xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 8 น้ำมนต์สมเด็จโต

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม


น้ำมนต์ในโอ่งนั้นเป็นน้ำมนต์ที่สืบทอดต่อเนื่องมาจากเชื้อน้ำมนต์ที่ทำขึ้นตั้งแต่ครั้งเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ยังมีชีวิตอยู่ ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่เจ้าประคุณสมเด็จยังมีชีวิตอยู่นั้นได้ตั้งบาตรน้ำมนต์ไว้ที่หน้าพระเป็นประจำ ดังนั้นพลังอำนาจจิตในขณะที่เจ้าประคุณสมเด็จแผ่พลังจิตหลังจากการทำสมาธิหรือการสวดมนต์ไหว้พระประจำวัน หรือแม้ในการปลุกเสกพระสมเด็จ จึงแผ่ไปถึงน้ำมนต์ในบาตรนั้นด้วย

ผู้คนในยุคนั้นเจ็บไข้ได้ป่วยหรือต้องการขอความเป็นสิริมงคลประการใด ก็ได้อาศัยน้ำมนต์ดังกล่าวนี้เป็นที่พึ่งตลอดมา จึงอาจกล่าวได้ว่าต้นเชื้อน้ำมนต์นี้ได้รับการปลุกเสก ได้รับการแผ่พลังอำนาจจิตและได้ประสิทธิ์ประศาสน์แก่บรรดาผู้เลื่อมใสศรัทธาต่อเนื่องมาเป็นเวลาช้านาน จึงถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งประจำวัดระฆังโฆสิตรามที่ตกทอดต่อเนื่องมาตั้งแต่ครั้งกระโน้น

บาตรน้ำมนต์บาตรเดียวแต่ไม่รู้จักหมดสิ้นก็เพราะว่าเมื่อน้ำมนต์ในบาตรนั้นพร่องลงแล้วก็จะมีการเติมน้ำใหม่ลงไปแล้วกลายเป็นน้ำมนต์ดังเดิม สืบทอดต่อเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้

ครั้นเจ้าประคุณสมเด็จสิ้นบุญแล้วก็มีการเปลี่ยนบาตรน้ำมนต์มาเป็นโอ่งน้ำมนต์ เพราะมีผู้คนเลื่อมใสศรัทธาและมาขอรับน้ำมนต์กันไม่ขาดสาย ขนาดของบาตรที่ใส่น้ำมนต์เมื่อเทียบกับความต้องการน้ำมนต์แล้วไกลกันนัก จึงต้องเปลี่ยนเป็นโอ่งน้ำมนต์แทน

ต่อมาเมื่อมีการหล่อรูปเจ้าประคุณสมเด็จสถิตประจำในวิหารสมเด็จแล้วก็มีการนำโอ่งน้ำมนต์นี้มาตั้งประจำไว้ในวิหารสมเด็จ ตรงและเฉพาะหน้ารูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ซึ่งในแต่ละวันก็มีผู้คนไปรดน้ำมนต์และรับน้ำมนต์จากโอ่งน้ำมนต์นี้เป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งในทุกวันนี้ความศรัทธาประสาทะและความเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์สมเด็จก็ยังมั่นคงยืนยงสถาพรอยู่นั่นเอง

ยกเว้นก็แต่เทศกาลสงกรานต์ซึ่งมีผู้คนจากทุกทิศานุทิศมาทำบุญสรงน้ำพระตามประเพณีเป็นจำนวนมาก พื้นที่ในวิหารสมเด็จจึงคับแคบไป ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการทำบุญสงกรานต์ให้เป็นไปอย่างทั่วถึง ทางกรรมการวัดก็จะเชิญรูปหล่อของสมเด็จทั้งสามองค์ออกมาตั้งหน้าพระอุโบสถ และนำโอ่งน้ำมนต์ดังกล่าวออกมาตั้งไว้ตรงหน้าเจ้าประคุณสมเด็จเหมือนกับตำแหน่งที่ตั้งในวิหารสมเด็จนั้น

