ทีวีพูลเผยแพร่ภาพประวัติศาสตร์ในหลวงทรงเรียก “สุจินดา-จำลอง”เข้าเฝ้ายุติความรุนแรงพฤษภาทมิฬ ก่อนวันนัดชุมนุมใหญ่ของฝ่ายพันธมิตรประชาชนวันนี้ “สนธิ-จำลอง” ฟันธง กองทัพบกต้องการสื่อความถึงแม้วให้รีบลาออกก่อนสังคมวิกฤตหนัก เผยรัฐบาลยังไม่หยุดเคลื่อนไหวจัดม็อบชนม็อบเบื้องหลังขบวนอีแต๋นได้ทุนไทยรักไทยเต็มที่ “อานันท์ ปันยารชุน” ห่วงสังคมเป็นกลางตกขอบ ระบุสื่อต้องเลือกข้างแล้วอยู่กับข้อเท็จจริงเพื่อความถูกต้อง
วันนี้(13มี.ค.)เป็นวันนัดชุมนุมใหญ่ของประชาชนในเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ท้องสนามหลวงโดยจะชุมนุมกันไปตลอดทั้งคืนก่อนจะเคลื่อนขบวนไปที่ทำเนียบรัฐบาลในเวลา 07.00 น.เช้าวันอังคารนี้เพื่อยื่นคำขาดให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีที่ขาดความชอบธรรมออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้มีการปฎิรูปการเมืองโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งหลายฝ่ายให้ความสนใจเป็นอย่างมากเพราะการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงนับแต่วันที่ 5 มี.ค.เป็นต้นมามีประชาชนทั่วไปและกลุ่มพลังมวลชน นักวิชาการ คณาจารย์ ผู้ประกอบวิชาชีพหลากหลายอาชีพเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลพยายามใช้เวทีหาเสียงเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย พร้อมกับใช้สื่อโดยเฉพาะโทรทัศน์และวิทยุในเครือข่ายของรัฐบาล ทำลายความน่าเชื่อถือของการชุมนุมประชาชนที่ท้องสนามหลวง และปฎิเสธที่จะพบกับแกนนำพันธมิตรในเวทีสาธารณะ ทั้งๆที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ประกาศในการปราศรัยใหญ่ที่สนามหลวงเองก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มีบางกลุ่มที่มองว่าการเรียกร้องของประชาชน และ ความดื้อดึงของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องของคนสองกลุ่มทะเลาะกันก็ถูกขยายกระแสให้กว้างมากขึ้น
**ทีวีพูลอัญเชิญพระราชดำรัสพฤษภาทมิฬเผยแพร่
วานนี้เวลา 20.00 น. ที่ผ่านมาก่อนข่าวพระราชสำนัก โทรทัศน์ร่วมการเฉพาะกิจ ได้เผยแพร่เทปบันทึกภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระกระแสรับสั่งให้พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2535 เพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยช่วง 1-2 วัน ก่อนหน้านี้ สถานีวิทยุ และโทรทัศน์ในสังกัดกองทัพบกได้อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสดังกล่าวมาเผยแพร่เป็นระยะๆ
แหล่งข่าวจากวงการโทรทัศน์ เปิดเผยว่า จุดเริ่มของการเผยแพร่ครั้งนี้เริ่มต้นมาจาก ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ได้โทรศัพท์ถึงผู้อำนวยการทีวีทุกช่องที่เป็นสมาชิกทีวีพูลเพื่อให้เข้าร่วมประชุมในวาระเร่งด่วนถึง สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งในที่สุดวานนี้(12มี.ค.) จึงมีมติร่วมกันให้นำเทปดังกล่าวมาจัดทำใหม่ออกอากาศพร้อมกันก่อนที่ทีวีแต่ละช่องจะเสนอข่าวพระราชสำนักในเวลา 20.00 น.
