xs
xsm
sm
md
lg

วันนี้เราเล่นการเมืองกันแบบหมาๆ วันหน้าเราจะเดินถนนได้อย่างไร

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

ผมจำเป็นที่จะต้องงัดเอาภาษาไทยเดิมของเรามาใช้อีกในข้อเขียนชิ้นนี้ของผม
นั่นคือคำว่า “หมา”หรือ หมาๆ

หลายสิบปีที่ผมได้เรียนภาษาไทยมาทั้งจากศาลาวัดและมหาวิทยาลัยใหญ่ เป็นสิบปีผมยังไม่พบคำไหนเลยที่จะมีความหมายลึกซึ้ง ถูกต้อง และสมบูรณ์ตั้งแต่หัวถึงตีน และถึงวิญญาณของสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะจัดเจนเท่านี้ หรือถ้าจะหาความชั่วที่ชั่วถึงที่สุดก็
คือคำว่า “หมา” คำนี้

มันเรียบง่ายเป็นธรรมดาสามัญ เมื่อพูดออกมาแล้วไม่ต้องมีคำอธิบาย คำว่าหมาจะบอกทุกอย่างถึงกระดูก และสันดานของสัตว์ที่เราจะพูดถึง

อาจจะไม่ถูกหูไม่ถูกใจของพวกผู้ดีไทยที่รังเกียจรังงอนภาษาดั้งเดิมของเราอยู่บ้างเล็กน้อย ผมก็ต้องขออภัยเป็นอย่างมากที่ต้องนำมาใช้

คำว่าหมาที่ผมนำมาใช้ในวันนี้ และในบทความนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรอื่นนอกจากเรื่องของการเมือง เฉพาะการเมืองของไทยในขณะนี้และเวลานี้เป็นการเมืองของหมาและเล่นกันอย่างหมา จะไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ความมีศีลธรรมใดๆ ทั้งสิ้น

ทั้งตัวเมียและตัวผู้หมาทั้งนั้น!!

ทั้งที่ถูกซื้อถูกขายทุกอย่างตั้งแต่ขนหน้าแข้งขึ้นไปที่มันนั่งเลียนั่งล้อมอยู่กับมันด้วยความสกปรก และเลวทรามอย่างยิ่ง

ซึ่งผมถือว่าเป็นการเมืองที่เลวที่สุด และระยำหมาที่สุดที่คนไทยเคยนำมาเล่นกัน

เรื่องหมาๆ ที่ว่านี้ความจริงมันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ต้องเอามาเล่นกันเป็นงานระดับชาติ เพราะมันไม่มีอะไรมากมาย ต้นตอของเรื่องนั้นอาจจะมีคนยืนยันว่ามันเกิดขึ้นมาจากการอิจฉาริษยาระหว่างคนต่อคนหรือระหว่างพวกต่อพวก ระหว่างกลุ่มต่อกลุ่มที่สุมหัวหากินร่วมกันอยู่ ซึ่งก็ไม่มีใครออกมาเผชิญหน้ากัน พูดกันให้มันแจ่มแจ้งชัดเจนไปให้หมดทุกอย่าง

และคนที่จะบอกความจริงได้อย่างชัดเจนและสวยบริสุทธิ์ก็คือคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ฝ่ายหนึ่งและอีกฝ่ายหนึ่งก็คือนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร สองคนเท่านั้น

ครั้งหนึ่งดูเหมือนจะมีความเดือดดาลอย่างมากมายจากนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับระเบิดออกมาว่าที่เรื่องมันเกิดขึ้นนี้เพราะมีคนต้องการผลประโยชน์จากการมีอำนาจของท่าน แต่ท่านไม่ให้ก็ออกมาเป็นศัตรูอะไรทำนองนั้น และอยากให้มาพูดกันให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไปเลย แต่ให้มาอย่างคนอย่ามาอย่างเสือ ในทันทีที่ได้ยินคำบอกกล่าวนี้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ประกาศโครมออกมาว่าพร้อมที่จะพบทันที แต่จะต้องพบกันในรายการโทรทัศน์ให้คนดูได้ดูได้ฟังกันทั่วประเทศ จะไม่ยอมพบลับๆ เพียงสองต่อสองที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น เพราะเดี๋ยวจะไปบิดเบือนว่าคุณสนธิจะไปรีดไปไถหรือขอความช่วยเหลือเรียกร้องอะไรอีก แต่เมื่อเจอเข้าไม้นั้นท่านนายกรัฐมนตรีก็ไม่ยอมพูดถึงอีกว่าจะต้องการพบ นอกจากหาโอกาสด่าไปเรื่อยๆ

