xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 10. เรียนมนต์ชินบัญชร

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม


เมื่อครั้งที่ผมอยู่วัดกับพระอาจารย์นั้น เคยเล่าเรียนภาษาบาลีมาบ้างแต่เป็นการเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเพื่อให้อ่านออกเท่านั้น ไม่ได้เรียนไปถึงขั้นไวยากรณ์และนิรุกติ์ซึ่งเป็นหลักและรากของภาษาบาลี จึงยังไม่ถึงขั้นที่จะแปลภาษาบาลีหรือเขียนภาษาบาลีได้เอง แม้ในขั้นการอ่านก็ยังจัดว่ายังอ่อนชั้นมาก ดังนั้นในการเริ่มต้นเรียนพระคาถาชินบัญชรจึงต้องอ่านให้ตลอดเสียก่อน แต่ก็คงเป็นการอ่านออกเสียงแบบตะกุกตะกักอยู่นั่นเอง

การอ่านออกเสียงทำให้เกิดเสียงดังบ้างเป็นธรรมดา แต่จะช่วยทำให้เกิดความทรงจำได้ง่ายกว่าการอ่านที่ไม่ออกเสียง ครูที่บ้านนอกได้อบรมบ่มเพาะศิษย์เกี่ยวกับเรื่องความจำว่าในการอ่านหนังสือให้จำได้ดีนั้นจะต้องอ่านโดยวิธีออกเสียงก่อน เพราะการอ่านโดยออกเสียงจะทำให้ประสาทสัมผัสและประสาทเกี่ยวกับความทรงจำตื่นตัวได้ดีและมีผลให้จำได้ง่ายกว่าที่จะอ่านแบบผ่านในใจ

ส่วนการอ่านในใจนั้นเป็นการอ่านในชั้นการอ่านทบทวนเพื่อให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นการย้ำความทรงจำอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อคิดดูแล้วก็เห็นเป็นเหตุเป็นผลอยู่มาก เพราะในขั้นอ่านออกเสียงนั้นไม่ต้องใช้ความคิดพิจารณาอะไรเพียงแต่เป็นการสร้างความทรงจำ แต่เมื่อถึงชั้นการอ่านในใจความคิดพิจารณาก็จะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทำให้เกิดความรู้และความเข้าใจเพิ่มขึ้น และทำให้ความทรงจำแน่นหนามากขึ้น จนถึงขั้นที่โบราณว่า “จำขึ้นใจในวิชาดีกว่าจด จำไม่หมดจดไว้เป็นครูสอน” นั่นแล

ผมอ่านบทพระคาถาชินบัญชรจบไปเที่ยวหนึ่ง พอกำลังอ่านในเที่ยวที่สองก็ได้ยินเสียงคนผลักหน้าต่างชั้นสองของกุฏิใหญ่ ผมเหลือบตาขึ้นไปดูเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งมีลักษณะอ้วนท้วนสมบูรณ์ ใบหน้าเป็นรูปเหลี่ยมมน เต็มไปด้วยลักษณะของความเมตตา อายุราว ๆ 80 เศษ เยี่ยมหน้าออกมาทางหน้าต่างชั้นบนของกุฏิใหญ่ ท่านเห็นผมนั่งอ่านมนต์อยู่และเห็นผมมองท่านก็มิได้ว่ากล่าวประการใด แล้วท่านก็ลับหน้าเดินกลับเข้าไป

สมปราชญ์ศิษย์วัดรุ่นพี่กำลังนั่งซักผ้าอยู่ใกล้ ๆ กันเห็นเหตุการณ์นั้นจึงดุผมว่าอ่านหนังสืออะไรเสียงดังลั่น หนวกหูท่านเจ้าคุณใหญ่ ท่านโผล่หน้าออกมาเตือนแล้ว ต่อไปนี้ขอให้เงียบเสียง อย่าได้ส่งเสียงรบกวนท่านเจ้าคุณใหญ่อีกต่อไป