**สนธิฟันธงเป็นสัญญาณเตือนสติแม้ว
จากนั้นในเวลา 21.00 น.เศษแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นายพิภพ ธงไชย ได้ขึ้นพบกับประชาชนที่สนามหลวง โดยนายสนธิได้ให้พล.ต.จำลอง ผู้ซึ่งได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันนั้น ชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นและเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535
ต่อมา นายสนธิ กล่าวว่า นัยของทีวีพูลที่นำภาพประวัติศาสตร์มาออกในช่วงนี้ เป็นสัญญานที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องลาออกเหมือนกรณีของพล.อ.สุจินดา ในครั้งนั้น ซึ่งหวังว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าใจนัยยนี้ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่บ้านเมืองมีปัญหา เกิดความแตกแยกขัดแย้งในสังคม ซึ่งปัญหามาจากความยึดติดของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องลาออกเพื่อให้ทุกอย่างสงบ
นายสนธิ กล่าวว่า การตัดสินใจของทีวีพูลมาจากททบ.5 ซึ่งอยู่ในสังกัดกองทัพบกมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งทราบกันดีว่า เป็นผบ.ทบ.ที่แหกโผไม่ได้มีอยู่ในรายชื่อของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่กราบบังคมทูลเกล้า เป็นทหารอาชีพที่ยืนอยู่ข้างประชาชนจึงเข้าใจได้ว่าต้องการส่งสัญญานนี้ออกไป ก่อนนี้พล.อ.สนธิ ก็สั่งให้ททบ.ให้เสนอข่าวทั้งสองด้านทั้งด้านฝ่ายชุมนุมและรัฐบาล เพื่อความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
“เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ปีที่แล้ว ในหลวงก็ทรงมีกระแสพระราชดำรัสชัดเจนหลายเรื่อง แต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าใจ ก่อนนี้พ.ต.ท.ทักษิณฟ้องผมและคุณสโรชา (พรอุดมศักดิ์)หลายคดี แต่ก็ต้องถอนฟ้อง วันนี้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องทำตามอย่างพล.อ.สุจินดา” นายสนธิ กล่าว
ด้านพล.ต.จำลอง เชื่อเช่นกันว่า ทีวีพูลต้องการสื่ออะไรอย่างแน่นอน เหตุการณ์วันนี้แตกต่างจากพฤษภา2535 โดยพันธมิตรฯจะเดินหน้าทวงคำตอบจากพ.ต.ท.ทักษิณในวันอังคารที่ทำเนียบรัฐบาลตามเดิม และ จะฟังเสียงของประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมว่าจะให้ทำอย่างไรถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมละทิ้งตำแหน่งทางการเมือง
สำหรับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในครั้ง หลังในหลวงทรงมีกระแสรับสั่งแล้ว ผู้ชุมนุมก็สลายตัวขณะที่พล.อ.สุจินดาลาออกจากตำแหน่งในอีก 2 วันต่อมา สถานการณ์บ้านเมืองก็เข้าสู่ภาวะสงบสุข
***ทรท.ยังเดินหน้าหนุนอีแต๋นเข้ากรุง
สำหรับความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยนอกจากจะใช้เวทีปราศรัยตอบโต้ฝ่ายผู้ชุมนุม การเดินแผนใต้ดินโดยจัดตั้งขบวนม็อบรถเพื่อการเกษตรหรืออีแต๋นเข้ากรุงเทพฯยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง
แหล่งข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ก่อนที่ขบวนอีแต๋นเชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเริ่มเคลื่อนจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อ 09.00 น.ของวันที่ 2 มี.ค.49 ที่ผ่านมานั้น ได้มีการเรียกประชุมแกนนำ 8 คนภายในบ้านของนักการเมืองใหญ่ของ จ.เชียงรายคนหนึ่งในช่วงบ่ายของวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกับกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวงบประมาณอีกไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทเพื่อสร้างกองทัพรากหญ้าจากเชียงราย-กรุงเทพฯขึ้นมา
โดยมีการวางแผนระดมมวลชนจากทุกจังหวัดที่ขบวนอีแต๋นจะแล่นผ่านเข้ามาสมทบเรื่อย ๆ จาก 10 เป็น 100 เป็น 1,000 ฉายภาพให้เห็นมวลชนรากหญ้าให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในท้องที่ จ.เชียงราย ล้วนมีคนของนักการเมืองใหญ่คนดังกล่าว เป็นฟันเฟืองทั้งสิ้น โดยเฉพาะแกนนำเครือข่ายเหล้าพื้นบ้านแห่งประเทศไทย (กลุ่มนก 5 ตัว) ที่มีนายอัครเดช สุขลักษณ์ เป็นตัวหลัก (อ่านเรื่องประกอบ)
***"ป่าไม้"ระดมคนเข้ากรุงแล้ว
ด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่มลูกจ้างป่าไม้-เสือไฟในสังกัดของกรมอุทยานแห่งชาติ กระทรวงทรัพย์ฯ ที่มีนายยงยุทธ ติยะไพรัตน์ เป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการฯอยู่นั้น แหล่งข่าวจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์หลายแห่งในภาคเหนือ ยืนยันว่า ได้มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ ลูกจ้างในสังกัดทุกหน่วย ๆ ละ 100 คนเดินทางเข้ากรุงเทพฯในช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาแล้ว โดยส่วนใหญ่เข้าไปสมทบกับลูกจ้างป่าไม้ที่เข้าไปรักษาความปลอดภัยสำนักงานของต้นสังกัดที่ซอยอารีย์ กรุงเทพฯ และสำนักงาน ออป.แถบราชดำเนิน
โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างป่าไม้ในสังกัดของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์แห่งหนึ่งในภาคเหนือ ที่มีผู้อำนวยการเป็นคู่เขยของญาติ พ.ต.ท.ทักษิณ มีรายงานยืนยันจากหน่วยงานด้านการข่าวหลายหน่วย ระบุตรงกันว่า มีการนำท่อนเหล็กยาวเมตรกว่า เข้ามาใช้เป็นคันธง สำหรับผูกธงชาติ-ธงเฉลิมพระเกียรติ แทนการใช้ไม้ด้วย
ขณะที่กลุ่มคนในสังกัดกรมป่าไม้ของกระทรวงเกษตรฯนั้น มีคำสั่งให้เตรียมพร้อมอยู่ในที่ตั้งเท่านั้น ยังไม่มีคำสั่งให้เคลื่อนกำลังเข้ากรุงเทพฯ
