xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อทักษิณตื่นจากฝัน

เผยแพร่:   โดย: สุวัฒน์ ทองธนากุล

คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้

ขณะนี้สังคมไทยบางส่วนอาจสับสนต่อปรากฏการณ์ทางการเมือง


แต่สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวสาร และมีจิตสำนึกรักความถูกต้อง รักความเป็นธรรม มีความเป็นประชาธิปไตย และเห็นแก่ผลประโยชน์ประเทศชาติ จะไม่สับสน

มีความเข้าใจเจตนารมณ์และเห็นความจำเป็นของการรวมตัวเคลื่อนไหวของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่ชุมนุมเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งเพื่อหยุดยั้งการใช้อำนาจอิทธิพลหาผลประโยชน์ทางการเมือง

ส่วนคนที่ขาดข้อมูลและความเข้าใจเกมการเมือง ก็อาจเห็นคล้อยตามนักการเมืองที่ต้องการรักษาอำนาจต่อไป โดยป้ายสีว่า การชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเป็นพวกใช้ “กฎหมู่”

หาว่าการที่พรรคฝ่ายค้านคว่ำบาตรไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นการไม่เคารพกฎกติกา

ทั้งๆ ที่การชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และเป็นสิทธิที่ทำได้เมื่อพรรคการเมืองไม่เชื่อใจในความถูกต้อง โปร่งใสในการเลือกตั้ง จึงไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของ “การฟอก” รัฐบาลที่มีแผนจะกลับมาครองอำนาจอีก

ยิ่งมีประจักษ์พยายานที่เชื่อได้ว่าเสียงส่วนใหญ่ในระบบรัฐสภาที่ต้องทำตามคำสั่งของหัวหน้าพรรคการเมืองที่ครองอำนาจ และองค์กรอิสระถูกกระทำจนไม่สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบ ถ่วงดุลการใช้อำนาจที่ผิดของนักการเมืองได้สมเจตนาของรัฐธรรมนูญ

การรวมตัวกันของภาคประชาชนในการชุมนุมอภิปรายไม่ยอมรับผู้มีอำนาจทางการเมืองที่ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ให้ตระกูล และพวกพ้อง

จึงเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเป็นบทบาทการเมืองภาคประชาชน

แน่ละครับ เมื่อเป็นเกมการเมือง ฝ่ายที่ครองอำนาจอยู่ก่อน ความจริงก็ได้เปรียบเพราะคุมกลไกอำนาจรัฐไว้ในมือ

ด้วยเหตุนี้การอ้างอำนาจราชการ แอบสั่งการจัดจ้างคนให้มาก่อกวนการชุมนุมฝ่ายประชาชน และการจัดฉากหาคนมาชุมนุมมอบดอกไม้สนับสนุนรัฐบาลจึงเกิดขึ้น

จริงอยู่ย่อมมีประชาชนบางส่วนที่ชอบใจผู้นำรัฐบาล เพราะได้รับประโยชน์เฉพาะหน้าของโครงการประชานิยมต่างๆ ที่มีลักษณะแจกเงิน แจกของหรือได้โอกาสกู้เงินง่าย

โดยไม่คิดว่ามักมีการใช้เงินของแผ่นดิน และหลายโครงการมีคนแอบหาประโยชน์จากโครงการเหล่านั้น

แต่ไม่ว่าการรวมตัวชุมนุมขับไล่ผู้นำรัฐบาลจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง กระแสการสนับสนุนขยายวงอย่างกว้างขวาง และเป็นบุคคลที่มีความรู้เป็นที่ยอมรับในวงสังคมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ตัวอย่างเช่นกลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ทั้งสาขาเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ และนิเทศศาสตร์ กลุ่มแพทย์อาวุโส นักกฎหมาย รวมทั้งนักวิชาการและบุคคลผู้มีชื่อเสียงกว่า 100 คน ที่นำโดย ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช และราชนิกูลกว่า 10 ท่าน ล้วนแสดงออกถึงความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น และเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป

อธิบดีกรมวิชาการเกษตรถึงขนาดกล้าระบุกลางที่ประชุมข้าราชการระดับสูงต่อหน้า พ.ต.ท.ทักษิณว่า