ผมไต่ถามสมปราชญ์จึงได้ความว่าพระสงฆ์ทรงพรรษาอาวุโสรูปนั้นคือเจ้าประคุณพระเทพสิทธินายก เจ้าอาวาสวัดระฆัง และครองตำแหน่งเป็นเจ้าคณะหนึ่งด้วย บรรดาพระและเด็กวัดทั้งปวงเรียกขานท่านโดยทั่วไปว่าท่านเจ้าคุณใหญ่ แต่นามเดิมของท่านเป็นที่รู้จักกันอย่างดีและอย่างกว้างขวางในวงการพระเครื่องคือหลวงปู่นาคแห่งวัดระฆังโฆสิตาราม

หลวงปู่นาคหรือท่านเจ้าคุณใหญ่เป็นพระมหาเถระที่มากด้วยพรรษา ทรงศีล ทรงวินัย ทรงวิทยาคม มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือเลื่องลือไกล งานปลุกเสกพระเครื่องวัดไหนหากมีหลวงปู่นาคไปนั่งปรกแล้ว เป็นอันวางใจได้ว่าพระเครื่องรุ่นนั้นจะมีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่นิยมของมหาชน

เมื่อสมปราชญ์มาขัดคอเสียดังนั้นผมจึงหยุดเรียนมนต์ แต่ในใจผมยังไม่อยากจะเชื่อว่าการเรียนพระคาถาชินบัญชรโดยการอ่านออกเสียงในวันนั้นเป็นการรบกวนท่านเจ้าคุณใหญ่ คงคิดแต่ว่าท่านเจ้าคุณใหญ่อาจจะสงสัยว่าใครที่ไหนมาท่องพระคาถาชินบัญชรทั้งที่ไม่มีเทศกาลงานอะไร

แต่เมื่อศิษย์วัดรุ่นพี่มาตักเตือนเช่นนั้นผมก็ได้แต่เกรงใจและไม่อยากขัดใจ ในคืนวันนั้นหลังจากสวดมนต์ไหว้พระแล้วผมก็เอาพระคาถาชินบัญชรมาอ่านอีก 2-3 รอบ อ่านแล้วรู้สึกสงบเย็น และมีความอบอุ่นมั่นใจอย่างไรชอบกล

วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายสมปราชญ์ศิษย์วัดรุ่นพี่ออกไปข้างนอกและทั้งกุฏิก็เหลือแต่ผมคนเดียว ผมจึงเอาแผ่นกระดาษที่พิมพ์พระคาถาชินบัญชรแผ่นเดิมมานั่งอ่านที่ด้านหลังกุฏิดังเดิมอีก แต่คราวนี้เสียงอ่านมนต์คาถาออกจะราบรื่นเพราะได้ผ่านตาและอ่านมา 4-5 ครั้งแล้ว จึงคล่องแคล่วกว่าเมื่อวันวานมาก

ผมอ่านออกเสียงพระคาถาชินบัญชรด้วยจิตศรัทธาและมีสมาธิพอประมาณ น้ำเสียงจึงกังวานและไม่มีความติดขัด ในทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มเย็นยะเยือกดุจเสียงสวดสรรเสริญพระรัตนตรัยดังขึ้นช้า ๆ จากกุฏิใหญ่ชั้นบนว่า เอออ้ายหนูคาถาชินบัญชรนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก เอ็งร่ำเรียนเอาไว้เถิด

ผมได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น เห็นท่านเจ้าคุณใหญ่เยี่ยมหน้าต่างออกมาเช่นวันก่อน ท่านจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้มและเปี่ยมด้วยความเมตตาผมจึงยกมือไหว้ท่วมศีรษะ เพราะท่านเจ้าคุณใหญ่อยู่ข้างบนกุฏิชั้นสอง แล้วได้ยินเสียงหลวงปู่นาคพูดพอได้ยินดังขึ้นอีกว่า เออดี เออดี แล้วท่านก็เดินกลับเข้าไป

ผมทราบได้ในขณะนั้นว่าหลวงปู่นาคท่านเห็นดีเห็นงามในการที่ผมจะร่ำเรียนพระคาถาชินบัญชร จึงได้ให้กำลังใจด้วยน้ำใจที่เมตตา ซึ่งสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน

ผมเข้าใจว่าท่านเจ้าคุณใหญ่พูดให้กำลังใจในวันนี้เพราะคงฟังจากเสียงท่องมนต์ที่ราบรื่นและชัดเจนกว่าวันก่อน แล้วรู้ว่าเด็กวัดน้อยกำลังเรียนมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ของอดีตสมภารเจ้าวัดระฆังอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่อ่านหนังสือออกเสียงโดยไม่รู้อะไร

ผู้ที่จิตมีกำลังสมาธิย่อมมีขีดความสามารถที่จะหยั่งรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นได้ตามลำดับขั้นของกำลังสมาธินั้น หากกำลังสมาธิบรรลุถึงขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนาและบรรลุถึงเจโตปริยญาณแล้วก็สามารถหยั่งรู้จิตผู้อื่นได้

สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงขั้นเจโตปริยญาณแต่มีการฝึกฝนอบรมจิตอย่างสม่ำเสมอก็มีขีดความสามารถในการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นได้เป็นบางขั้นบางระดับ แม้การฝึกฝนอบรมจิตในลัทธิศาสนาอื่นก็เคยมีปรากฏ ดังตัวอย่างที่ปรากฏในหนังสือสามก๊กตอนหนึ่งเมื่อครั้งที่สุมาอี้ยกกองทัพสิบหมื่นตรงมาที่เมืองเล็ก ๆ ซึ่งขงเบ้งปักหลักเตรียมจะล่าถอยนั้น ทหารรักษาเมืองมีน้อยตัวนัก ขงเบ้งจะสู้ก็มิได้ จะล่าถอยก็ไม่ทัน จึงคิดอ่านทำกลอุบายเมืองร้างอันลือลั่นในประวัติศาสตร์กลอุบายขึ้น

ขงเบ้งให้เปิดประตูเมืองแล้วให้คนชรา 6-7 คนไปทำทีกวาดขยะหน้าประตูเมือง ขงเบ้งขึ้นไปนั่งดีดพิณอยู่บนเชิงเทินเหนือประตูกำแพง มีเด็กน้อย 2 คนคอยถือกระถางธูปและแส้สัญญาณ ทำให้เกิดความฉงนแก่ผู้พบเห็น

กองทัพหน้าของสุมาอี้เห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ประหลาดใจ สุมาอี้ชักม้าขึ้นมาถึงกองทัพหน้าเห็นเหตุการณ์ประหลาดก็ไม่กล้าบุกเข้าโจมตีด้วยเกรงว่าขงเบ้งวางกลอุบายซ่อนทหารไว้ซุ่มโจมตี

แต่สุมาอี้ก็เป็นแม่ทัพใหญ่ เจนจบพิชัยสงคราม ผ่านการฝึกฝนอบรมจิตและมีความรู้เรื่องการดนตรีเป็นอย่างดีไม่ได้ด้อยไปกว่าขงเบ้ง จึงเงี่ยหูสดับฟังทำนองเพลงพิณของขงเบ้งว่าเป็นประการใด คือเสียงพิณได้สะท้อนความผิดปกติประการใดบ้างเพื่อจะได้จับพิรุธของขงเบ้ง

สุมาอี้เงี่ยหูฟังอยู่พักใหญ่ก็ปรากฏว่าทำนองเพลงพิณนั้นรื่นไหลไม่ติดขัด ไม่ส่ออาการวิตกกังวลหรือตื่นเต้นตกใจของผู้บรรเลงเพลงพิณเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำทำนองเพลงพิณในบางตอนก็เหมือนซ่อนความมั่นใจอย่างลึกซึ้งเอาไว้ ทำนองเพลงพิณในบางตอนก็เหมือนซ่อนความนัยไว้ภายใต้สิ่งที่ปรากฏว่าราบเรียบ ที่สำคัญในบางห้วงของทำนองเพลงมีกลิ่นอายของความอำมหิตโหดเหี้ยมสุดประมาณ