นั่นเป็นธรรมชาติอันยั่งยืนประการหนึ่งของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีไทย

แล้วก็เปลี่ยนเรื่องมาเป็นเรื่องใหม่ วิธีการใหม่จากการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ ท่านเปลี่ยนนิยายใหม่ว่า

“ที่ผมโดนรุมหนัก ข่าวสารที่ออกมาถูกบิดเบือน เพราะสื่อมวลชน และผู้ที่ต่อต้านมีความไม่พอใจส่วนตัว เพราะคิดว่าผมอยู่เบื้องหลังนายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ผู้บริหารแกรมมี่ที่เข้ามาซื้อหุ้นหนังสือพิมพ์ “มติชน” ส่วนหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ก็ไม่พอใจที่ไปฟ้องการลงข่าวผิดเรื่องรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนหนังสือพิมพ์ “แนวหน้า” มีปัญหาที่นายประสงค์ สุ่นศิริ ถูกปรับออกจากกระทรวงการต่างประเทศโดยที่ผมเข้ามาเป็นแทน ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็โกรธแค้นที่มีการสั่งปลดนายวิโรจน์ นวลแข ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และไม่ได้สัมปทานสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 นิวส์วัน (สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไทยรัฐ : 25 กุมภาพันธ์ 2549 น. 15)

นี่แหละคือตัวอย่างที่ชัดของการเมือง “หมาๆ” ของเมืองไทย

มันจะเปลี่ยนแปลงและเป็นไปได้ทุกอย่าง ไม่ต้องคำนึงถึงความน่าละอายหรือความถูกต้อง อะไรก็ตามที่มันจะทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองหรือมีราคาขึ้นเพื่อนำผลได้มาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ มันทำกันทั้งนั้น

ทุกวันนี้ใครๆ ที่ยังเป็นผู้เป็นคนไม่ได้เป็นอ้ายมนุษย์หมาๆ อย่างที่เข้าใจกัน ทุกคนจะรวมหัวกันเข้ามาเป็นศัตรูกับนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว และเพียงแต่มีคนไปประกาศว่าคุณสนธิจะกระชากหน้ากากโสโครกของใครออกมาดูกันเล่น คนก็แห่ไปฟังเป็นแสน

มันจะไม่มีอะไรสกปรกโสโครกที่จะดึงคนให้ไปรู้ไปเห็นมันเลยเชียวหรือ?

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกและเป็นเทวดาอยู่คนเดียว โดยทุกคนชั่วร้ายอิจฉาหมด ทั้งๆ ที่เขาก็ปล่อยให้เอาชาติไปขายกินฉิบหายวายวอดไปเกือบหมดแล้ว ทุกคนได้รู้ได้เห็นกันชัดๆ หลังจากติดตามการกระทำแบบ “หมาๆ” มาทุกเรื่องตั้งแต่การเอา “ขี้” ไปขว้างสำนักงาน “ผู้จัดการ” รวมถึงการเกณฑ์เจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ 2,000 คนไปฝึกที่เขาใหญ่โดยใช้เงินหลวงเป็นค่าใช้จ่ายไปมากถึง 16 ล้านบาท รวมถึงคนงานพม่าเป็นพันๆ คนมาคอยก่อการร้ายประชาชนที่ห่วงบ้านห่วงเมือง จนกระทั่งถึงการระเบิดที่อยู่ของพระอึกทึกครึกโครมที่ยังหาคนผิดไม่ได้เพราะไปเกณฑ์มันมาข่มขวัญผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพวกขายชาติ

มันหมาชัดๆ ไม่มีอะไรอื่น

และเป็นหมาที่น่าเตะสถานเดียวท่านั้น

เมื่อผมเอ่ยถึงเรื่องการเตะขึ้นมา มีนักเตะชั้นดีคนหนึ่งพูดสอดขึ้นมาว่า “ช่วยบันทึกด้วยว่าอ้ายหมอนี่มันมีเรื่องที่น่าเตะอยู่อย่างหนึ่ง ผมให้อภัยมันไม่ได้”

“เรื่องอะไร”

“มันบังอาจจาบจ้วงและตีเสมอพระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวของผม”

“มันทำยังไง”

“มันบังอาจดึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงมาเป็นเพื่อนเล่นของมัน” เขาพูดอย่างรวดเร็วและด้วยอารมณ์ “มันบอกว่าให้ในหลวงมากระซิบที่ข้างหูมันบอกให้มันออกจากนายกฯ แล้วมันจะออก”