**อานันท์ห่วงสังคมเป็นกลางตกขอบ
ขณะที่ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ได้แสดงความเห็นในการเสวนาเรื่อง “สิทธิมองสื่อ สื่อมองสิทธิ” ในวันครบรอบ 2 ปีที่ทนายความ สมชาย นีละไพจิตร หายไป ว่า ห่วงคนที่ใช้คำว่าเป็นกลางมากขึ้น โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน ซึ่งสื่อมวลชนมีหน้าที่หาความจริง และความถูกต้อง การเขียนจึงไม่ได้ดูว่าอะไรที่ต้องเป็นกลาง เพราะความถูกต้องและความไม่ถูกต้องไม่ต้องเลือกสายกลาง เพราะฉะนั้นเรื่องความจริง ความเท็จ ความถูกต้องและความไม่ชอบ ไม่มีหน้าที่เป็นกลาง ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นพวกตกขอบ หมายความว่าเป็นการเอาตัวรอด เพราะฉะนั้นสื่อต้องเลือกข้างกันแล้ว
นายอานันท์ ยังให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า อย่าเอาเรื่องที่ตนพูดไปพัวพันกับการเมืองในปัจจุบัน เพราะตนพูดในบริบทของสื่อที่ต้องยึดความจริง อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ไม่ดี อึมครึม เมื่อถามว่าเกรงว่าจะมีการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามหรือไม่ นายอานันท์ กล่าวว่า ทุกคนต้องใช้สติ ความรุนแรงก็จะไม่เกิด
**อภิสิทธิ์กรีดแม้วหนีตรวจสอบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ ASTV วานนี้(12มี.ค.) กรณีที่มีบุคคลบางกลุ่มออกมาเรียกร้องให้พรรคร่วมฝ่ายค้าน และ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หันหน้าเข้าเจรจากับรัฐบาล เพื่อยุติความขัดแย้ง และ ป้องกันเหตุการณ์บานปลายไปสู่ความรุนแรง ว่า แนวทางการหาทางออกด้วยความสงบเรียบร้อย และสันตินั้น เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน และที่ผ่านมา ทุกฝ่ายก็ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการแสดงออก จะเห็นว่า การชุมนุมที่มีคนนับแสนก็ไม่มีความรุนแรง เพราะฉะนั้น ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายผู้ชุมนุมควรได้รับความชื่นชมยกย่อง และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าได้พยายามรักษาความสงบ แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เผชิญอยู่ขณะนี้ เป็นเรื่องความชอบธรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฝ่าฝืนกฎหมายหลายอย่าง ที่ชัดเจนคือ การขายหุ้นชินคอร์ป การทุจริตเชิงนโยบาย การทำลายเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าไปครอบงำองค์กรอิสระ จำกัดบทบาทของฝ่ายต่างๆ ที่จะเข้าไปตรวจสอบ ความไม่ชอบธรรมเหล่านี้ จะเอาการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยมาฟอกตัวไม่ได้
“ผมไม่เคยเห็นนายกฯคนไหนในโลก มีเพียงพ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเท่านั้นที่หนีการตรวจสอบของสภาฯ ไม่เคยมาตอบคำถามแม้แต่กระทู้เดียว พอมีปัญหารุมเร้า ก็บอกว่า จะเปิดสภา พอจะเปิด เรากำลังเตรียมตัว ก็มายุบสภา อ้างว่าจะคืนอำนาจ ให้ประชาชน ซึ่งไม่มีประเทศไหนทำ ที่เอาปัญหาความไม่ชอบธรรมของตัวเอง ไปถามประชาชนด้วยการจัดให้มีการเลือกตั้ง อย่างสหรัฐฯ ประธานาธิบดีนิกสัน โดนคดีวอเตอร์เกต เขาก็ยอมลาออก หลายประเทศที่ใช้ระบอบรัฐสภา เมื่อผู้นำถูกประชาชนกดดัน ส่วนใหญ่เขาจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก”
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมขึ้นเวทีออกโทรทัศน์ร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ว่า ก็ไม่ทราบว่ากลัวอะไร เรื่องออกโทรทัศน์ ทีไปอำเภออาจสามารถ ยังออกได้ทั้งอาทิตย์ แม้แต่ตอนใส่ผ้าขาวม้ายังให้ออกได้เลย ทีปัญหาของชาติทำไมไม่กล้าให้ออก
นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า ถ้าจะให้เขาไปคุยกันในห้องโดยไม่มีการถ่ายทอดสด ตนไม่เอาแน่นอน เพราะขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่อยู่ในฐานะที่จะเชื่อถือคำพูดได้อีกต่อไป เพราะขนาดออกทีวีไปทั่วประเทศ แต่พอตกตอนเช้ามาก็พูดไปอีกอย่าง กลัวว่า เมื่อคุยกันในห้องแล้วเดินออกมาก็จะพูดไปอีกอย่าง
**แม้วกลับกลอกออกทีวี
ด้านนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้มีการดีเบตผ่านสื่อฯ ว่า จะต้องเข้าใจว่า สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่หลายคนต้องการให้เกิดความปรองดองให้เกิดการหารือ และหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ ถ้าเราเริ่มใช้คำว่าดีเบต หมายถึงการโต้วาที คือการโต้กันไปมา ก็จะสร้างภาวะที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้า ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิด เพราะต้องการหาทางออกที่แท้จริง
นายสุรนันทน์ กล่าวว่า หากกลุ่มผู้ชุมนุม หรือพรรคฝ่ายค้าน มีข้อสงสัยอะไร ทางที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองเวลานี้ คือการมานั่งหารือกัน ในลักษณะปิดห้องคุยกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่โปร่งใส เพราะการปิดห้องคุยกันจะทำให้ทุกคนพูดถึงวาระในใจตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องพูดในเชิงหาเสียง” นายสุรนันทน์ กล่าว
“ถ้าขึ้นเวทีดีเบตอย่างที่พีเน็ตเสนอ ผมเห็นว่า พีเน็ตชักเลอะเทอะใหญ่ วันนี้ ต้องเข้าใจว่าบ้านเมืองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะมาโต้วาที หรือเผชิญหน้ากัน” นายสุรนันทน์ กล่าว
