงเมืองไทยมากขึ้น เพราะรู้ว่าสองคนเคยใกล้ชิดกัน

ว่าไอ้คนพวกนี้ไม่กี่คนของนายกฯ นี้เอง อาจจะทำให้เกิดไฟลามทุ่งทางการเมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ยกเว้นลูกน้องบริวารและผู้อยู่ใต้อามิสอาณัติของพรรคไทยลักไทย (สะกดตามเสียงหัวหน้า) แล้ว ผมไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีหรือนักการเมืองไทยคนใด รวมทั้งจอมพลถนอม จอมพลประภาสถูกเกลียดชังรังเกียจโดยบุคคลและสถาบันต่างๆ อย่างแพร่หลายทั่วถึงเหมือนนายกฯ ทักษิณเลย ถึงแม้ว่านายกฯ ทักษิณใช้กโลบายเลือกตั้งกลับมาเป็นนายกฯได้ ผมมองไม่เห็นทางที่นายกฯ จะปกครองได้

ภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ ผมเห็นการลุกฮือขึ้นของ “ไอ้คนพวกนี้” อันประกอบด้วย ราชนิกุล แพทย์อาวุโส ครู เอกอัครราชทูต คณาจารย์มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมหาวิทยาลัยแนวหน้า อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการฯ วุฒิสมาชิกที่เป็นกลาง กลุ่มสตรี กลุ่มนักเขียน ทันตแพทย์ เภสัชกร บุคลากรสาธารณสุข ปูชนียบุคคลของประเทศ เมธีอาวุโส ราชบัณฑิต ปัญญาชนชั้นนำซึ่งมีสติปัญญาปรากฏระดับโลกไม่มีทางที่นายกฯ ทักษิณจะเทียบได้ กลุ่มคนไทยในต่างประเทศ ฯลฯ ถ้ารวมแล้วเป็นร้อยๆ กลุ่ม และยังขยายตัวอยู่ตลอดเวลา ดูแต่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ซึ่งสังกัดทั้งมหาวิทยาลัยและสภากาชาดไทยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันรวบรวมได้กว่า 400 รายชื่อ นายกฯ ทักษิณเคยพูดว่า หากมีคนไม่ชอบจริงๆ ผมไม่ด้านหน้าอยู่หรอก ผมว่าคราวนี้ทั้งปริมาณคุณภาพและความหลากหลายของผู้ที่ไม่ต้องการเห็นนายกฯ ทักษิณ และระบบทักษิณอยู่ในการเมืองไทยนั้น จวนจะท่วมแผ่นดินไทยอยู่แล้ว แน่นอน แต่ละคนย่อมมีสิทธิเลือกตั้งเพียงหนึ่งเสียงเท่ากันทุกคน แต่คนที่เป็น critical mass และ vanguard ทางการเมืองเช่นนี้ต่างหากที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างแท้จริง

บัดนี้ ผมจะได้แสดงให้เห็นถึงทางเลือกของการเมืองไทยระหว่างทักษิณสมาณัติกับราชประชาสมาศัย

ทักษิณสมาณัติกำลังขอต่ออายุระบบทักษิณออกไปอีก 1 ปี 3 เดือนหลังการเลือกตั้ง ครั้งแรกบอก 1 ปี บวกลบ 3 เดือน คราวนี้ในใบโฆษณาบอก 1 ปี 3 เดือนอย่างเดียว ในระยะนี้รัฐบาลจะทำการปฏิรูปการเมือง และอำนวยการให้คนกลางมาทำการร่างรัฐธรรมนูญ

คำเสนอนี้ฝ่ายค้านและประชาสังคมประชาธิปไตยรับไม่ได้ เพราะพฤติกรรมและคำพูดของนายกฯ และพรรคไทยลักไทยเชื่อถือไม่ได้ ที่ต้องแก้เก้อออกมารับครั้งนี้เป็นการขายผ้าเอาหน้ารอด เพราะไม่มีเหตุผลอะไรจะมาอ้างอีกแล้ว คำพูดของทักษิณนั้นเปลี่ยนไปทุกอาทิตย์ แต่การกระทำดังกว่าคำพูดนั่นก็คือ การบริหารแบบทักษิณหรือทักษิณสมาณัติ สมาณัติแปลว่า ภายใต้อาณัติหรืออำเภอใจของทักษิณ ซึ่งเสนาะ เทียนทองบอกว่า ส.ส.หรือรัฐมนตรีติดคุกเป็นทาสหมด นายออกคำสั่งคนเดียว ผมขออธิบายเพิ่มเติมสั้นๆว่า ในระดับพรรค คือการ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้าพรรค” ระดับรัฐบาล “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสนายกฯ” ระดับประเทศ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสรัฐบาล”