ผมไม่ออกความเห็น

“ผมต้องเตะปากมันให้ได้สักวันหนึ่งถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวไม่ใช่เพื่อนเล่นของมัน มันจะดึงลงมาให้เสมอความเป็นหมาของมันไม่ได้”

นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นคนไทยทั่วไปจะต้องเข้าใจ และรู้สึกผิดชอบว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่

คำว่าพระบรมราชโองการกับการมากระซิบที่ข้างหูมันมีความหมายแตกต่างกันอย่างฟ้ากับดิน มันปล้นชาติขายชาติปล่อยมันไป ผมไม่ว่าอะไร แต่ที่มันถือว่าในหลวงเป็นเพื่อนมัน มีหน้าที่คอยกระซิบบอกมัน อันนี้ต้องเตะ ทำอย่างอื่นไม่ได้

เมื่อคืนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คุณสนธิ ลิ้มทองกุลไปเปิดปราศรัยที่จังหวัดพิจิตร ปรากฏว่าไม่สามารถจะปราศรัยได้หรือไม่มีที่ปราศรัย เพราะสถานที่ราชการนับเป็นสิบๆ แห่งถูกเจ้าหน้าที่ทางการห้ามหมดไม่ให้ใช้สถานที่ จนกระทั่งวาระสุดท้ายไปได้สหกรณ์แห่งหนึ่งห่างไปหลายกิโลเมตรพอมีโอกาสปราศรัยได้

ในขณะที่ปราศรัยนั้นปรากฏว่ามีนักเลงกำยำล่ำสันรายหนึ่งไปอาละวาดไม่ให้พูด พยายามประกาศยกย่องนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องใหญ่ มีข่าวเพิ่มเติมว่าคนฟังเป็นหมื่นๆ ตีนที่นั่นจะรุมกระทืบเอาถ้าตำรวจไม่รีบไปเอาตัวมาเสียก่อน

นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของการต่อสู้คัดค้านของรัฐบาลและประชาธิปไตย 19 ล้านเสียงที่เราได้มา
ความจริงเรื่องที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลเอามาพูด เป็นเรื่องความถูกต้องที่จะทำหรือไม่ทำแก่บ้านแก่เมืองหรือแก่ประชาชน ไม่ว่าการพูดนั้น คุณสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นคนดีหรือคนเลว

มันเรื่องของระบอบประชาธิปไตย

แต่รัฐบาลไทยและสมุนบริวารพวกปลาไหลร้อยแปดพันชนิดต่างๆ ตามกระทรวงทบวงกรมไม่เคยรู้จัก แต่ “กูจะทำตามใจกู”

ทุกระดับจะทำทุกอย่างเพื่อค้ำจุนรัฐบาลอย่างเดียวเท่านั้น

แม้แต่บุคคลสำคัญในคณะรัฐบาล ที่อาจจะคิดไปว่าการเป็นรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรนั้นจะเป็นอมตะ จะอยู่เพื่อขายชาติกันได้ชั่วนิรันดร์ คนพวกนี้ก็จะมีบทบาทที่น่าอิจฉาด้วยกันทั้งสิ้น

เราจะเห็นว่าความขัดแย้งซึ่งเป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่มีความสำคัญแก่ ชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วประเทศอย่างนี้ รัฐบาลไทยจะไม่ยอมให้มีการชุมนุมบอกกล่าวของประชาชน ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องเลียกันหรือไม่เลียก็แล้วแต่ใครจะศรัทธาอย่างไรก็ขอให้ดูพฤติการณ์กันก็จะสามารถบอกได้ว่า อะไรที่หมาๆ หรือไม่หมาอย่างที่ผมว่าไม่เพียงแต่คนเมาหรือความเมาเท่านั้น แต่ทุกอย่างจะทำทั้งนั้น

“ล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า นายอดิศัย โภคกุลานนท์ ส.ส.อุบลราชธานี พรรคไทยรักไทย เดินทางมาพบและแจ้งให้ทราบว่ามีประชาชนจังหวัดอุบลราชธานีพรรคไทยรักไทยเดินทางมาพบ และแจ้งให้ทราบว่ามีประชาชนจังหวัดอุบลราชธานีจำนวนหนึ่งถูกชักชวนให้เข้ามากรุงเทพฯ เพื่อสนับสนุนนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่าไปๆ มาๆ จะไปอยู่ฝ่ายต่อต้านนายกฯ จึงพากันกลับ”(“ทยรัฐ”หน้าเดียวกัน)