สุมาอี้สังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงมั่นใจว่าขงเบ้งทำกลอุบายซุ่มซ่อนทหารไว้ทำลายกองทัพตัวจึงตกใจ เกรงว่าจะตกอยู่ในกลขงเบ้งจึงสั่งให้ทัพหลังแปรเป็นทัพหน้าล่าถอยออกไปก่อน แล้วทัพหน้าก็แปรเป็นทัพหลังคอยระวังหลังในการล่าถอย

นั่นแสดงให้เห็นถึงการหยั่งรู้ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของผู้อื่นจากเสียงที่แสดงออก เป็นแต่ว่าสุมาอี้พลาดพลั้งในครั้งนั้นก็เพราะกำลังจิตและการฝึกฝนอบรมจิตยังด้อยขั้นกว่าจูกัดเหลียงขงเบ้ง จึงนอกจากจับพิรุธไม่ได้แล้วยังกลับต้องหลงกลขงเบ้งอีก

ใกล้ค่ำวันนั้นผมออกไปหาข้าวปลากินแถวบ้านพรานนกซึ่งอยู่ห่างวัดระฆังออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร ขากลับผมได้ซื้อพวงมาลัยดอกมะลิแล้วแวะไปกราบสมเด็จที่วิหาร บอกกล่าวเจ้าประคุณสมเด็จว่าผมร่ำเรียนท่องมนต์พระคาถาชินบัญชรมา 2 วัน พอจะคุ้นกับภาษาบาลีและเนื้อความในบทพระคาถาแล้วแต่ยังท่องจำไม่ได้ ผมเริ่มเรียนมนต์วันพฤหัสบดี อีก 2 วันจะเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งมีคติว่าอาทิตย์เป็นมิตรกับครูคือมีคติทางโหราศาสตร์ถือว่าพระอาทิตย์เป็นศิษย์ของพระพฤหัส ผมฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าประคุณแล้วจึงขอบารมีเจ้าประคุณให้ความทรงจำบังเกิด สามารถร่ำเรียนและท่องมนต์สำเร็จในวันอาทิตย์นี้เถิด

วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ผมก็หัดท่องพระคาถาชินบัญชรต่อไปอีก ขณะที่ท่องมาถึงคำว่า “มะหีตะเล” ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่นาคดังขึ้นจากทางหน้าต่างชั้นสองของกุฏิใหญ่ว่า อ้ายหนู ภาษาบาลีตอนนี้ต้องท่องให้ชัด เพราะไม่ใช่เสียงตัว ห.หีบ และไม่ใช่เสียงตัว ฮ.นกฮูก แต่ต้องออกเป็นเสียงกล้ำระหว่างตัว ห.หีบ กับตัว ฮ.นกฮูก เป็นเสียงขึ้นจมูก

ผมเงยหน้าขึ้นเห็นท่านเจ้าคุณใหญ่มองมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แววตาของท่านเปล่งประกายถึงความเมตตาอารีอย่างเห็นได้ชัด ผมยกมือไหว้หลวงปู่ด้วยความเคารพศรัทธาและซึ้งในพระคุณ แล้วเห็นหลวงปู่นาคท่านเดินกลับเข้าไปอีก

ผมได้ยินคำเตือนของหลวงปู่นาคก็ได้ตั้งความสังเกตว่าบทพระคาถาชินบัญชรตอนที่ว่า “มะหีตะเล” นั้นหากออกเสียงเป็นเสียง ห.หีบ ก็จะเป็นเสียงที่บอกความหมายน่าเกลียดและเห็นจะไม่เป็นมงคลเป็นแน่ มาได้ทราบภายหลังว่าในการออกเสียงภาษาบาลีนั้น การออกเสียง ห.หีบ จะเป็นเสียงกล้ำระหว่าง ห.หีบ กับ ฮ.นกฮูก คือเป็นเสียงขึ้นเพดานออกทางจมูกตามที่ท่านเจ้าคุณใหญ่ได้แนะนำไว้ จึงนึกถึงพระคุณของหลวงปู่นาคและทำให้เข้าใจถึงความสำคัญของการเรียนมนต์ที่จะคลาดเคลื่อนในอักขระวิธีไม่ได้ เพราะความหมายจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น แม้น้ำเสียงพยัญชนะก็จะผิดเพี้ยนไปจนน่าเกลียด

