ท่านผู้อ่านคงจะแปลกใจ และประหลาดใจไม่น้อยไปกว่าผู้เขียน เมื่อได้ฟังหรือได้อ่านข่าวนายกฯ พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแก่ตัวเอง หลังจากที่ตกเป็นจำเลยทางสังคมในข้อหาไม่มีจริยธรรมที่ผู้นำประเทศจะพึงมี อันเนื่องมาจากการขายหุ้นชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้านบาทโดยไม่ต้องเสียภาษีของทายาท 2 คน ในทำนองว่าการขายหุ้นในครั้งนี้ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม และในขณะเดียวกันได้บอกว่ามีคนเขาบอกว่าดาวเสาร์ทับจันทร์ พุธ และอาทิตย์ในราศีกรกฎ ทำให้ไม่มีเสน่ห์ คำพูดไม่มีน้ำหนัก และบารมีลดลง
จากนัยแห่งคำกล่าวข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่าท่านนายกฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหาของสังคม และในขณะเดียวกันได้โยนความผิดที่เกิดขึ้นให้เป็นเรื่องของดาวเสาร์ อันเป็นทฤษฎีทางโหราศาสตร์ที่ถือว่าดาวเสาร์เป็นดาวให้โทษเมื่อทับลัคนาหรือจันทร์ ดังจะเห็นได้จากคำทำนายที่ว่า เสาร์ทับลัคน์ ทับจันทร์ จะพลันร้าย พ่อแม่ฉิบหาย ลูกเมียหนี
ส่วนว่าผลจะเกิดจริงตามนี้หรือไม่ก็ลองไปถามหมอดูที่เก็บรวบรวมสถิติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ก็จะได้คำตอบที่ต้องการ
แต่ในที่นี้ผู้เขียนในฐานะหมอดูสมัครเล่น และเคยเขียนเรื่องดวงเมืองและดวงนายกฯ อันเกี่ยวกับดาวเสาร์ไว้ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันอังคารของสัปดาห์สุดท้ายในเดือนธันวาคม 2548 ไว้อย่างละเอียดพอสมควร ถ้าใครอยากรู้ก็ลองไปหาอ่านดู
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อประหยัดเวลาและสนองความต้องการของท่านผู้อ่าน จะขอบอกกล่าวเรื่องนี้อีกครั้งพอเป็นสังเขป
เริ่มด้วยพื้นดวงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามวันเกิดที่ระบุว่าตรงกับ 26 ก.ค. 2490 (ไม่ทราบเวลาเกิด) มีดาวพุธ จันทร์ และอาทิตย์อยู่ราศีกรกฎ ดังนั้น เมื่อดาวเสาร์โคจรเข้าสู่ราศีกรกฎก็จะทับดาว 3 ดวงดังกล่าว
โดยทฤษฎีทางโหราศาสตร์ถือว่าดาวเสาร์โคจรเข้าทับลัคน์หรือจันทร์ จะทำให้เจ้าชะตาเดือดร้อนนานัปการ และความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นนั้น จะมีผลทั้งแก่ตนเองและครอบครัวไปพร้อมๆ กัน ดังจะเห็นจากทำนายที่ยกมาว่า พ่อแม่ฉิบหาย ลูกเมียหนี แปลเป็นภาษาฟังง่ายๆ ก็คือครอบครัวเดือดร้อนนั่นเอง
ส่วนดาวเสาร์ทับพุธนั้นโหราศาสตร์ไม่ถือว่าให้โทษ เนื่องจากดาวคู่ที่เป็นคู่สมพล (คือเอากำลังพุธ 17 และเสาร์ 10 รวมกันเป็น 27 อันถือว่าได้กำลังเป็นคู่สมพล)
แต่ที่นายกฯ ทักษิณมีปัญหาเดือดร้อน เนื่องจากคำพูดนั้นเกิดจากดาวราหูที่ทำมุมตรีโกณดาวพุธ จึงทำให้คำพูดไม่มีน้ำหนักและขาดความน่าเชื่อถือ ทั้งดาวคู่นี้เป็นดาวที่ทำมุมอยู่ในพื้นดวงเดิมด้วย และที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากตามทฤษฎีโหราศาสตร์ถือว่าพุธเป็นศัตรูกับดาวราหูนั่นเอง ใช่ว่าจะเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น เมื่อใดที่ดาวคู่นี้ทำมุมถึงกับต้องระวังเรื่องสัญญาด้วย และสิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือการตกเป็นจำเลยในคดีแพ่ง ทั้งมีโอกาสแพ้คดีด้วย
ดังนั้น การที่นายกฯ ตกเป็นจำเลยในคดีซุกหุ้นในศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ก็เกิดจากดาวคู่นี้ หาใช่เสาร์ทับพุธไม่