นั่นก็เป็นวิธีการสอพลอและเลียขนาดสมบูรณ์วิธีหนึ่งที่ทำโดยนักการเมืองและผู้มีอำนาจในประเทศไทย ซึ่งยืนยันว่าเราเป็นประเทศกระฉ่อนไปด้วยการประจบสอพลอและการคอร์รัปชัน

ซึ่งเป็นวิธีการแบบหมาๆ อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งหลังจากการกระทำที่เป็นเรื่องเป็นราวที่ประชาชนเข้าใจมาแล้วว่าการเผชิญหน้าหรือการสู้กันทางการเมืองระหว่างคนไทยด้วยกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายที่มีอำนาจเงินทั้งเงินหลวงและเงินประชาชน กับประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีเพียงสิ่งเดียวที่ติดตัวมาคือ “ตีน” หรือเท้าธรรมดาสำหรับเดินได้เท่านั้น แต่ความเป็นสัตว์โลกประเภทเดียวกัน ความจริงใจ และความเป็นคนมันแตกต่างกันคนละขั้น

ปัญหาที่เราจะต้องพูดกันก็คือว่า ทำไมจึงได้มีความขัดแย้งทางการเมืองกันขึ้น ที่ได้กล่าวมาแล้วว่าไม่น่าจะมีข้อขัดแย้งอะไรมากมายที่จะต้องนำมากล่าวหาหรือตำหนิติติงกัน จนกระทั่งเป็นเรื่องบานปลายไปจนเป็นสงครามทางความคิดที่ไม่มีทางที่จะยุติได้

คำตอบง่ายๆ และสั้นๆ ก็คือ

ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ การปกครองของประเทศไทยเป็นการปกครองมุ่งหาประโยชนให้แก่ตัวบุคคล เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีอำนาจในการบริหารและการปกครอง ในระยะที่ความยากจนแผ่ซ่านไปทั่วทุกเสี้ยวของแผ่นดิน ผู้ปกครองประเทศสามารถจะหาเงินและทำงานให้แก่ตัวเอง และครอบครัวได้เป็นแสนๆ ล้าน พร้อมทั้งญาติมิตรบริวารและครอบครัว ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าตลอดเวลาที่เงินเหล่านี้ไหลเข้าพกเข้าห่อของผู้มีอำนาจ ที่เกิดจากกิจกรรมประการเดียวที่เกิดขึ้นในรัฐบาลปัจจุบันนี้คือการคอร์รัปชันทุกด้านทุกจุด แม้แต่การขายประเทศชาติ ขายสิทธิ และความเป็นไทยให้แก่ต่างชาติ เฉพาะอย่างยิ่งการขายดาวเทียมของไทยให้แก่สิงคโปร์ ขายบริษัทการบินให้มาเลเซีย และสิงคโปร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ในทางการเมือง มีความเลวร้ายที่น่าอัปยศอดสูอีกประการหนึ่งคือการโกหกพกลม การตระบัดสัตย์ของผู้นำพรรคการเมืองและนักการเมืองกะล่อนหน้าด้าน และสามารถจะพูดพล่อยๆ ออกมาได้ทุกชั่วโมงและทำตรงข้ามทุกเรื่อง (ดูรายละเอียดเรื่องต่างๆ ของการตระบัดสัตย์ของนายกรัฐมนตรีในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549 หน้า 12)

ทุกอย่างทำได้แต่พูดคุย แต่ไม่สามารถที่จะทำให้เป็นความจริง และเป็นสัจจะขึ้นมาได้ ทุกเรื่องที่พูดออกมาเป็นเรื่องโกหกมดเท็จและซ่อนเงื่อนซ่อนคมทั้งสิ้น

เฉพาะอย่างยิ่งความไม่มีสมรรถภาพในการบริหาร และการปกครองที่จะต้องทำให้เสียแผ่นดิน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้ทดลองทำเล่นกันมาเป็นเวลานานจะครึ่ง ปีมาแล้ว มันพิสูจน์ชัดเจนให้เห็นว่ารัฐบาลนั้นไม่มีสติปัญญาอะไรเลยนอกจากขี้กับไส้ และห่วยมหาห่วย

ถ้ายังเล่นการเมืองแบบหมาๆ อย่างนี้ ยังไม่รู้ว่าเราจะเดินถนนได้อย่างไร เพราะเราจะต้องอายอย่างแรกก็คือ หมา ที่ว่านั่นเอง!!
กำลังโหลดความคิดเห็น