ทักษิณสมาณัตินี้เป็นอุดมการณ์ เป็นปรัชญา เป็นระบบการเมืองที่สถาปนาขึ้นและเติบโตภายใต้อำนาจ การนำและอำเภอใจของทักษิณ ชินวัตร ประกอบด้วยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสุดโต่ง เน้นการแข่งขัน ส่งเสริมคนได้เปรียบเพราะเน้นความเติบโต จีเอ็นพี ตลาดหลักทรัพย์ การส่งออก และเมกะโปรเจกต์ เน้นระบบบริหารที่ถือว่าประเทศเป็นเสมือนบริษัท ต้องบริหารให้เหมือนบริษัท เน้นสไตล์ผู้นำแบบซีอีโอ คือให้ความสำคัญสูงสุดกับหัวหน้าหรือเจ้าภาพ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมแต่ปาก มีการรวมศูนย์รวบอำนาจมากขึ้น มีการกระจายอำนาจแต่ปาก ในทางการเมืองนิยมการเมืองพรรคเดียวแบบสิงคโปร์ ใช้การซื้อ ทำลาย ควบและรวมพรรคเช่นเดียวกับบริษัท และมีนโยบายควบคุมสื่อสไตล์สิงคโปร์ การพัฒนาพรรคและรัฐบาลไม่ปรากฏเพราะหัวหน้าควบคุมและโยกย้ายบุคลากรทุกระดับตามชอบใจด้วยเงื่อนไข และเงื่อนเวลาของหัวหน้า ด้วยเวลา 5 ปียังสร้างผู้นำการเมืองที่ใกล้เคียงหัวหน้าไม่ได้เลยสักคนเดียว

นี่คือ เนื้อแท้ของลัทธิทักษิณสมาณัติ ซึ่งกำลังยื่นขอสัมปทานประเทศไทยต่ออีก 1 ปี 3 เดือน และหลังจากนั้นจะยื่นใหม่ ซึ่งแปลว่าจะมีการเลือกตั้งอีก 1 ครั้ง หลังจากออกรัฐธรรมนูญทักษิณสมาณัติแล้ว ภายใต้อำนวยการของคนกลางที่คัดสรรโดยพรรคไทยลักไทย แบบเดียวหรือดีกว่าคนกลางในองค์กรอิสระต่างๆ โดยวุฒิสภาที่เป็นกลางชุดที่กำลังจะออกไป อนึ่งการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนที่จะถึงนี้ ก็จะต้องใช้เงินและใช้พลังอย่างมหาศาล เพราะเป็นการเลือกตั้งที่พิเศษสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แม้แต่ผู้นำระดับสูงของพรรคไทยลักไทยเองยังสารภาพว่า เลือกแล้วก็คงจะมีปัญหาตามมาไม่สิ้นสุด ยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย นี่ก็มี นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระหนีออกบวชลาออกไปแล้ว 1 ท่าน ยังคาดไม่ได้ว่าจะมีรายอื่นหรือไม่

นี่คือ ทางเลือกที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสนอให้คนไทยเลือก โดยอ้างหลักประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน

ทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือ ระบบราชประชาสมาศัย อันอาจจะเกิดขึ้นได้เพราะสุญญากาศทางการเมือง 3 ประการ กล่าวคือ รัฐบาลรักษาการลาออกหรือถูกออก หนึ่ง การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือถึงแม้เลือกก็จะมิได้ผลตามรัฐธรรมนูญ หนึ่ง และจะเกิดภยันตรายในอนาคตอันใกล้อันอาจมองเห็นได้ และมีความเป็นไปได้สูง (clear and immediate danger) เพราะการแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายในสังคม ที่มิอาจจะตกลงกันได้

หากการณ์เป็นเช่นนี้ ก็จะเปิดโอกาสให้มีการนำมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญมาใช้ องค์พระมหากษัตริย์อาจลงมาช่วยได้ดังที่ได้ทรงอธิบายไว้ในกรณีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
วิธีนี้มีแบบให้เลือกหลายอย่างสุดแท้แต่พระบรมราชวินิจฉัย และความเห็นของประชาสังคมภายใต้พระอภิบาลและบุญญาธิการของในหลวง แต่ทุกแบบจะต้องสอดคล้องกับจารีตประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ด้วยวิธีนี้ ผมคาดว่า ในหลวงอาจจะพระราชทานรัฐธรรมนูญได้ภายใน 6 เดือน รัฐบาลชั่วคราวสามารถทำการปฏิรูปวางรากฐานระบบพรรค การเลือกตั้งและการขุดรากถอนโคนคอร์รัปชันได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด เวลาและงบประมาณที่นำมาใช้คงอยู่ใต้ปรัชญาเดียวกับเศรษฐกิจพอเพียง

นี่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ในหลวงกับปวงชนชาวไทยจะได้มีส่วนร่วมกันในการสร้างกติกาการปกครองประชาธิปไตยที่จะเป็นแบบอย่าง และที่ชื่นชมของคนทั้งโลก

รายละเอียดของแบบต่างๆ เราอาจจะต้องปรึกษาหารือกันภายหลังวันที่ 14 มีนาคม เมื่อนายกฯ ทักษิณได้แสดงความกล้าหาญ และมโนธรรมลาออกไปเพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศไทยปฏิรูปได้อย่างแท้จริงใต้ร่มบารมีของพระภัทรมหาราชที่ปวงชนเคารพบูชาและไว้ใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น