**สื่อทีวีพร้อมรับศึก14มี.ค.
สำหรับความเคลื่อนไหวของสื่อทีวีต่อกรณีการชุมนุมครั้งใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 14 มีนาคมนี้ หลายช่องมีการเตรียมพร้อมอย่างไรโดยช่อง 7 เป็นสถานีที่ประกาศตัวเองออกมาอย่างชัดเจนก่อนช่องอื่นว่า ยืนยันที่จะถ่ายทอดสดเหตุการณ์ชุมนุมแน่นอน โดยแยกทีมข่าวออกมาเป็นหลายชุดกระจายกำลังไปตามจุดต่างๆ ส่วนการทำภาพข่าวเหตุการณ์ซ้อนภาพรายการปรกติก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทำอยู่เหมือนเดิม เพราะได้รับคำชมเชยและถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่จะได้รับรู้เหตุการณ์ข่าวสารตลอดเวลา
แหล่งข่าวจากสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 กล่าวว่า ช่อง 5 เตรียมทีมงานไว้พร้อมแล้วซึ่งจะมีมากกว่าทีมข่าวที่ใช้ในการทำข่าวปรกติ โดยจะมีการกระจายทีมข่าวไปยังจุดสำคัญๆทุกจุด
“ท่านผู้บัญชาการทหารบกให้นโยบายว่า ช่อง 5 จะต้องรายงานข่าวอย่างเป็นกลางและเป็นธรรมในทุกกรณี ให้น้ำหนักข่าวเท่าๆกันทุกฝ่าย รายงานไปตามข้อเท็จจริง” แหล่งข่าวกล่าว
ทางด้านช่อง 3 มีการวางทีมข่าวไว้พร้อมเท่าที่มีอยู่ โดยจะมีการถ่ายทอดสดด้วยหากมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคงจะไม่มีการถ่ายทอดสดแช่ตลอดทั้งวัน เนื่องจากว่า การชุมนุมคงจะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่รุนแรงตลอดอยู่แล้ว
สำหรับช่องไอทีวี นายทรงศักดิ์ เปรมสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไอทีวีให้ความสำคัญกับข่าวเหตุการณ์นี้มาก เพราะถือเป็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญต่อเหตุการณ์บ้านเมือง จะมีความถี่ในการรายงานข่าวและการเตรียมพร้อมเสนอข่าวในแง่มุมที่หลากหลาย
**สื่อนอกบอกหลายฝ่ายกดดันให้เร่งแก้ไขวิกฤต
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานข่าววานนี้ว่า กำลังมีแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้หาทางแก้ไขวิกฤตทางการเมืองในไทยขณะนี้ โดยที่มีผู้สังเกตการณ์หลายรายบอกว่า รู้สึกวิตกที่วิกฤตคราวนี้จะนำไปสู่ความรุนแรง , ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย, ตลอดจนเกิดทางตันในการเลือกตั้งขึ้นมา
เอเอฟพีบอกว่า เวลานี้ทั้งพวกผู้นำธุรกิจ, นักวิจารณ์การเมือง, องคมนตรี, และกระทั่งตำรวจ ต่างออกมาเตือนว่า ประเทศไทยจะต้องสูญเสียมากทีเดียว หากทั้งสองฝ่ายที่ประจันหน้ากันอยู่ไม่หาทางประนีประนอมกันโดยเร็ว
สำนักข่าวแห่งนี้ไปสัมภาษณ์นายสันติ วิลาศศักดานนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกล่าวว่า ต้องการให้ความขัดแย้งคราวนี้ยุติโดยเร็วที่สุด โดยที่รัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้สถานการณ์กลายเป็นแผลกลัดหนอง และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้ากันในการประท้วง เนื่องจาก “หากเกิดความรุนแรงขึ้นมาแล้ว ก็จะสร้างความเสียหายต่อประเทศและเศรษฐกิจอย่างเลวร้าย”
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยบอกว่า เวลานี้การเจรจาเปิดการค้าเสรี, โครงการโครงสร้างพื้นฐานที่วางแผนกันไว้, ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ต่างได้รับความกระทบกระเทือนแล้ว และเขาคาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จะเป็นอย่างต่อไปที่จะถูกกระทบ
เอเอฟพียังสัมภาษณ์นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกำลังไปสอนและทำวิจัยในสหรัฐฯ ที่พูดทำนองเดียวกันว่า ถ้าหากวิกฤตยังดำเนินต่อไป ก็อาจจะสร้างภาพลักษณ์ขึ้นมาว่า ประเทศไทยไร้เสถียรภาพและไม่มีความแน่นอน
**ต่างจังหวัดยกพลเข้ากรุงร่วมชุมนุม
ศูนย์ข่าวภูมิภาคผู้จัดการรายวันได้สำรวจการตื่นตัวของประชาชนในต่างจังหวัด พบว่า หลายจังหวัดมีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก โดยประชาชนทยอยออกเดินทางจากในช่วงเย็นวานนี้ซึ่งเป็นการนัดรวมตัวกันในส่วนของกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในจังหวัดนั้น โดยผู้ร่วมเดินทางโดยสารมากับรถบัส และรถตู้ รวมทั้งรถยนต์ส่วนตัวเป็นจำนวนมาก