มีความเชื่อมาแต่โบราณกาลว่าน้ำมนต์ที่สืบเชื้อสายต่อเนื่องมาเช่นนี้ยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์และคุณภาพของความศักดิ์สิทธิ์ดุจดังเดิมทุกประการ และเพราะเหตุที่น้ำมนต์สมเด็จนี้มีต้นเชื้อมาจากพลังอำนาจจิตโดยตรงตลอดระยะเวลาอันยาวนานของอายุกาลเจ้าประคุณ ความเข้มข้นของพลังจิตจึงอาจจะมากกว่าพระสมเด็จด้วยซ้ำไป

เพราะพระสมเด็จที่เจ้าประคุณสมเด็จสร้างขึ้นนั้นแม้เจ้าประคุณสมเด็จจะปลุกเสกด้วยตนเอง แต่ก็เป็นเฉพาะครั้งเฉพาะคราว การปลุกเสกจะต่อเนื่องอย่างมากก็แค่ช่วงเข้าพรรษาหรือกว่านั้นก็ไม่มากนัก ต่างกับน้ำมนต์ในบาตรหน้าพระซึ่งได้รับการปลุกเสก ได้รับการแผ่พลังจิตโดยตรงจากเจ้าประคุณตลอดอายุกาล จนกระทั่งเจ้าประคุณล่วงลับดับขันธ์

ตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมามีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับปาฏิหาริย์และความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์สมเด็จมากมายสุดที่จะพรรณนา ดังตัวอย่างเช่นสมัยหนึ่งบังเกิดอหิวาตกโรค ผู้คนล้มตายลงเป็นเบือถึงขนาดเผาไม่ทัน ต้องเอาศพไปทิ้งร้างไว้ตามวัด แต่สำหรับชาวบ้านข้างวัดระฆังส่วนใหญ่กลับรอดปลอดภัยก็เพราะได้อาศัยน้ำมนต์สมเด็จแทนวัคซีนป้องกันอหิวาต์ หรือรักษาโรคอหิวาต์โดยตรง

หลายเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวบ้านถูกมนต์ดำ คุณไสย จนประสบเหตุเภทภัยไม่อาจแก้ไขได้ด้วยกำลังตน ก็ได้อาศัยความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์สมเด็จนี้ช่วยคลี่คลาย

หลายเรื่องเป็นเรื่องความป่วยไข้ด้วยโรคภัยสารพัด โรคภัยนั้นได้ถูกขจัดให้หายไปได้ก็ด้วยน้ำมนต์เจ้าประคุณสมเด็จนี้

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการมาขอน้ำมนต์หรือการรดน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลในงานขึ้นบ้านใหม่ ในงานมงคลสมรส หรืองานประดับยศตำแหน่ง แม้กระทั่งใช้น้ำมนต์เป็นเครื่องป้องกันภูตผีปีศาจและวินาศต่างๆ ซึ่งมีมาเป็นประจำ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

มีผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าเศษทองเปลวที่มีผู้นำไปปิดรูปหล่อสมเด็จนั้นไม่ว่าที่ตกหล่นอยู่กับพื้นก็ดีหรือไม่ว่าที่ยังติดอยู่กับองค์พระก็ดีมีความศักดิ์สิทธิ์ในทางเมตตามหานิยมยิ่งนัก ว่ากันว่ามีอานุภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าการลงนะหน้าทองแต่ประการใด เพราะเหตุนี้บรรดาอาจารย์ทางไสยเวทย์ไม่น้อยจึงกำหนดทองเปลวสำหรับลงนะหน้าทองว่าต้องไปขอรับจากวัดระฆัง ซึ่งก็คือขอรับทองเปลวที่ตกหล่นหรือที่ติดอยู่กับรูปหล่อสมเด็จนั่นเองเพื่อมาใช้ทำพิธีลงนะหน้าทอง ซึ่งเชื่อว่าจะยิ่งเพิ่มพูนอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าการลงนะหน้าทองด้วยแผ่นทองเปลวธรรมดา