สำหรับดาวเสาร์ทับอาทิตย์นั้นให้โทษค่อนข้างมาก นอกจากทำให้บารมีลดลงแล้ว อาจทำให้ต้องจากที่อยู่กะทันหัน เพราะดาวคู่นี้บ่งบอกถึงการจากที่อยู่หรือการเดินทางที่ไม่คาดคิดมาก่อนด้วย
ทั้งหมดที่บอกมาคือผลของดาวเสาร์ที่ให้โทษในดวงจร ส่วนว่าผลที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงมากน้อยแค่ไหนจะต้องดูพื้นดวงประกอบให้ครบทุกดวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดาวพฤหัสฯ และลัคนา เพราะต้องนำมาคำนวณหาองศาลิปดา รวมไปถึงมุมสัมพันธ์ด้วยว่าให้คุณและให้โทษอย่างไร จึงจะบอกได้แม่นยำ
แต่ในที่นี้ได้เขียนเพียงอาศัยดาวจรกับดาวอาศัยเรือนในพื้นดวงบางตัวเท่านั้น และหวังว่าใครก็ตามที่มีดวงท่านนายกฯ อยู่ในมือ และเป็นดวงที่ถูกต้องจะได้นำไปเป็นแนวทางในการหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในชั้นนี้บอกได้เพียงแค่ว่า ไม่ว่าดวงเดิมจะมีลัคนาอยู่ราศีใด ถ้าดูจากดาวจรและดาวในพื้นดวงโดยรวมแล้วบอกได้ว่า จากนี้ไปถึง 31 พฤษภาคม 2549 จะต้องพบกับปัญหาบีบคั้นอย่างหนักแน่นอน
เมื่อพูดถึงเรื่องดวงดาวไปแล้ว ก็ใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านมองเรื่องที่เกิดขึึ้นกับผู้นำประเทศในขณะนี้ในแง่ของกรรมบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ไม่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไม่ควรค่าแก่การเชื่อถือ แต่มีความเชื่อในเรื่องกรรมตามแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่ก่อนที่จะพูดถึงกรรม และผลของกรรม ใคร่ขอทำความเข้าใจกับคำว่า กรรมตามแนวทางพระพุทธศาสนาก่อน
คำว่ากัมมะในภาษาบาลี หรือคำว่ากรรมในภาษาสันสกฤตที่ใช้อยู่ในภาษาไทยหมายถึงการกระทำโดยมีเจตนาเป็นเบื้องต้น มีการไตร่ตรองก่อนลงมือทำ และคำนี้มีความหมายกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว แต่เมื่อหมายถึงการกระทำที่ดีก็จะเพิ่มคำว่า กุศล และในทางกลับกันถ้าหมายถึงการกระทำชั่วก็เพิ่มคำว่า อกุศลข้างหน้า หรือที่ชาวพุทธเรียกกุศลธรรม และอกุศลกรรมนั่นเอง กุศลกรรมให้ผลเป็นความสุข ความสบายใจ ส่วนอกุศลกรรมให้ผลเป็นความทุกข์ ความเดือดร้อนทั้งทางกาย และใจ
แต่การกระทำจะเข้าข่ายที่เรียกว่าเป็นกรรมและให้ผลดีหรือชั่วได้นั้นผู้กระทำต้องมีเจตนา คือการไตร่ตรองไว้ก่อน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือว่ามีการคิด มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้านั่นเอง ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนาไม่ถือว่าเป็นกรรม และไม่ก่อให้เกิดวิบากคือผลที่ผู้กระทำต้องได้รับแต่อย่างใด
ดังนั้น ถ้าถามว่าความทุกข์ ความเดือดร้อนที่ท่านนายกฯ ได้รับอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการถูกด่า ถูกขับไล่ หรือแม้กระทั่งถูกฟ้องร้องเป็นผลของกรรมหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าใช่ ทั้งนี้โดยอาศัยแนวทางแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งในส่วนของพระธรรมและวินัยเป็นเครื่องวินิจฉัย ดังต่อไปนี้