วันนี้(13มี.ค.)เป็นวันนัดชุมนุมใหญ่ของประชาชนในเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ท้องสนามหลวงโดยจะชุมนุมกันไปตลอดทั้งคืนก่อนจะเคลื่อนขบวนไปที่ทำเนียบรัฐบาลในเวลา 07.00 น.เช้าวันอังคารนี้เพื่อยื่นคำขาดให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีที่ขาดความชอบธรรมออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้มีการปฎิรูปการเมืองโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งหลายฝ่ายให้ความสนใจเป็นอย่างมากเพราะการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงนับแต่วันที่ 5 มี.ค.เป็นต้นมามีประชาชนทั่วไปและกลุ่มพลังมวลชน นักวิชาการ คณาจารย์ ผู้ประกอบวิชาชีพหลากหลายอาชีพเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลพยายามใช้เวทีหาเสียงเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย พร้อมกับใช้สื่อโดยเฉพาะโทรทัศน์และวิทยุในเครือข่ายของรัฐบาล ทำลายความน่าเชื่อถือของการชุมนุมประชาชนที่ท้องสนามหลวง และปฎิเสธที่จะพบกับแกนนำพันธมิตรในเวทีสาธารณะ ทั้งๆที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ประกาศในการปราศรัยใหญ่ที่สนามหลวงเองก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มีบางกลุ่มที่มองว่าการเรียกร้องของประชาชน และ ความดื้อดึงของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องของคนสองกลุ่มทะเลาะกันก็ถูกขยายกระแสให้กว้างมากขึ้น
**ทีวีพูลอัญเชิญพระราชดำรัสพฤษภาทมิฬเผยแพร่
วานนี้เวลา 20.00 น. ที่ผ่านมาก่อนข่าวพระราชสำนัก โทรทัศน์ร่วมการเฉพาะกิจ ได้เผยแพร่เทปบันทึกภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระกระแสรับสั่งให้พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2535 เพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยช่วง 1-2 วัน ก่อนหน้านี้ สถานีวิทยุ และโทรทัศน์ในสังกัดกองทัพบกได้อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสดังกล่าวมาเผยแพร่เป็นระยะๆ
แหล่งข่าวจากวงการโทรทัศน์ เปิดเผยว่า จุดเริ่มของการเผยแพร่ครั้งนี้เริ่มต้นมาจาก ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ได้โทรศัพท์ถึงผู้อำนวยการทีวีทุกช่องที่เป็นสมาชิกทีวีพูลเพื่อให้เข้าร่วมประชุมในวาระเร่งด่วนถึง สถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งในที่สุดวานนี้(12มี.ค.) จึงมีมติร่วมกันให้นำเทปดังกล่าวมาจัดทำใหม่ออกอากาศพร้อมกันก่อนที่ทีวีแต่ละช่องจะเสนอข่าวพระราชสำนักในเวลา 20.00 น.
**สนธิฟันธงเป็นสัญญาณเตือนสติแม้ว
จากนั้นในเวลา 21.00 น.เศษแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และ นายพิภพ ธงไชย ได้ขึ้นพบกับประชาชนที่สนามหลวง โดยนายสนธิได้ให้พล.ต.จำลอง ผู้ซึ่งได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันนั้น ชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นและเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535
ต่อมา นายสนธิ กล่าวว่า นัยของทีวีพูลที่นำภาพประวัติศาสตร์มาออกในช่วงนี้ เป็นสัญญานที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องลาออกเหมือนกรณีของพล.อ.สุจินดา ในครั้งนั้น ซึ่งหวังว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าใจนัยยนี้ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่บ้านเมืองมีปัญหา เกิดความแตกแยกขัดแย้งในสังคม ซึ่งปัญหามาจากความยึดติดของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีต้องลาออกเพื่อให้ทุกอย่างสงบ
นายสนธิ กล่าวว่า การตัดสินใจของทีวีพูลมาจากททบ.5 ซึ่งอยู่ในสังกัดกองทัพบกมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งทราบกันดีว่า เป็นผบ.ทบ.ที่แหกโผไม่ได้มีอยู่ในรายชื่อของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่กราบบังคมทูลเกล้า เป็นทหารอาชีพที่ยืนอยู่ข้างประชาชนจึงเข้าใจได้ว่าต้องการส่งสัญญานนี้ออกไป ก่อนนี้พล.อ.สนธิ ก็สั่งให้ททบ.ให้เสนอข่าวทั้งสองด้านทั้งด้านฝ่ายชุมนุมและรัฐบาล เพื่อความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
“เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ปีที่แล้ว ในหลวงก็ทรงมีกระแสพระราชดำรัสชัดเจนหลายเรื่อง แต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าใจ ก่อนนี้พ.ต.ท.ทักษิณฟ้องผมและคุณสโรชา (พรอุดมศักดิ์)หลายคดี แต่ก็ต้องถอนฟ้อง วันนี้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องทำตามอย่างพล.อ.สุจินดา” นายสนธิ กล่าว
