xs
xsm
sm
md
lg

จดหมายถึงอดีตนายกรัฐมนตรีเรื่องอย่าบิดเบือนประชาธิปไตย

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

28 กุมภาพันธ์ 2549

กราบเรียน ฯพณฯ อดีตนายกรัฐมนตรี
ใครเลยจะนึกว่า ผมเขียนถึงท่านนายกรัฐมนตรียังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ดี ท่านก็กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว สมกับที่ลอร์ดวิลสัน อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษท่านว่า “หนึ่งสัปดาห์เป็นเวลาที่ยาวนานในการเมือง”

เวลาที่สัจธรรมแห่งชีวิตมาเคาะประตูเรียกหา ท่านทราบไหมว่าท่านเหล่านี้คิดอะไร คือ ฮิตเลอร์ มุสโซลินี มาร์กอส ซูฮาร์โต และ 2 จอมพลผู้นิราศของไทย ได้แก่ จอมพลถนอม และจอมพลประภาส ผมเดาว่า ทุกท่านคงอยากให้วันวานหวนกลับมา เพื่อจะได้มีโอกาสทำความดี

ความผิดของท่านเหล่านี้ ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้แล้วต่างๆ แต่ความผิดเหมือนๆ กันที่มักจะไม่มีใครกล่าวถึง ก็คือท่านเหล่านี้พากันบิดเบือนประชาธิปไตย อาศัยสัญลักษณ์ประชาธิปไตย เอาความเป็นเผด็จการมาใช้ ด้วยการขอประชามติจากประชาชนบ้าง เลือกตั้งบ้าง หรือขออนุมัติจากสภาบ้าง พร้อมทั้งใช้การโฆษณาชวนเชื่อผิดๆ ตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีมาร์กอสขอประชามติต่อและเพิ่มอำนาจให้ตนเอง ฮิตเลอร์ขออำนาจโดยสภาผ่านกฎหมายพิเศษให้เป็นต้น

ศาสตราจารย์ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เคยดักคอนักกฎหมายชั้นสูงของรัฐบาลที่จะนำกลอุบายของฮิตเลอร์มาใช้ ส่วนนักวิชาการที่เชี่ยวชาญเรื่องฟิลิปปินส์ก็ให้ความเห็นเช่นเดียวกันว่า หากไม่มีปรากฏการณ์สนธิขับไล่นายกรัฐมนตรี มิใช่จะเป็นไปไม่ได้ที่นายกรัฐมนตรีจะไต่บันได 3 ขั้นขอประชามติเมื่อนายกฯ ได้รับความนิยมสูงสุดจากประชาชน

ผมขอย้ำว่านั่นเป็นการเดา และเป็นเรื่องอดีตที่คงจะไม่มีทางหวนกลับมา แต่ผมว่า อนาคตของท่านอดีตนายกฯ ยังดีกว่าทุกๆ คนที่กล่าวมา ข้อสำคัญตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอท่านและบริวารอย่าพากันบิดเบือนประชาธิปไตย ต่อเมื่อเมืองไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงเท่านั้น ท่านจึงจะมีโอกาสกลับมาสู่วงการเมืองได้ หรือไม่ก็อยู่ในเมืองไทยอย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้ความคุ้มครองของรัฐธรรมนูญเหมือนกับคนไทยทุกคน

อย่างไรจึงเรียกว่าการบิดเบือนประชาธิปไตย ยกตัวอย่างในบ้านเราก็คือ การใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องและขั้นตอนตามกฎหมาย (due process of law) เช่น การสังหารผู้ต้องสงสัยยาเสพติด และผู้ต้องสงสัยในภาคใต้ การครอบงำองค์กรอิสระ การงดเว้นไม่ขออนุมัติสภาในเรื่องที่รัฐธรรมนูญระบุให้สภาอนุมัติ ฯลฯ นอกจากนั้นคือการครอบงำสิทธิเสรีภาพของสื่อ ตลอดจนการใช้กระบอกเสียงของรัฐบาลทำการ “โกหก ปกปิด บิดเบือน” ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ประชาชนพึงทราบ
ภายหลังการประกาศยุบสภา ได้มีการบิดเบือนสำคัญ 2 ประการ คือ การเผยแพร่ความคิดที่ผิดว่าสิ่งที่เป็นประชาธิปไตยไม่เป็นประชาธิปไตยกับสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยว่าเป็นประชาธิปไตย