ดังนั้นท่านผู้ใดไปสักการะเจ้าประคุณสมเด็จที่วิหารสมเด็จวัดระฆังแล้ว หากเห็นใครมีแผ่นทองเปลวหรือเศษแผ่นทองเปลวติดอยู่ที่หน้าผากเดินออกมาจากวิหารนั้นก็พึงรู้เถิดว่านั่นเป็นการขอรับความสิริมงคลจากเจ้าประคุณสมเด็จเพื่อความเมตตามหานิยม หรือเพื่อความเป็นสิริมงคล หรือเพื่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานทั้งสิ้น

พ่อทำตัวเป็นพ่อหมอ ตักน้ำมนต์จากโอ่งน้ำมนต์นั้นมารดน้ำมนต์ให้ผมและลูกผู้น้อง แล้วก็บอกให้ดื่มกินเพื่อความเป็นสิริมงคล เสร็จแล้วจึงกราบลาสมเด็จ แล้วออกเดินทางกลับไปวัดอัมรินทร์เพื่อจัดเก็บข้าวของ เสร็จแล้วจึงพากันนั่งรถสามล้อกลับมาที่กุฏิธรรมนิวาสวัดระฆังอีกครั้งหนึ่ง

พ่อเห็นเรื่องราวเสร็จลุล่วงไปส่วนใหญ่แล้วจึงบอกว่าพ่อจะเดินทางกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ สำหรับที่เรียนนั้นให้ลูกผู้น้องผมเข้าเรียนก่อน พร้อมทั้งมอบเบอร์โทรศัพท์ครูกริ้วให้กับลูกผู้น้องเพื่อติดต่อรับการฝากฝังให้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดมกุฎกษัตริย์ตามที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว

ส่วนตัวผมนั้นพ่อบอกว่าเมื่อกลับไปบ้านแล้วก็จะพยายามติดต่อมาจากทางบ้านเพื่อหาที่ให้ได้เรียน และสำหรับผมเองก็ให้พยายามติดต่อหาที่เรียนอีกทางหนึ่ง พ่อให้กำลังใจว่าคงจะได้ที่เรียนอย่างแน่นอน อย่าได้วิตกกังวลเลย แม้ที่สุดแล้วถ้าขัดข้องประการใดก็ให้บอกไปที่บ้าน พ่อจะกลับขึ้นมากรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง

พ่อให้เงินไว้คนละ 1,200 บาท แล้วกลับไปโรงแรม วันรุ่งขึ้นก็เดินทางกลับบ้าน ผมและลูกผู้น้องรวม 2 คน จึงได้พักอาศัยอยู่ที่กุฏิธรรมนิวาสตั้งแต่บัดนั้น

พระมหาทรงธรรม์พักอยู่ที่ชั้นบนของกุฏิเพียงรูปเดียว ชั้นล่างมีห้องเล็กห้องหนึ่งเป็นที่รับแขกและที่ทำงานของพระมหาทรงธรรม์ ทางขวามือของห้องรับแขกเป็นห้องโถง มีเณรพักอยู่รูปหนึ่งและมีศิษย์วัดรุ่นพี่อีก 2 คนคือสินและสมปราชญ์ ด้านหลังห้องโถงเป็นห้องเล็กๆ คล้ายกับห้องเก็บของ ไม่มีข้าวของอันใดเก็บคงมีแต่ที่นอนเปล่าวางอยู่ ถัดจากห้องนี้มีบันไดลงไปข้างล่างราวๆ 5 ขั้นเป็นห้องฉัน มีตั่งกว้างยาวขนาด 3 x 3.5 เมตร ยกพื้นสูงราว 40 เซนติเมตร เป็นที่สำหรับพระฉันอาหาร พระมหาทรงธรรม์จัดให้ผมและลูกผู้น้องพักอยู่ที่ห้องฉัน แต่ให้เก็บข้าวของไว้ที่บริเวณห้องโถง

ห้องฉันนั้นเป็นห้องโล่ง มีประตูทั้งสองซ้ายขวา ทางขวาสำหรับออกไปห้องน้ำ ส่วนทางซ้ายสำหรับออกไปด้านนอก ไม่มีมุ้งลวด จึงต้องนอนบนที่ฉันและกางมุ้งเพราะยุงชุม ไม่ต่างอันใดกับความชุกชุมของยุงที่วัดอัมรินทร์เลย