ด้านพล.ต.จำลอง เชื่อเช่นกันว่า ทีวีพูลต้องการสื่ออะไรอย่างแน่นอน เหตุการณ์วันนี้แตกต่างจากพฤษภา2535 โดยพันธมิตรฯจะเดินหน้าทวงคำตอบจากพ.ต.ท.ทักษิณในวันอังคารที่ทำเนียบรัฐบาลตามเดิม และ จะฟังเสียงของประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมว่าจะให้ทำอย่างไรถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมละทิ้งตำแหน่งทางการเมือง
สำหรับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในครั้ง หลังในหลวงทรงมีกระแสรับสั่งแล้ว ผู้ชุมนุมก็สลายตัวขณะที่พล.อ.สุจินดาลาออกจากตำแหน่งในอีก 2 วันต่อมา สถานการณ์บ้านเมืองก็เข้าสู่ภาวะสงบสุข
***ทรท.ยังเดินหน้าหนุนอีแต๋นเข้ากรุง
สำหรับความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยนอกจากจะใช้เวทีปราศรัยตอบโต้ฝ่ายผู้ชุมนุม การเดินแผนใต้ดินโดยจัดตั้งขบวนม็อบรถเพื่อการเกษตรหรืออีแต๋นเข้ากรุงเทพฯยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง
แหล่งข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ก่อนที่ขบวนอีแต๋นเชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเริ่มเคลื่อนจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อ 09.00 น.ของวันที่ 2 มี.ค.49 ที่ผ่านมานั้น ได้มีการเรียกประชุมแกนนำ 8 คนภายในบ้านของนักการเมืองใหญ่ของ จ.เชียงรายคนหนึ่งในช่วงบ่ายของวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกับกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวงบประมาณอีกไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทเพื่อสร้างกองทัพรากหญ้าจากเชียงราย-กรุงเทพฯขึ้นมา
โดยมีการวางแผนระดมมวลชนจากทุกจังหวัดที่ขบวนอีแต๋นจะแล่นผ่านเข้ามาสมทบเรื่อย ๆ จาก 10 เป็น 100 เป็น 1,000 ฉายภาพให้เห็นมวลชนรากหญ้าให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในท้องที่ จ.เชียงราย ล้วนมีคนของนักการเมืองใหญ่คนดังกล่าว เป็นฟันเฟืองทั้งสิ้น โดยเฉพาะแกนนำเครือข่ายเหล้าพื้นบ้านแห่งประเทศไทย (กลุ่มนก 5 ตัว) ที่มีนายอัครเดช สุขลักษณ์ เป็นตัวหลัก (อ่านเรื่องประกอบ)
***"ป่าไม้"ระดมคนเข้ากรุงแล้ว
ด้านความเคลื่อนไหวของกลุ่มลูกจ้างป่าไม้-เสือไฟในสังกัดของกรมอุทยานแห่งชาติ กระทรวงทรัพย์ฯ ที่มีนายยงยุทธ ติยะไพรัตน์ เป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการฯอยู่นั้น แหล่งข่าวจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์หลายแห่งในภาคเหนือ ยืนยันว่า ได้มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ ลูกจ้างในสังกัดทุกหน่วย ๆ ละ 100 คนเดินทางเข้ากรุงเทพฯในช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาแล้ว โดยส่วนใหญ่เข้าไปสมทบกับลูกจ้างป่าไม้ที่เข้าไปรักษาความปลอดภัยสำนักงานของต้นสังกัดที่ซอยอารีย์ กรุงเทพฯ และสำนักงาน ออป.แถบราชดำเนิน
โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างป่าไม้ในสังกัดของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์แห่งหนึ่งในภาคเหนือ ที่มีผู้อำนวยการเป็นคู่เขยของญาติ พ.ต.ท.ทักษิณ มีรายงานยืนยันจากหน่วยงานด้านการข่าวหลายหน่วย ระบุตรงกันว่า มีการนำท่อนเหล็กยาวเมตรกว่า เข้ามาใช้เป็นคันธง สำหรับผูกธงชาติ-ธงเฉลิมพระเกียรติ แทนการใช้ไม้ด้วย
ขณะที่กลุ่มคนในสังกัดกรมป่าไม้ของกระทรวงเกษตรฯนั้น มีคำสั่งให้เตรียมพร้อมอยู่ในที่ตั้งเท่านั้น ยังไม่มีคำสั่งให้เคลื่อนกำลังเข้ากรุงเทพฯ
**อานันท์ห่วงสังคมเป็นกลางตกขอบ
ขณะที่ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ได้แสดงความเห็นในการเสวนาเรื่อง “สิทธิมองสื่อ สื่อมองสิทธิ” ในวันครบรอบ 2 ปีที่ทนายความ สมชาย นีละไพจิตร หายไป ว่า ห่วงคนที่ใช้คำว่าเป็นกลางมากขึ้น โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน ซึ่งสื่อมวลชนมีหน้าที่หาความจริง และความถูกต้อง การเขียนจึงไม่ได้ดูว่าอะไรที่ต้องเป็นกลาง เพราะความถูกต้องและความไม่ถูกต้องไม่ต้องเลือกสายกลาง เพราะฉะนั้นเรื่องความจริง ความเท็จ ความถูกต้องและความไม่ชอบ ไม่มีหน้าที่เป็นกลาง ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นพวกตกขอบ หมายความว่าเป็นการเอาตัวรอด เพราะฉะนั้นสื่อต้องเลือกข้างกันแล้ว
นายอานันท์ ยังให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า อย่าเอาเรื่องที่ตนพูดไปพัวพันกับการเมืองในปัจจุบัน เพราะตนพูดในบริบทของสื่อที่ต้องยึดความจริง อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ไม่ดี อึมครึม เมื่อถามว่าเกรงว่าจะมีการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามหรือไม่ นายอานันท์ กล่าวว่า ทุกคนต้องใช้สติ ความรุนแรงก็จะไม่เกิด