ผมขอยกตัวอย่างที่รัฐบาลบิดเบือนประชาธิปไตย ใน 6 ประเด็น ดังต่อไปนี้
1. การยุบสภาเป็นประชาธิปไตยเพราะเป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน
การยุบสภาเป็นสิทธิอย่างหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีจะกระทำได้ แต่จะถูกหรือผิดขึ้นกับเงื่อนเวลาและเงื่อนไขที่ยุบสภา ถ้าหากว่าไม่มีเงื่อนไข เช่น เรื่องกฎหมายไม่ผ่าน รัฐบาลขัดแย้งกับสภา พรรคการเมืองในสภาทะเลาะเบาะแว้งต่อสู้กัน และรัฐบาลคุมไม่อยู่ การยุบสภาก็ขาดน้ำหนักและขาดความชอบธรรม การยุบสภาครั้งนี้ รัฐบาลอ้างว่าเป็นเพราะเหตุมีการชุมนุมขับไล่นายกฯ นอกสภา ซึ่งมิใช่เหตุที่จะยุบสภาได้ แต่สืบเนื่องมาจากนายกฯไม่ตอบคำถามเรื่องคอร์รัปชัน เรื่องทำลายสิทธิเสรีภาพของสื่อ เรื่องลบหลู่พระมหากษัตริย์ ฯลฯ นายกฯ ชอบที่จะตอบคำถามเหล่านี้ แต่ชิงไปยุบสภาทำร้าย ส.ส.ซึ่งมิได้กระทำผิดใดๆ เลย เป็นการเอาตัวรอดแต่ผู้เดียวแบบสิ้นไร้หิริโอตตัปปะ การกลับจะไปวางจุดหนักที่การเลือกตั้งด้วยการถามประชาชนว่าจะเอาใคร ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน เป็นการถามนอกประเด็น เพราะประเด็นคือปัญหาของ Civil Society หรือประชาสังคมที่ไม่ยอมรับความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี ปัญหานี้จะถูกกลบเกลื่อนด้วยการเลือกตั้ง นายกฯ ก็จะฉวยโอกาสไม่ตอบ ซึ่งประชาสังคมก็จะไม่ยอม จะเป็นเหตุให้มีการชุมนุมประท้วงต่อไม่มีที่สิ้นสุดทั้งในและนอกประเทศ โดยองค์ประกอบที่แข็งขันทางการเมืองและมีข้อมูลมัดท่านอดีตนายกฯ เพิ่มขึ้น การประท้วงจะยกระดับสูงขึ้นจนกระทั่งถึงการหยุดงานทั่วไป เป็นเหตุให้ไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งได้ นี่ยังไม่กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ศาลปกครองจะสั่งว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ มิให้เลือก

การคืนอำนาจให้กับประชาชน รัฐบาลอ้างว่าการเลือกตั้งคือการคืนอำนาจให้กับประชาชน แท้ที่จริงคำว่าคืนอำนาจให้กับประชาชนเป็นวาทกรรมถ่อยทางการเมืองของอำนาจนิยมและสมุนที่ไม่เข้าใจทฤษฎีตัวแทนในระบอบประชาธิปไตย (Theory of Representation) ซึ่งถือว่าอำนาจอธิปไตยทั้งหมดเป็นของประชาชนและอยู่ที่ประชาชน ประชาชนมอบหมายอำนาจอันจำกัดบางอย่างให้รัฐบาลนำไปบริหารเท่านั้น รัฐบาลจะต้องจำกัดอยู่ที่อำนาจที่ได้รับมอบหมายจะกระทำเกินไปมิได้ เมื่อใดรัฐบาลทำเกินหรือเจ้าของอำนาจคือประชาชนขาดความไว้วางใจ ประชาชนมีสิทธิเรียกอำนาจทั้งหมดที่มอบให้ไปกลับคืนมา อย่างที่ประชาชนหลายหมู่เหล่าที่เรียกว่าพันธมิตรประชาธิปไตยกำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ด้วยการเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก

2. การคว่ำบาตรการเลือกตั้งของฝ่ายค้านไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่จริง การคว่ำบาตรการเลือกตั้งเป็นสิทธิและขบวนการต่อรองอันชอบธรรมอย่างหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย และได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีพรรคการเมืองหลายประเทศที่คว่ำบาตรการเลือกตั้ง รวมทั้งพรรคการเมืองสำคัญของอังกฤษในไอร์แลนด์เหนือเมื่อปี 1995 วัตถุประสงค์ของการเลือกตั้งทั่วไปก็คือการจัดให้มีรัฐบาลบริหารประเทศ ด้วยการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม คะแนนเสียงที่ลงมีผลแน่นอน ถูกต้อง ทั่วถึงและคุ้มครองถึงชนกลุ่มน้อยด้วย หากการเลือกตั้งใดบิดเบือนไปจากนี้ การคว่ำบาตรก็เป็นสิ่งถูกต้อง ยิ่งการเลือกตั้งทั่วไปเป็นเรื่องเฉพาะกิจอย่างที่รัฐบาลประกาศก็ยิ่งจะต้องคว่ำบาตร การเมืองไทยจะพัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่ง

3. การชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกเป็นกฎหมู่ ไม่เป็นประชาธิปไตย
คำจำกัดความที่ถูกต้องของกฎหมู่ก็คือ คนหมู่มากที่มีกำลังเหนือกว่าใช้กำลังบีบบังคับคนหมู่น้อยที่กำลังด้อยกว่า การชุมนุมเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกเป็นสิทธิในระบอบประชาธิปไตยที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองเช่นกัน ในประเทศฟิลิปปินส์ ประธานาธิบดีมาร์กอสได้รับเลือกตั้งโดยตรงโดยคะแนนล้นหลาม ได้รับประชามติให้ต่อเวลาและเพิ่มอำนาจจากประชาชนโดยการลงคะแนนแบบประชาธิปไตย แต่นางอกิโนและขบวนการคนเสื้อเหลืองก็เดินขบวนจนมาร์กอส ยอมลาออกไปพำนักต่างประเทศ เพราะใจไม่แข็งพอที่จะยิงประชาชน ขณะนี้อดีตประธานาธิบดีอกิโนกลับมาเดินขบวนขับไล่ประธานาธิบดีอาโรโยอีกด้วยข้อกล่าวหาคอร์รัปชันที่ตรวจสอบมิได้ ไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าอดีตประธานาธิบดีอกีโนใช้กฎหมู่และไม่เป็นประชาธิปไตย ความจริงของไทยเราจะแจ้งและสวยงามกว่าเสียด้วยซ้ำ

4. ประชาธิปไตยอยู่ที่การเลือกตั้งและการปฏิบัติงานในรัฐสภาเท่านั้น ไม่ถูก
ประชาธิปไตยต้องอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน ในระบบราชการ ระบบเศรษฐกิจและการปกครอง สื่อที่มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ ประชาชนที่เคลื่อนไหวภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญอย่างเข้มแข็ง คือพลังอันแท้จริงของประชาธิปไตย ผู้รักประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องไปลงเลือกตั้งเพื่อพิสูจน์ความเก่งทุกคน เพราะสังคมต้องมีคนเก่งหลายๆ ทาง

5. การขัดขืนคำสั่งรัฐบาล (Civil Disobedience) การต่อต้านโดยสงบ (Passive Resistance) และการหยุดงานทั่วไป (General Strike) ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่จริง ทั้งหมดเป็นอาวุธของประชาธิปไตยทั้งสิ้น ข้อสำคัญต้องนำมาใช้ให้ถูกทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายคัดค้าน พระมหากษัตริย์อังกฤษนอกจากจะเคารพสิทธิการหยุดงานทั่วไปแล้ว ยังทรงเตือนรัฐบาลมิให้แสดงท่าทียั่วยุผู้ประท้วงด้วยซ้ำ (Rodney Brazier, Constitutional Practice, p. 183)

6. การพึ่งพระราชอำนาจตามหลักราชประชาสมาศัยเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขัดกับระบอบประชาธิปไตย ผมขอถามง่ายๆ ว่า ระหว่าง “ทักษิณสมาณัติ” คือการปฏิรูปแบบทักษิณกับ “ราชประชาสมาสัย” คือการปฏิรูปโดยปวงชนทุกหมู่เหล่ารวมทั้งทักษิณมีส่วนร่วมกับองค์พระมหากษัตริย์ที่ปวงชนเคารพบูชาและไว้ใจ อันไหนดีกว่ากัน ในหลวงองค์นี้ได้ทรงพิสูจน์พระปรีชาญาณและความเข้าพระทัยในระบอบประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง ไม่มีทางที่จะนำประเทศไปสู่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพียงแต่ขอให้มีการถวายคืนพระราชอำนาจทั้ง 3 ประเภทคือพระราชอำนาจทั่วไป พระราชอำนาจพิเศษ พระราชอำนาจสำรองที่สอดคล้องกับความเป็นจริงและทฤษฎีในประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งอำนาจเหล่านี้ได้ถูกเบียดบังไปโดยลัทธิพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองแต่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญของไทย ถ้าท่านอดีตนายกรัฐมนตรีมีความจริงใจและเต็มใจเพียงคนเดียวเท่านั้น การปฏิรูปแบบราชประชาสมาสัยก็จะเริ่มขึ้นได้ทันที ฟ้าจะสว่าง ประเทศชาติจะปลอดภัย และนานาประเทศก็จะสาธุการครับ บุคคลเพียงหนึ่งคนจะต้องสลัดอัตตาและตัวกูของกูเพื่อโอกาสทองของประเทศ