1. ในแง่ของพระวินัย พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ชัดเจนในสิกขาบทที่สองแห่งปาราชิก อันเป็นสิกขาบทที่ลงโทษแก่ผู้กระทำผิดอย่างร้ายแรงถึงขั้นให้ขาดจากความเป็นภิกษุ และจะกลับมาบวชใหม่อีกไม่ได้ตลอดชีวิต เทียบได้กับการประหารชีวิตในทางโลก วินัยสิกขาบทนี้ว่าด้วยการลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตั้งแต่ห้ามาสก หรือประมาณหนึ่งบาทไทยขึ้นไป และในหนังสือวินัยมุขอันเป็นการอธิบายขยายความพระวินัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมวชิรญาณวโรรส ได้อธิบายโดยยกตัวอย่างพระภิกษุนำสิ่งของที่จะต้องเสียภาษีมีมูลค่าเกิน 5 มาสกผ่านด่านภาษีโดยซุกซ่อนไว้ เมื่อเท้าก้าวพ้นด่านออกไป ท่านว่าต้องทุติยปาราชิก คือต้องโทษขาดจากความเป็นภิกษุในทันที แต่ทั้งนี้จะต้องมีองค์ประกอบ คือพระภิกษุรูปนั้นรู้อยู่ว่าสิ่งของนั้นมีมูลค่าเกิน 5 มาสก และต้องเสียภาษีเมื่อผ่านด่านภาษี แต่จงใจซุกซ่อนเพื่อไม่ต้องการเสียภาษี
โดยนัยเดียวกัน การนำหุ้นของชินคอร์ปไปแอบซุกไว้ในบริษัท แอมเพิล ริช และขายคืนให้ทายาทในราคา 1 บาท ทั้งๆ ที่รู้ว่าในขณะนั้นราคาขายในตลาดสูงกว่านั้น และถ้าขายในตลาดจะเสียภาษีให้แก่รัฐในส่วนที่เป็นกำไรนั้น น่าจะเข้าข่ายมีเจตนาหลบเลี่ยงภาษี ในทำนองเดียวกับพระภิกษุตามตัวอย่างที่อ้างมา เมื่อเป็นเช่นนี้การกระทำในลักษณะนี้ จึงเข้าข่ายการกระทำที่เรียกว่า กายทุจริต และจะต้องรับวิบากแห่งกรรมนั้น
อีกประการหนึ่ง ถ้ามองในแง่ของธรรมะ การกระทำทุกอย่างไม่ว่าทางกายหรือทางวาจาจะต้องมีพื้นฐานมาจากใจ ดังนั้น การที่บุคคลกระทำผิดไม่ว่าทางกายหรือทางวาจา จะอ้างว่าไม่มีเจตนาหรือไม่มีการคิด การไตร่ตรองไว้ก่อนคงเป็นไปไม่ได้ เพราะขัดต่อหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า 'สิ่งทั้งหลายมีธรรมอันเป็นหัวหน้าสำเร็จแล้วด้วยใจ บุคคลจะพูดหรือทำอะไรก็ตามล้วนแต่เกิดจากใจทั้งสิ้น'
ดังนั้น การเตรียมการจดทะเบียนบริษัทไว้นอกประเทศเพื่อเล่นแร่แปรธาตุหุ้นชินคอร์ปให้ถูกกฎหมายก่อนขาย รวมถึงการแก้กฎหมายจากให้ต่างชาติถือหุ้น 25% เป็น 49% ก็หนีไม่พ้นคำว่ามีเจตนา และการกระทำเช่นนี้ก็ถือได้ว่ากายทุจริต ส่วนการออกมาแถลงข่าวบิดเบือนของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้นวจีทุจริต ซึ่งล้วนแล้วแต่จะต้องได้รับผลกรรมทั้งสิ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง ช้าเร็วขึ้นอยู่กับความหนักเบาของกรรมนั้นๆ
2. แม้การไม่แจ้ง ก.ล.ต.ล่วงหน้าก่อนมีการโอนหุ้นซึ่งมีผลให้ทายาท 2 คนของนายกฯ ถือครองหุ้นเพิ่มขึ้น ก็ถือได้ว่าเข้าข่ายเป็นกรรมเพราะมีเจตนาจะปกปิดเพื่อผลทางธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง และดูเหมือนว่าในขณะที่เขียนเรื่องนี้ ก.ล.ต.ได้ลงโทษปรับไปแล้วเป็นเงิน 20 ล้านบาท และการถูกปรับก็ถือได้ว่าได้รับผลแห่งกรรมนั้นแล้วส่วนหนึ่ง
ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งเคยบอกว่าไม่เชื่อเรื่องดวงดาวจึงออกมาพูดในทำนองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเรื่องของดวงไม่ดี แต่ไม่มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมตามแนวทางของพุทธศาสนิกชนที่ปฏิเสธเรื่องดวงดาวแต่เชื่อเรื่องกรรม
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้ามองอย่างผิวเผินก็พอจะบอกได้ว่าเป็นเรื่องปกติของคนทั่วๆ ไปที่ไม่ดูหมอ และพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่เชื่อหมอดู
แต่วันหนึ่งคนที่ว่านี้มีปัญหาทุกข์ร้อนใจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงิน หรือแม้กระทั่งการจัดการที่ตนเองถนัด ก็จะหันไปพึ่งศาสตร์ลี้ลับต่างๆ รวมทั้งโหราศาสตร์ด้วย เข้าทำนองคนตกน้ำและว่ายน้ำไม่เป็นเห็นฟางข้าวลอยมาก็กระโดดเกาะ นั่นเป็นเพราะว่าในขณะนั้นเขาตกอยู่ในห้วงแห่งความกลัว และไร้ที่พึ่งทางใจ