**อภิสิทธิ์กรีดแม้วหนีตรวจสอบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ ASTV วานนี้(12มี.ค.) กรณีที่มีบุคคลบางกลุ่มออกมาเรียกร้องให้พรรคร่วมฝ่ายค้าน และ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หันหน้าเข้าเจรจากับรัฐบาล เพื่อยุติความขัดแย้ง และ ป้องกันเหตุการณ์บานปลายไปสู่ความรุนแรง ว่า แนวทางการหาทางออกด้วยความสงบเรียบร้อย และสันตินั้น เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน และที่ผ่านมา ทุกฝ่ายก็ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการแสดงออก จะเห็นว่า การชุมนุมที่มีคนนับแสนก็ไม่มีความรุนแรง เพราะฉะนั้น ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายผู้ชุมนุมควรได้รับความชื่นชมยกย่อง และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าได้พยายามรักษาความสงบ แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกัน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่เผชิญอยู่ขณะนี้ เป็นเรื่องความชอบธรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฝ่าฝืนกฎหมายหลายอย่าง ที่ชัดเจนคือ การขายหุ้นชินคอร์ป การทุจริตเชิงนโยบาย การทำลายเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญโดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าไปครอบงำองค์กรอิสระ จำกัดบทบาทของฝ่ายต่างๆ ที่จะเข้าไปตรวจสอบ ความไม่ชอบธรรมเหล่านี้ จะเอาการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยมาฟอกตัวไม่ได้
“ผมไม่เคยเห็นนายกฯคนไหนในโลก มีเพียงพ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเท่านั้นที่หนีการตรวจสอบของสภาฯ ไม่เคยมาตอบคำถามแม้แต่กระทู้เดียว พอมีปัญหารุมเร้า ก็บอกว่า จะเปิดสภา พอจะเปิด เรากำลังเตรียมตัว ก็มายุบสภา อ้างว่าจะคืนอำนาจ ให้ประชาชน ซึ่งไม่มีประเทศไหนทำ ที่เอาปัญหาความไม่ชอบธรรมของตัวเอง ไปถามประชาชนด้วยการจัดให้มีการเลือกตั้ง อย่างสหรัฐฯ ประธานาธิบดีนิกสัน โดนคดีวอเตอร์เกต เขาก็ยอมลาออก หลายประเทศที่ใช้ระบอบรัฐสภา เมื่อผู้นำถูกประชาชนกดดัน ส่วนใหญ่เขาจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก”
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมขึ้นเวทีออกโทรทัศน์ร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ว่า ก็ไม่ทราบว่ากลัวอะไร เรื่องออกโทรทัศน์ ทีไปอำเภออาจสามารถ ยังออกได้ทั้งอาทิตย์ แม้แต่ตอนใส่ผ้าขาวม้ายังให้ออกได้เลย ทีปัญหาของชาติทำไมไม่กล้าให้ออก
นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า ถ้าจะให้เขาไปคุยกันในห้องโดยไม่มีการถ่ายทอดสด ตนไม่เอาแน่นอน เพราะขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่อยู่ในฐานะที่จะเชื่อถือคำพูดได้อีกต่อไป เพราะขนาดออกทีวีไปทั่วประเทศ แต่พอตกตอนเช้ามาก็พูดไปอีกอย่าง กลัวว่า เมื่อคุยกันในห้องแล้วเดินออกมาก็จะพูดไปอีกอย่าง
**แม้วกลับกลอกออกทีวี
ด้านนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องให้มีการดีเบตผ่านสื่อฯ ว่า จะต้องเข้าใจว่า สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่หลายคนต้องการให้เกิดความปรองดองให้เกิดการหารือ และหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ ถ้าเราเริ่มใช้คำว่าดีเบต หมายถึงการโต้วาที คือการโต้กันไปมา ก็จะสร้างภาวะที่ทำให้เกิดการเผชิญหน้า ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิด เพราะต้องการหาทางออกที่แท้จริง
นายสุรนันทน์ กล่าวว่า หากกลุ่มผู้ชุมนุม หรือพรรคฝ่ายค้าน มีข้อสงสัยอะไร ทางที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองเวลานี้ คือการมานั่งหารือกัน ในลักษณะปิดห้องคุยกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่โปร่งใส เพราะการปิดห้องคุยกันจะทำให้ทุกคนพูดถึงวาระในใจตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องพูดในเชิงหาเสียง” นายสุรนันทน์ กล่าว
“ถ้าขึ้นเวทีดีเบตอย่างที่พีเน็ตเสนอ ผมเห็นว่า พีเน็ตชักเลอะเทอะใหญ่ วันนี้ ต้องเข้าใจว่าบ้านเมืองไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะมาโต้วาที หรือเผชิญหน้ากัน” นายสุรนันทน์ กล่าว