ท่านอดีตนายกฯ ครับ ดีร้อยครั้ง พลั้งไปนิด พาผิดหมด แต่กรณีของท่านนายกฯ นี้ผิดมาไม่รู้กี่ครั้ง ท่านก็โทษแต่คนอื่นเขาหมด ท่านพาคนมาเดือดร้อนทั้งประเทศมาลำบากเพียงเพื่อจะยืนยันความถูกต้องของท่าน ผมบอกแล้วมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น โปรดนำพระราชดำรัสมาใส่เกล้าเถิดว่า “ในเมืองไทยนี่ คนไหนที่ทำอะไรไม่ค่อยเข้าร่องเข้ารอยก็ลาออก ลาออกแล้วไม่มีอะไรผิดเลย”

เคยมีการวิจัยศึกษาสภาวะจิตของผู้ปกครองประเทศที่ถูกกระหน่ำตีจนตรอก มีประเภทหนึ่งที่น่าห่วงว่าจะก่อความเสียหายให้กับบ้านเมืองก็คือประเภทที่หัวชนฝายอมตาย เพื่อรักษาศักดิ์ศรีและปกปิดปมด้อยของตนเอง พวกนี้จะก่อเหตุเผาบ้านเผาเมืองเพื่อคลอกฝ่ายตรงกันข้ามให้วอดวายไปด้วย ผู้นำประเภทนี้ต้องการจิตแพทย์หรือไม่ก็หลวงพ่อผู้สอนธรรมะชี้บาปบุญคุณโทษ ผมเดาว่า ฯอดีตฯ คงไม่ต้องการทั้งสองอย่าง เพราะมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง กับทั้งเชื่อแน่ว่าอำนาจและเงินต่างหากที่เป็นยาสารพัดนึก

ฯอดีตฯ คงจำได้ดีเมื่อท่านหันหลังทิ้งพรรคพลังธรรมนั้น ท่านประกาศว่า การเมืองไทยต้องใช้เงินซื้อลูกเดียวเพราะคนไทยยังโง่ หากจะมัวรักษาจรรยาบรรณของพลังธรรมคือ “ไม่ซื้อ-ไม่ด่า” ไม่มีทางสำเร็จ ในที่สุดท่านก็สำเร็จ ใครก็ตามที่ใช้เงินเป็นตัวต่ออำนาจและอำนาจเป็นตัวต่อเงินก็จะถูกทั้งเงินทั้งอำนาจดูดเข้าไปอยู่ในวังวนหาทางออกมิได้ บุคคลที่แวดล้อมเป็นพรรคพวกบริวารก็มิรู้ได้ว่าใครมาด้วยใจ ใครมาด้วยเงิน เพราะสุภาษิตไทยก็มีอยู่ว่า “ชนะไหน เข้าด้วย ช่วยกระพือเหมือนกระสือ ฝูงห่าลงหากิน”

ฯอดีตฯ จะเหมือนผมหรือเปล่าหนอ ที่คิดถึงแม่ในเวลามีความทุกข์ “แม่ไทย” เป็นแม่ที่วิเศษที่สุดในโลก เป็นผู้รักษาและสร้างความแข็งแกร่งให้กับความเป็นไทยผ่านชีวิตของลูก ไม่ว่าพ่อนั้นจะเป็นใครเชื้อสายอะไร แม่ไทยจะสอนให้ลูกกตัญญูรู้คุณ รู้จักเมตตาปรานี ผ่อนสั้นผ่อนยาว ถ่อมตัวไม่มีอัตตาตัวกูของกู อะไรควรยอมก็ยอม เพื่อเห็นแก่ความสงบ “แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร” ฯลฯ

แม่เคยสอนไม่ให้ผมลืมตัวจนเหลิง โดยยกเอาร่ายที่แสนไพเราะในเวสสันดรชาดกมาท่องให้ฟัง จนกระทั่งผมจำบางตอนได้ขึ้นใจที่เป็นตัวเอน มีบางตอนที่ขาดหายไป อาจารย์ภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์คือ ดร.ปราณีกับศาสตราจารย์ประคอง กุลีกุจอช่วยเติมเต็มให้เมื่อทราบว่าผมจะนำมาเป็นของ (ปลอบ) ขวัญ ฯพณฯ อดีตนายกรัฐมนตรี ฟังนะครับ

“อนึ่งเล่า พระพุทธเจ้าข้า เสนาน้อยใหญ่ ยากที่จะครองใจที่ตรงจริง มีบุญ เขาจะวิ่งเข้ามาเป็นข้า พึ่งพระเดชเดชาให้ใช้สอย เฝ้าป้อยอสอพลอพลอยทุกเช้าค่ำ ยามเพลี่ยงพล้ำ เขาจะช่วยกันกระหน่ำซ้ำซ้อนซัก ดังราชหงส์ปีกหักตกปลักหนอง กาแกก็จะแซ่ซ้องเข้าสาวไส้

ท่องคาถาบทนี้และทำใจไว้ล่วงหน้าเถิดครับ เมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านต้องเว้นวรรคการเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้เจ็บปวดน้อยลง

ด้วยความปรารถนาดี
กำลังโหลดความคิดเห็น