โดยนัยดังกล่าวข้างต้น อนุมานได้ว่าในขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีความเชื่อมั่นในอำนาจเงิน และแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการใช้เงินนำหน้า บัดนี้เริ่มตระหนักว่ามีอยู่อีกหลายปัญหาที่เงินแก้ไม่ได้ จึงได้หันไปพึ่งหมอดู ดังจะเห็นได้จากคำบอกกล่าวของท่านเองที่ว่า เขาบอกว่าดาวเสาร์ให้โทษเนื่องจากทับดาวจันทร์ พุธ และอาทิตย์ทำให้ไม่มีเสน่ห์ คำพูดไม่มีน้ำหนัก และบารมีลดลง ซึ่งก็เป็นความจริงที่ใครก็มองเห็นเมื่อเทียบกับการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก และถูกฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ยังผ่านมาได้ด้วยเสียง 8 ต่อ 7
แต่เมื่อถูกฟ้องอีกครั้งในขณะนี้ ผลจะปรากฏออกมาเหมือนเดิมหรือไม่ยังเป็นข้อกังขา ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ในการเข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2544 คนส่วนใหญ่คาดหวังสูงว่า ความรู้ความสามารถในทางธุรกิจที่ท่านนายกฯ ทักษิณมีอยู่จะช่วยนำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จ และทำให้ประชาชนอยู่ดี มีหนี้ลดลง และมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงได้สนับสนุนโดยการเรียกร้องเพื่อให้โอกาสแก่คนที่เขาคาดหวังให้บริหารประเทศ และนี่เองน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลของการตัดสินออกมา 8 ต่อ 7 โดยทิ้งข้อกังขาในใจของบรรดาเกจิอาจารย์ทางกฎหมายผู้รักความยุติธรรมทั้งหลายจนกระทั่งบัดนี้
2. การเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยสองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้จะมีเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นถึง 377 เสียง และเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่มีเสถียรภาพทางการเมืองในระบอบรัฐสภามากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยจนถึงขั้นเรียกได้ว่าเผด็จการในสภา เพราะฝ่ายค้านมีเสียงไม่พอที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้
แต่ปรากฏว่ารัฐบาลที่แข็งแกร่งในสภาทำงานมาได้ปีกว่าๆ ก็เกิดกระแสคัดค้านนอกสภาจากการเมืองภาคประชาชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในข้อหาทุจริต ทำงานไม่โปร่งใส และล่าสุดได้ถูกกระแสประชาชนออกมาขับไล่ในข้อหาขาดจริยธรรมเนื่องจากการขายหุ้นชินคอร์ป
ในการนี้ได้มี ส.ว. 27 คนยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่าศาลดังกล่าวไม่รับฟ้องด้วยเหตุผลว่าไม่มีความชัดเจนพอว่านายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นชินคอร์ป ตามที่กล่าวหาตามมาตรา 209 และจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับฟ้องใช่ว่าจะเป็นผลดีต่อนายกรัฐมนตรีแต่ประการใด เพราะเท่ากับเพิ่มกระแสขุ่นเคืองให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนที่มีข้อกังขาในเรื่องนี้ และเชื่อว่ามีไม่น้อยที่มองว่าองค์กรอิสระแห่งนี้ขาดความอิสระในการทำงานด้วยถูกการเมืองเข้าครอบงำ และถ้าแนวคิดทำนองนี้แผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ เชื่อได้ว่าขบวนการคัดค้านและเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกในวันที่ 26 ก.พ.ที่จะถึงนี้อาจมีความรุนแรงเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีขบวนประชาชนที่ออกมาเชียร์นายกฯ ได้เผชิญหน้ากับขบวนการที่คัดค้่าน