การพักอยู่ที่ห้องด้านหลังซึ่งเป็นที่ฉันอาหารของพระนั้นหมายความว่าผมและลูกผู้น้องจะต้องตื่นแต่เช้าเพราะต้องจัดบาตรและปิ่นโตสำหรับพระออกไปบิณฑบาตร เมื่อพระออกไปบิณฑบาตรแล้วก็ต้องจัดเตรียมที่ฉันและน้ำให้พร้อม จึงเท่ากับถูกบังคับอยู่ในตัวว่าจะนอนตื่นสายไม่ได้ และจะต้องตื่นก่อนพระ

ในวันแรกพระมหาทรงธรรม์ได้อบรมสั่งสอนว่าเป็นเด็กวัดจะต้องมีสัมมาคารวะ ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว จะต้องพยายามเรียนรู้ศาสนพิธี อย่าให้ใครเขาดูหมิ่นว่าอยู่วัดแล้วไม่รู้พิธีการใดๆ การเดินจะต้องเดินอย่างแผ่วเบา ไม่ให้มีเสียง ไม่เดินลงส้น การพูดต้องพูดจาโดยสุภาพ และพูดให้มีเสียงดังแต่พอได้ยิน

ท่านสอนว่าพระท่านมีอาวุโสตามพรรษาจากการบวชก่อนหลัง เด็กวัดก็ต้องมีอาวุโส พวกผมเป็นเด็กวัดรุ่นใหม่ต้องเคารพเชื่อฟังเด็กวัดรุ่นเก่า ต้องอยู่กันด้วยความสามัคคี และอย่ากินข้าวชาวบ้านให้เปลืองเปล่าเพราะข้าวที่ชาวบ้านถวายพระนั้นเขาได้ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อสร้างบุญกุศลไว้ในศาสนา ข้าวปลาอาหารที่พระรับบิณฑบาตรมาจึงเป็นไปเพื่อการรักษาพระศาสนาตามศรัทธาและอธิษฐานของญาติโยม

แล้วว่าจะดูถูกดูแคลนข้าวก้นบาตรพระไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเป็นของดี เป็นของที่มีมาแต่ศรัทธาและใจที่เป็นกุศล จัดเป็นของมงคลหรือเป็นของทิพย์ ดังนั้นเมื่อกินข้าวก้นบาตรก็ต้องรับใช้พระ ปรนนิบัติพระ เพื่อให้พระสืบทอดรักษาพระศาสนา เพื่อความบริสุทธิ์ของศีล เพื่อความเจริญแห่งธรรมวินัย หากทำได้เช่นนี้ก็จะเป็นมงคลแก่ตัว หากทำผิดคิดมิชอบข้าวก้นบาตรพระอันศักดิ์สิทธิ์นั้นก็จะกลายเป็นยาพิษ และจะเป็นวิบัติในภายหลัง

ผมน้อมรับคำสั่งสอนของพระมหาทรงธรรม์ด้วยความเคารพ ก้มลงกราบขอบพระคุณท่านที่ได้ให้การแนะนำสั่งสอน แล้วว่าคำสอนของหลวงพ่อครั้งนี้เป็นสิริมงคลใหญ่หลวงแก่ชีวิต ผมจะน้อมนำไปปฏิบัติเพื่อความสุข ความเจริญแก่ตนเอง ขอหลวงพ่อได้วางใจ

พระมหาทรงธรรม์เห็นเช่นนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าแต่ก่อนว่า แกนี่ดีนะ ท่าทางจะเป็นคนว่านอนสอนง่าย เห็นจะไม่เสียทีที่มาอยู่กับฉันที่วัดระฆัง

ผมสังเกตดูท่าทางพระมหาทรงธรรม์เวลาอบรมสั่งสอนจะมีท่าทางค่อนข้างจะเคร่งครัดและเคร่งเครียด ก็ได้แต่แปลกใจว่าทำไมพระสงฆ์ทรงศีลจึงมีลักษณาการที่เคร่งเครียดฉะนี้เล่า แต่อย่างไรก็ดีกิริยาท่าทางที่สงบ เรียบร้อย นุ่มนวล และความเคร่งครัดในศีลนั้นทำให้เห็นว่าพระมหาทรงธรรม์เป็นพระสงฆ์ที่มีความสง่าน่าเกรงขาม น่านับถือบูชาเป็นอย่างยิ่ง