ดังนั้นใครที่เรียนและท่องพระคาถาชินบัญชรในตอนนี้ก็ควรที่จะตั้งความระลึกถึงความถูกต้องในการออกเสียงให้ถูกต้องดังที่หลวงปู่นาคท่านได้แนะนำไว้ดังนี้

การท่องบทพระคาถาชินบัญชรในวันนี้ออกจะราบรื่นโดยทั่วไป จะติดขัดหลงลืมบ้างก็แต่บางตอน ผมจึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถเรียนพระคาถาชินบัญชรให้สำเร็จได้ภายในวันอาทิตย์เป็นแน่แท้ รำลึกดังนี้ความเชื่อมั่นก็บังเกิดขึ้นในใจเป็นอักโข นี่แหละที่โบราณเขาว่าความตั้งใจย่อมก่อตั้งความทรงจำ

คืนนั้นก่อนนอนผมไหว้พระสวดมนต์อย่างที่เคยแล้วกราบลงบนหมอน รำลึกถึงพระคุณเจ้าประคุณสมเด็จ นึกภาวนาว่าขอให้เรียนพระคาถาชินบัญชรสำเร็จดังปรารถนาเถิด ในคืนวันนั้นก็บังเกิดความฝันประหลาด เห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งอายุพรรษาราว ๆ 80 เศษ ชราจนหง่อมแล้ว ห่มจีวรสีกลัก แต่ผิวพรรณยังผุดผ่องมีเนื้อหนังมังสาที่สมบูรณ์ มีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความเมตตาอย่างล้ำลึก ผมยกมือขึ้นไหว้ พระภิกษุนั้นก็หายไป

ตื่นขึ้นจำความฝันได้ก็รู้สึกแปลกใจและเฉลียวใจว่าพระภิกษุชราในฝันนั้นหรือจะเป็นเจ้าประคุณสมเด็จมาแสดงนิมิตให้ปรากฏ แต่ก็แปลกใจว่าภาพพระภิกษุชราที่ปรากฏในฝันนั้นไม่เหมือนกันเลยกับรูปหล่อเจ้าประคุณสมเด็จในวิหารซึ่งมีลักษณะผอมโปร่ง และที่บริเวณหน้าท้องค่อนข้างจะป่อง ขณะเดียวกันในใจก็ค่อนข้างจะมั่นใจว่าน่าจะเป็นเจ้าประคุณสมเด็จเป็นแท้ เป็นแต่ว่าภาพที่เห็นในฝันนั้นเป็นภาพที่เจ้าประคุณมีความสมบูรณ์พร้อมก่อนที่จะอาพาธในครั้งสุดท้าย

เพราะเท่าที่เคยได้ยินมานั้นการได้พบหรือการเห็นนิมิตหรือการปรากฏในความฝันของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะมีลักษณะสามประการไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือ มีรูปร่างที่สมบูรณ์เหมือนเมื่อครั้งที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดหรือมากกว่านั้นอย่างหนึ่ง มีรูปร่างเหมือนกับยามสิ้นลมอย่างหนึ่ง และมีรูปร่างที่อัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่ายามมีชีวิตอยู่อีกอย่างหนึ่ง ขึ้นอยู่กับผลบุญกุศลและผลกรรมที่ทำมาในขณะมีชีวิต

มาภายหลังจึงได้ทราบว่ารูปหล่อเจ้าประคุณสมเด็จอันสถิต ณ วิหารสมเด็จวัดระฆังนั้นเป็นรูปจำลองของเจ้าประคุณในเวลาบั้นปลายใกล้จะดับขันธ์แล้ว ณ เวลานั้นเจ้าประคุณอาพาธหนัก มีอาการมาก ผอมซูบจนเห็นซี่โครงได้ชัดเจน แต่บริเวณส่วนท้องกลับป่องมาก เพราะเหตุนี้จึงต่างกับพระภิกษุชราที่ปรากฏในฝันคืนนั้นราวกับว่าเป็นคนละคน.
กำลังโหลดความคิดเห็น