ด้วยเหตุผล 2 ประการนี้ ปัญหาการซุกหุ้นภาค 2 ของนายกรัฐมนตรีจะไม่จบลงอย่างราบรื่นเหมือนครั้งแรกแน่นอน
จากนัยแห่งคำกล่าวข้างต้น ทำให้เข้าใจได้ว่าท่านนายกฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหาของสังคม และในขณะเดียวกันได้โยนความผิดที่เกิดขึ้นให้เป็นเรื่องของดาวเสาร์ อันเป็นทฤษฎีทางโหราศาสตร์ที่ถือว่าดาวเสาร์เป็นดาวให้โทษเมื่อทับลัคนาหรือจันทร์ ดังจะเห็นได้จากคำทำนายที่ว่า เสาร์ทับลัคน์ ทับจันทร์ จะพลันร้าย พ่อแม่ฉิบหาย ลูกเมียหนี
ส่วนว่าผลจะเกิดจริงตามนี้หรือไม่ก็ลองไปถามหมอดูที่เก็บรวบรวมสถิติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ก็จะได้คำตอบที่ต้องการ
แต่ในที่นี้ผู้เขียนในฐานะหมอดูสมัครเล่น และเคยเขียนเรื่องดวงเมืองและดวงนายกฯ อันเกี่ยวกับดาวเสาร์ไว้ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันอังคารของสัปดาห์สุดท้ายในเดือนธันวาคม 2548 ไว้อย่างละเอียดพอสมควร ถ้าใครอยากรู้ก็ลองไปหาอ่านดู
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อประหยัดเวลาและสนองความต้องการของท่านผู้อ่าน จะขอบอกกล่าวเรื่องนี้อีกครั้งพอเป็นสังเขป
เริ่มด้วยพื้นดวงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามวันเกิดที่ระบุว่าตรงกับ 26 ก.ค. 2490 (ไม่ทราบเวลาเกิด) มีดาวพุธ จันทร์ และอาทิตย์อยู่ราศีกรกฎ ดังนั้น เมื่อดาวเสาร์โคจรเข้าสู่ราศีกรกฎก็จะทับดาว 3 ดวงดังกล่าว
โดยทฤษฎีทางโหราศาสตร์ถือว่าดาวเสาร์โคจรเข้าทับลัคน์หรือจันทร์ จะทำให้เจ้าชะตาเดือดร้อนนานัปการ และความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นนั้น จะมีผลทั้งแก่ตนเองและครอบครัวไปพร้อมๆ กัน ดังจะเห็นจากทำนายที่ยกมาว่า พ่อแม่ฉิบหาย ลูกเมียหนี แปลเป็นภาษาฟังง่ายๆ ก็คือครอบครัวเดือดร้อนนั่นเอง
ส่วนดาวเสาร์ทับพุธนั้นโหราศาสตร์ไม่ถือว่าให้โทษ เนื่องจากดาวคู่ที่เป็นคู่สมพล (คือเอากำลังพุธ 17 และเสาร์ 10 รวมกันเป็น 27 อันถือว่าได้กำลังเป็นคู่สมพล)
แต่ที่นายกฯ ทักษิณมีปัญหาเดือดร้อน เนื่องจากคำพูดนั้นเกิดจากดาวราหูที่ทำมุมตรีโกณดาวพุธ จึงทำให้คำพูดไม่มีน้ำหนักและขาดความน่าเชื่อถือ ทั้งดาวคู่นี้เป็นดาวที่ทำมุมอยู่ในพื้นดวงเดิมด้วย และที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากตามทฤษฎีโหราศาสตร์ถือว่าพุธเป็นศัตรูกับดาวราหูนั่นเอง ใช่ว่าจะเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น เมื่อใดที่ดาวคู่นี้ทำมุมถึงกับต้องระวังเรื่องสัญญาด้วย และสิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือการตกเป็นจำเลยในคดีแพ่ง ทั้งมีโอกาสแพ้คดีด้วย
ดังนั้น การที่นายกฯ ตกเป็นจำเลยในคดีซุกหุ้นในศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ก็เกิดจากดาวคู่นี้ หาใช่เสาร์ทับพุธไม่
สำหรับดาวเสาร์ทับอาทิตย์นั้นให้โทษค่อนข้างมาก นอกจากทำให้บารมีลดลงแล้ว อาจทำให้ต้องจากที่อยู่กะทันหัน เพราะดาวคู่นี้บ่งบอกถึงการจากที่อยู่หรือการเดินทางที่ไม่คาดคิดมาก่อนด้วย