“ถึงแม้นายกรัฐมนตรีจะทำถูกต้องตามกฎหมาย แต่การทักท้วงจากกลุ่มคนที่น่าจะไม่เข้าข้างใดมาก่อนมีมากขึ้นทุกขณะ และมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่ยุติโดยง่าย”

ปัญหาจึงอยู่ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว เมื่อเสียงขับไล่ที่มีทั้งคุณภาพ และปริมาณมากมายเช่นนี้

ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือก แม้จะใช้วิธียื้อเวลาด้วยการ “ยุบสภา” โดยอ้างว่าให้ประชาชนตัดสินใจก็ตาม

และถึงจะใช้ลูกเล่นว่าพร้อมจะพูดคุยเจรจา แต่ในที่สุดก็รับไม่ได้กับเงื่อนไขของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่พร้อมให้มีการชี้แจงตอบโต้กับ พ.ต.ท.ทักษิณในเวทีสาธารณะที่เปิดเผยและถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์

“ถ้าใช้การดีเบตโต้กันไปมาจะทำให้เกิดการเผชิญหน้า รัฐบาลไม่ต้องการ แต่ต้องการหาทางออกอย่างแท้จริง ถ้ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และฝ่ายค้านยังมีข้อกังขาก็ควรมานั่งหารือกัน ซึ่งการปิดห้องคุยกันไม่ได้หมายความว่าจะไม่โปร่งใส ทุกคนจะได้พูดเปิดใจคุยกันอย่างเต็มที่เพื่อหารือถึงทางออก ไม่ต้องพูดเชิงหาเสียง หรือหาเรื่อง การที่พีเนตมาเสนอเวทีดีเบตคิดว่า เลอะเทอะใหญ่ วันนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่มานั่งโต้วาทีกัน แต่ต้องปรองดองกัน ที่สำคัญ ผลลัพธ์ที่ออกมาต้องยืนบนหลักประชาธิปไตย”

ก็ขนาดคุณสุรนันทน์ เวชชาชีวะ กระบอกเสียงของพรรคไทยรักไทยบอกแบบนี้ ก็เห็นชัดว่าไม่กล้า

ดังนั้นบรรดาใครต่อใครที่คิดจะจัดเวทีให้พบกันเพื่อหวังพูดจากันนั้น นอกจากประเด็นแล้วยังเป็นไปไม่ได้อีกด้วย

เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความเห็นที่ขัดแย้ง เพราะเห็นไม่ตรงกัน เช่น สมมติว่าจะเลือกทำเล “ย้ายเมืองหลวง” อย่างที่รัฐบาลชุดก่อนโน้นเคยจุดประเด็น

แต่เป็นเรื่องที่สังคมชี้ว่า ผู้นำรัฐบาลมีพฤติการณ์ขาดจริยธรรมในการบริหาร มีการบริหารที่ปล่อยให้เกิดการทุจริต และมีความผิดพลาดอีกหลายประเด็น

เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงมิใช่ “การทะเลาะกัน” อย่างที่พระพยอมเข้าใจ

แล้วจะให้หันหน้าเจรจากัน ปรองดองกันอย่างที่โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พูดเข้าทางทักษิณ และชักชวนให้แสดงออกโดยเปิดไฟหน้ารถจึงไม่ได้ผล

หรือใครที่บอกให้ถอยคนละก้าว ก็ยังสงสัยว่า “ถอย” หมายถึงอะไร

ถ้าหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณลาออก ผมก็เชื่อว่า พันธมิตรก็พร้อมเลิกชุมนุมต่อต้าน

แต่ทักษิณคงจะบอกว่า “ฝันไปเถอะ”

ด้วยเหตุนี้มวลชนจากทุกภาคส่วน ทั้งวงวิชาการ วิชาชีพ สหภาพแรงงาน จึงจำเป็นต้องออกมาแสดงพลังกดดันที่ท้องสนามหลวงตั้งแต่เย็นวันนี้ และเคลื่อนไปสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ทำเนียบรัฐบาลเช้าวันที่ 14 มีนาคม 2549

กำลังโหลดความคิดเห็น