ผมเก็บความสงสัยในลักษณะสองอย่างคือเคร่งครัดและเคร่งเครียดที่มีอยู่ในตัวพระมหาทรงธรรม์อย่างเงียบๆ ไว้ในใจเพราะรู้สึกว่าขัดกับความรับรู้ที่เคยมีมาแต่ก่อน โดยเฉพาะขัดกับที่เคยสัมผัสกับจริยาวัตรของพระอาจารย์ของผมซึ่งอ่อนโยนนุ่มนวล เมตตาอาทร แต่มีทีท่าที่สบายๆ คล้ายกับสายลมที่พัดไปในอากาศ ไม่เคยมีอาการเคร่งเครียดหรือเคร่งครัดให้ปรากฏเลย

หลังจากผมรับการอบรมสั่งสอนแล้วเด็กวัดรุ่นเก่าเห็นเด็กวัดรุ่นใหม่ก็ได้ที จัดการประชุมแบ่งหน้าที่กันในคืนวันนั้น และย่อมเป็นธรรมดาที่ศิษย์วัดหน้าใหม่จะต้องแบกรับภาระมากกว่าศิษย์เก่า ซึ่งผมและลูกผู้น้องก็เต็มใจน้อมรับการแบ่งหน้าที่เป็นอย่างดี

ผมทำหน้าที่รดน้ำต้นไม้ ตามพระไปบิณฑบาตร และถ้ามีแขกเหรื่อมาหาก็มีหน้าที่คอยรับใช้ จะต้องนั่งอยู่ในที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ให้พอได้ยินเสียงพระเรียก ถ้าเป็นวันหยุดก็เพิ่มหน้าที่ล้างจานและปิ่นโตอีกหน้าที่หนึ่ง ลูกผู้น้องของผมก็ได้รับมอบหมายหน้าที่พอๆ กันกับผม กลายเป็นว่าเด็กวัดรุ่นพี่ทั้ง 2 คน เบากายเบาแรงเพราะได้แบ่งหน้าที่ให้กับศิษย์วัดรุ่นใหม่ไปเป็นอันมาก

แถมศิษย์วัดรุ่นพี่ยังกำชับด้วยว่าอย่างไรเสียพวกเราก็เป็นเด็กวัด จะต้องมีวินัย คือจะต้องไม่ฟ้องกันและกัน และต้องช่วยแก้ตัวปกป้องให้กันและกัน เพราะเรื่องราวบางสิ่งบางอย่างไม่ควรจะให้พระได้รู้ได้ยิน จะเป็นการรบกวนจิตใจของพระให้เสียสมาธิไปเปล่าๆ พวกผมก็รับปากแต่โดยดี

ศิษย์วัดรุ่นพี่ทั้ง 2 คนนั้นเป็นคนบ้านเดียวกันกับพระมหาทรงธรรม์ และเป็นเครือญาติห่างๆ ดังนั้นจึงถือตัวว่าเป็นทั้งเด็กวัดและเป็นทั้งเด็กพระ มีอภิสิทธิ์กว่าพวกผมซึ่งเป็นเด็กวัดรุ่นน้อง ทั้งไม่ใช่เด็กพระเพราะเป็นเพียงผู้มาขออาศัยวัดเท่านั้น ศิษย์วัดรุ่นพี่จึงถืออภิสิทธิ์ใช้สอยพวกผมอย่างเต็มที่ แต่ในวันนั้นผมก็ได้สังเกตรู้ว่าศิษย์วัดรุ่นพี่ 2 คนน่าจะมีอะไรที่ไม่ปกติอยู่จึงกำชับเรื่องวินัยและการรักษาความลับ

โปรดติดตามตอนที่ 9 “ต้นแบบพระสมเด็จวัดระฆัง” ในวันศุกร์ที่ 3 มีนาคม 2549

กำลังโหลดความคิดเห็น