ทั้งหมดที่บอกมาคือผลของดาวเสาร์ที่ให้โทษในดวงจร ส่วนว่าผลที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงมากน้อยแค่ไหนจะต้องดูพื้นดวงประกอบให้ครบทุกดวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดาวพฤหัสฯ และลัคนา เพราะต้องนำมาคำนวณหาองศาลิปดา รวมไปถึงมุมสัมพันธ์ด้วยว่าให้คุณและให้โทษอย่างไร จึงจะบอกได้แม่นยำ
แต่ในที่นี้ได้เขียนเพียงอาศัยดาวจรกับดาวอาศัยเรือนในพื้นดวงบางตัวเท่านั้น และหวังว่าใครก็ตามที่มีดวงท่านนายกฯ อยู่ในมือ และเป็นดวงที่ถูกต้องจะได้นำไปเป็นแนวทางในการหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในชั้นนี้บอกได้เพียงแค่ว่า ไม่ว่าดวงเดิมจะมีลัคนาอยู่ราศีใด ถ้าดูจากดาวจรและดาวในพื้นดวงโดยรวมแล้วบอกได้ว่า จากนี้ไปถึง 31 พฤษภาคม 2549 จะต้องพบกับปัญหาบีบคั้นอย่างหนักแน่นอน
เมื่อพูดถึงเรื่องดวงดาวไปแล้ว ก็ใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านมองเรื่องที่เกิดขึึ้นกับผู้นำประเทศในขณะนี้ในแง่ของกรรมบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ไม่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไม่ควรค่าแก่การเชื่อถือ แต่มีความเชื่อในเรื่องกรรมตามแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่ก่อนที่จะพูดถึงกรรม และผลของกรรม ใคร่ขอทำความเข้าใจกับคำว่า กรรมตามแนวทางพระพุทธศาสนาก่อน
คำว่ากัมมะในภาษาบาลี หรือคำว่ากรรมในภาษาสันสกฤตที่ใช้อยู่ในภาษาไทยหมายถึงการกระทำโดยมีเจตนาเป็นเบื้องต้น มีการไตร่ตรองก่อนลงมือทำ และคำนี้มีความหมายกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว แต่เมื่อหมายถึงการกระทำที่ดีก็จะเพิ่มคำว่า กุศล และในทางกลับกันถ้าหมายถึงการกระทำชั่วก็เพิ่มคำว่า อกุศลข้างหน้า หรือที่ชาวพุทธเรียกกุศลธรรม และอกุศลกรรมนั่นเอง กุศลกรรมให้ผลเป็นความสุข ความสบายใจ ส่วนอกุศลกรรมให้ผลเป็นความทุกข์ ความเดือดร้อนทั้งทางกาย และใจ
แต่การกระทำจะเข้าข่ายที่เรียกว่าเป็นกรรมและให้ผลดีหรือชั่วได้นั้นผู้กระทำต้องมีเจตนา คือการไตร่ตรองไว้ก่อน หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือว่ามีการคิด มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้านั่นเอง ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนาไม่ถือว่าเป็นกรรม และไม่ก่อให้เกิดวิบากคือผลที่ผู้กระทำต้องได้รับแต่อย่างใด
ดังนั้น ถ้าถามว่าความทุกข์ ความเดือดร้อนที่ท่านนายกฯ ได้รับอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการถูกด่า ถูกขับไล่ หรือแม้กระทั่งถูกฟ้องร้องเป็นผลของกรรมหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าใช่ ทั้งนี้โดยอาศัยแนวทางแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งในส่วนของพระธรรมและวินัยเป็นเครื่องวินิจฉัย ดังต่อไปนี้
1. ในแง่ของพระวินัย พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ชัดเจนในสิกขาบทที่สองแห่งปาราชิก อันเป็นสิกขาบทที่ลงโทษแก่ผู้กระทำผิดอย่างร้ายแรงถึงขั้นให้ขาดจากความเป็นภิกษุ และจะกลับมาบวชใหม่อีกไม่ได้ตลอดชีวิต เทียบได้กับการประหารชีวิตในทางโลก วินัยสิกขาบทนี้ว่าด้วยการลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตั้งแต่ห้ามาสก หรือประมาณหนึ่งบาทไทยขึ้นไป และในหนังสือวินัยมุขอันเป็นการอธิบายขยายความพระวินัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมวชิรญาณวโรรส ได้อธิบายโดยยกตัวอย่างพระภิกษุนำสิ่งของที่จะต้องเสียภาษีมีมูลค่าเกิน 5 มาสกผ่านด่านภาษีโดยซุกซ่อนไว้ เมื่อเท้าก้าวพ้นด่านออกไป ท่านว่าต้องทุติยปาราชิก คือต้องโทษขาดจากความเป็นภิกษุในทันที แต่ทั้งนี้จะต้องมีองค์ประกอบ คือพระภิกษุรูปนั้นรู้อยู่ว่าสิ่งของนั้นมีมูลค่าเกิน 5 มาสก และต้องเสียภาษีเมื่อผ่านด่านภาษี แต่จงใจซุกซ่อนเพื่อไม่ต้องการเสียภาษี