**สื่อทีวีพร้อมรับศึก14มี.ค.
สำหรับความเคลื่อนไหวของสื่อทีวีต่อกรณีการชุมนุมครั้งใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 14 มีนาคมนี้ หลายช่องมีการเตรียมพร้อมอย่างไรโดยช่อง 7 เป็นสถานีที่ประกาศตัวเองออกมาอย่างชัดเจนก่อนช่องอื่นว่า ยืนยันที่จะถ่ายทอดสดเหตุการณ์ชุมนุมแน่นอน โดยแยกทีมข่าวออกมาเป็นหลายชุดกระจายกำลังไปตามจุดต่างๆ ส่วนการทำภาพข่าวเหตุการณ์ซ้อนภาพรายการปรกติก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทำอยู่เหมือนเดิม เพราะได้รับคำชมเชยและถือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่จะได้รับรู้เหตุการณ์ข่าวสารตลอดเวลา
แหล่งข่าวจากสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 กล่าวว่า ช่อง 5 เตรียมทีมงานไว้พร้อมแล้วซึ่งจะมีมากกว่าทีมข่าวที่ใช้ในการทำข่าวปรกติ โดยจะมีการกระจายทีมข่าวไปยังจุดสำคัญๆทุกจุด
“ท่านผู้บัญชาการทหารบกให้นโยบายว่า ช่อง 5 จะต้องรายงานข่าวอย่างเป็นกลางและเป็นธรรมในทุกกรณี ให้น้ำหนักข่าวเท่าๆกันทุกฝ่าย รายงานไปตามข้อเท็จจริง” แหล่งข่าวกล่าว
ทางด้านช่อง 3 มีการวางทีมข่าวไว้พร้อมเท่าที่มีอยู่ โดยจะมีการถ่ายทอดสดด้วยหากมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคงจะไม่มีการถ่ายทอดสดแช่ตลอดทั้งวัน เนื่องจากว่า การชุมนุมคงจะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่รุนแรงตลอดอยู่แล้ว
สำหรับช่องไอทีวี นายทรงศักดิ์ เปรมสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไอทีวีให้ความสำคัญกับข่าวเหตุการณ์นี้มาก เพราะถือเป็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญต่อเหตุการณ์บ้านเมือง จะมีความถี่ในการรายงานข่าวและการเตรียมพร้อมเสนอข่าวในแง่มุมที่หลากหลาย
**สื่อนอกบอกหลายฝ่ายกดดันให้เร่งแก้ไขวิกฤต
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานข่าววานนี้ว่า กำลังมีแรงกดดันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้หาทางแก้ไขวิกฤตทางการเมืองในไทยขณะนี้ โดยที่มีผู้สังเกตการณ์หลายรายบอกว่า รู้สึกวิตกที่วิกฤตคราวนี้จะนำไปสู่ความรุนแรง , ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย, ตลอดจนเกิดทางตันในการเลือกตั้งขึ้นมา
เอเอฟพีบอกว่า เวลานี้ทั้งพวกผู้นำธุรกิจ, นักวิจารณ์การเมือง, องคมนตรี, และกระทั่งตำรวจ ต่างออกมาเตือนว่า ประเทศไทยจะต้องสูญเสียมากทีเดียว หากทั้งสองฝ่ายที่ประจันหน้ากันอยู่ไม่หาทางประนีประนอมกันโดยเร็ว
สำนักข่าวแห่งนี้ไปสัมภาษณ์นายสันติ วิลาศศักดานนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกล่าวว่า ต้องการให้ความขัดแย้งคราวนี้ยุติโดยเร็วที่สุด โดยที่รัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้สถานการณ์กลายเป็นแผลกลัดหนอง และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้ากันในการประท้วง เนื่องจาก “หากเกิดความรุนแรงขึ้นมาแล้ว ก็จะสร้างความเสียหายต่อประเทศและเศรษฐกิจอย่างเลวร้าย”
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยบอกว่า เวลานี้การเจรจาเปิดการค้าเสรี, โครงการโครงสร้างพื้นฐานที่วางแผนกันไว้, ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ต่างได้รับความกระทบกระเทือนแล้ว และเขาคาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จะเป็นอย่างต่อไปที่จะถูกกระทบ
เอเอฟพียังสัมภาษณ์นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกำลังไปสอนและทำวิจัยในสหรัฐฯ ที่พูดทำนองเดียวกันว่า ถ้าหากวิกฤตยังดำเนินต่อไป ก็อาจจะสร้างภาพลักษณ์ขึ้นมาว่า ประเทศไทยไร้เสถียรภาพและไม่มีความแน่นอน
**ต่างจังหวัดยกพลเข้ากรุงร่วมชุมนุม
ศูนย์ข่าวภูมิภาคผู้จัดการรายวันได้สำรวจการตื่นตัวของประชาชนในต่างจังหวัด พบว่า หลายจังหวัดมีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก โดยประชาชนทยอยออกเดินทางจากในช่วงเย็นวานนี้ซึ่งเป็นการนัดรวมตัวกันในส่วนของกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในจังหวัดนั้น โดยผู้ร่วมเดินทางโดยสารมากับรถบัส และรถตู้ รวมทั้งรถยนต์ส่วนตัวเป็นจำนวนมาก