โดยนัยเดียวกัน การนำหุ้นของชินคอร์ปไปแอบซุกไว้ในบริษัท แอมเพิล ริช และขายคืนให้ทายาทในราคา 1 บาท ทั้งๆ ที่รู้ว่าในขณะนั้นราคาขายในตลาดสูงกว่านั้น และถ้าขายในตลาดจะเสียภาษีให้แก่รัฐในส่วนที่เป็นกำไรนั้น น่าจะเข้าข่ายมีเจตนาหลบเลี่ยงภาษี ในทำนองเดียวกับพระภิกษุตามตัวอย่างที่อ้างมา เมื่อเป็นเช่นนี้การกระทำในลักษณะนี้ จึงเข้าข่ายการกระทำที่เรียกว่า กายทุจริต และจะต้องรับวิบากแห่งกรรมนั้น
อีกประการหนึ่ง ถ้ามองในแง่ของธรรมะ การกระทำทุกอย่างไม่ว่าทางกายหรือทางวาจาจะต้องมีพื้นฐานมาจากใจ ดังนั้น การที่บุคคลกระทำผิดไม่ว่าทางกายหรือทางวาจา จะอ้างว่าไม่มีเจตนาหรือไม่มีการคิด การไตร่ตรองไว้ก่อนคงเป็นไปไม่ได้ เพราะขัดต่อหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า 'สิ่งทั้งหลายมีธรรมอันเป็นหัวหน้าสำเร็จแล้วด้วยใจ บุคคลจะพูดหรือทำอะไรก็ตามล้วนแต่เกิดจากใจทั้งสิ้น'
ดังนั้น การเตรียมการจดทะเบียนบริษัทไว้นอกประเทศเพื่อเล่นแร่แปรธาตุหุ้นชินคอร์ปให้ถูกกฎหมายก่อนขาย รวมถึงการแก้กฎหมายจากให้ต่างชาติถือหุ้น 25% เป็น 49% ก็หนีไม่พ้นคำว่ามีเจตนา และการกระทำเช่นนี้ก็ถือได้ว่ากายทุจริต ส่วนการออกมาแถลงข่าวบิดเบือนของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้นวจีทุจริต ซึ่งล้วนแล้วแต่จะต้องได้รับผลกรรมทั้งสิ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง ช้าเร็วขึ้นอยู่กับความหนักเบาของกรรมนั้นๆ
2. แม้การไม่แจ้ง ก.ล.ต.ล่วงหน้าก่อนมีการโอนหุ้นซึ่งมีผลให้ทายาท 2 คนของนายกฯ ถือครองหุ้นเพิ่มขึ้น ก็ถือได้ว่าเข้าข่ายเป็นกรรมเพราะมีเจตนาจะปกปิดเพื่อผลทางธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง และดูเหมือนว่าในขณะที่เขียนเรื่องนี้ ก.ล.ต.ได้ลงโทษปรับไปแล้วเป็นเงิน 20 ล้านบาท และการถูกปรับก็ถือได้ว่าได้รับผลแห่งกรรมนั้นแล้วส่วนหนึ่ง
ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งเคยบอกว่าไม่เชื่อเรื่องดวงดาวจึงออกมาพูดในทำนองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเรื่องของดวงไม่ดี แต่ไม่มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมตามแนวทางของพุทธศาสนิกชนที่ปฏิเสธเรื่องดวงดาวแต่เชื่อเรื่องกรรม
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้ามองอย่างผิวเผินก็พอจะบอกได้ว่าเป็นเรื่องปกติของคนทั่วๆ ไปที่ไม่ดูหมอ และพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่เชื่อหมอดู
แต่วันหนึ่งคนที่ว่านี้มีปัญหาทุกข์ร้อนใจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงิน หรือแม้กระทั่งการจัดการที่ตนเองถนัด ก็จะหันไปพึ่งศาสตร์ลี้ลับต่างๆ รวมทั้งโหราศาสตร์ด้วย เข้าทำนองคนตกน้ำและว่ายน้ำไม่เป็นเห็นฟางข้าวลอยมาก็กระโดดเกาะ นั่นเป็นเพราะว่าในขณะนั้นเขาตกอยู่ในห้วงแห่งความกลัว และไร้ที่พึ่งทางใจ
โดยนัยดังกล่าวข้างต้น อนุมานได้ว่าในขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีความเชื่อมั่นในอำนาจเงิน และแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการใช้เงินนำหน้า บัดนี้เริ่มตระหนักว่ามีอยู่อีกหลายปัญหาที่เงินแก้ไม่ได้ จึงได้หันไปพึ่งหมอดู ดังจะเห็นได้จากคำบอกกล่าวของท่านเองที่ว่า เขาบอกว่าดาวเสาร์ให้โทษเนื่องจากทับดาวจันทร์ พุธ และอาทิตย์ทำให้ไม่มีเสน่ห์ คำพูดไม่มีน้ำหนัก และบารมีลดลง ซึ่งก็เป็นความจริงที่ใครก็มองเห็นเมื่อเทียบกับการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก และถูกฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ยังผ่านมาได้ด้วยเสียง 8 ต่อ 7
แต่เมื่อถูกฟ้องอีกครั้งในขณะนี้ ผลจะปรากฏออกมาเหมือนเดิมหรือไม่ยังเป็นข้อกังขา ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ในการเข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2544 คนส่วนใหญ่คาดหวังสูงว่า ความรู้ความสามารถในทางธุรกิจที่ท่านนายกฯ ทักษิณมีอยู่จะช่วยนำพาประเทศไปสู่ความสำเร็จ และทำให้ประชาชนอยู่ดี มีหนี้ลดลง และมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงได้สนับสนุนโดยการเรียกร้องเพื่อให้โอกาสแก่คนที่เขาคาดหวังให้บริหารประเทศ และนี่เองน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลของการตัดสินออกมา 8 ต่อ 7 โดยทิ้งข้อกังขาในใจของบรรดาเกจิอาจารย์ทางกฎหมายผู้รักความยุติธรรมทั้งหลายจนกระทั่งบัดนี้
2. การเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยสองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้จะมีเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นถึง 377 เสียง และเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่มีเสถียรภาพทางการเมืองในระบอบรัฐสภามากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยจนถึงขั้นเรียกได้ว่าเผด็จการในสภา เพราะฝ่ายค้านมีเสียงไม่พอที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้
แต่ปรากฏว่ารัฐบาลที่แข็งแกร่งในสภาทำงานมาได้ปีกว่าๆ ก็เกิดกระแสคัดค้านนอกสภาจากการเมืองภาคประชาชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในข้อหาทุจริต ทำงานไม่โปร่งใส และล่าสุดได้ถูกกระแสประชาชนออกมาขับไล่ในข้อหาขาดจริยธรรมเนื่องจากการขายหุ้นชินคอร์ป
ในการนี้ได้มี ส.ว. 27 คนยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่าศาลดังกล่าวไม่รับฟ้องด้วยเหตุผลว่าไม่มีความชัดเจนพอว่านายกฯ เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นชินคอร์ป ตามที่กล่าวหาตามมาตรา 209 และจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับฟ้องใช่ว่าจะเป็นผลดีต่อนายกรัฐมนตรีแต่ประการใด เพราะเท่ากับเพิ่มกระแสขุ่นเคืองให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนที่มีข้อกังขาในเรื่องนี้ และเชื่อว่ามีไม่น้อยที่มองว่าองค์กรอิสระแห่งนี้ขาดความอิสระในการทำงานด้วยถูกการเมืองเข้าครอบงำ และถ้าแนวคิดทำนองนี้แผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ เชื่อได้ว่าขบวนการคัดค้านและเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกในวันที่ 26 ก.พ.ที่จะถึงนี้อาจมีความรุนแรงเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีขบวนประชาชนที่ออกมาเชียร์นายกฯ ได้เผชิญหน้ากับขบวนการที่คัดค้่าน
ด้วยเหตุผล 2 ประการนี้ ปัญหาการซุกหุ้นภาค 2 ของนายกรัฐมนตรีจะไม่จบลงอย่างราบรื่นเหมือนครั้งแรกแน่นอน