xs
xsm
sm
md
lg

ศิธาพาสื่อบุกอู่ต่อเรือดับเพลิง ตรวจไม่ได้เห็นแค่ผ้าใบคลุม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทรท.พาสื่อบุกดูสถานที่ต่อเรือดับเพลิงที่กทม.สั่งซื้อถึงพัทยา แต่เจ้าของอู่ต่อเรือไม่อนุญาตให้เข้าไปตรวจสอบ พบเรือในสภาพที่มีคลุมผ้าใบเอาไว้ ไม่เห็นตัวเรือ"ศิธา"รุกให้สตง.เข้ามาตรวจสอบ

เมื่อวานนี้ (13 ก.พ.) น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย แถลงก่อนนำคณะสื่อมวลชน เดินทางไปดูอู่ต่อเรือของบริษัท ซีทโบ๊ต ที่ย่านพัทยาใต้ จ.ชลบุรี ว่า ต้องการให้ไปเห็นกับตาว่า เรือดับเพลิงที่กทม.ซื้อจำนวน 30 ลำนั้นผลิตในประเทศไทยจริงหรือไม่ และราคาที่บริษัทซีทโบ๊ต เคยขายเรือดับเพลิงในลักษณะเดียวกันให้กับ สตช.แค่ลำละ 10 ล้านบาท แต่กทม.กลับซื้อในราคา 30 ล้านบาท จริงหรือไม่

ทั้งนี้ ตนได้พยายามสืบหาสถานที่ต่อเรือดังกล่าวมานานแล้ว เพิ่งจะค้นพบเมื่อคืนวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมานี้เอง โดยโรงงานดังกล่าว ตั้งอยู่กลางไร่มันสำปะหลัง ซอยหนองปรือ-ตาลหมัน พัทยา มีรั้วรอบขอบชิด

น.ต.ศิธา กล่าวด้วยว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ แสดงอาการแปลกๆ ทั้งที่เคยยืนยันมาตลอดว่าไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ระยะหลังกลับไม่ยอมรับการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ รู้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลแล้วก็กลับเงียบ

ต่อข้อถามว่า กทม.ยืนยันว่ารมว.มหาดไทย และรมช.มหาดไทย ของพรรคไทยรักไทย ทำหนังสือให้กทม.ทบทวนการเปิดแอลซี แสดงว่ามีเจตนาต้องการให้เร่งเปิดแอลซีใช่หรือไม่ น.ต.ศิธา กล่าวว่า ใช่ เมื่อทางการออสเตรียทำหนังสือทวงถามมายังกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทยก็ต้องจี้ให้กทม.ดำเนินการ ที่ผ่านมา กทม.ไม่เคยให้ข้อเท็จจริงในเรื่องรถดับเพลิงให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบ ระบุเพียงว่า มีผู้ร้องว่าโครงการอาจไม่โปร่งใส

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะตรวจสอบการทำงานของกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บังคับบัญชาด้วยหรือไม่ น.ต.ศิธา กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่ากระทรวงมหาดไทยทำผิด จึงไม่รู้ว่าจะตรวจสอบอะไร มีแต่การกล่าวหาว่า เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยรับเงิน 500 ล้านบาท ซึ่งขอท้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ถ้ามีหลักฐานก็ควรจะดำเนินคดีกับเสนาบดีคนนั้นได้เลย ทั้งนี้ สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังตรวจสอบเรื่องสัญญาการค้าต่างตอบแทนนั้น เป็นคนละเรื่องกับที่ทางพรรคไทยรักไทยกำลังตรวจสอบ เพราะพรรคเน้นตรวจที่เนื้องานการทุจริต

ต่อมา น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย และ นางสาวศุภมาส อิสรภักดี รองโฆษกพรรค ได้นำคณะสื่อมวลชนไปตรวจอู่ต่อเรือดับเพลิงของ บ.ซีทโบท จก.(สาขา) เลขที่ 11/4 หมู่ที่ 8 บ้านตาลหมัน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี แต่พนักงานของบริษัทนี้ไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปตรวจสอบ น.ต.ศิธา จึงได้พาสื่อมวลชนไปยังด้านหลังอู่ต่อเรือ เพราะพื้นที่รอบๆ อู่ต่อเรือแห่งนี้มีการนำผ้าใบอย่างหนาคลุมเรือดับเพลิงไว้

ทั้งนี้ กองอำนวยการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนเมืองพัทยา ได้นำรถยกกระเช้ามาบริการสื่อมวลชนเพื่อให้มองเห็นเรือดับเพลิงจากมุมสูงด้วย โดยพบว่ามีเรือสีส้ม-ขาว จอดอยู่ 10 ลำ

น.ต.ศิธา ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ได้รับรายงานกรณีการจัดซื้อเรือดับเพลิงของกทม.ว่า ได้ต่อเรือที่พัทยา สาเหตุที่ค้นพบช้าเพราะสถานที่ต่อเรือไม่ได้กระทำในพัทยาตามที่แจ้งไว้ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่ามีเรือดับเพลิง 9-10 ลำ โดยตนทราบมาก่อนหน้านี้ว่ามีเรือจอดอยู่ 20 กว่าลำ และไม่มีผ้าใบคลุม รวมทั้งไม่ได้ติดสัญญาณไซเรน แต่เมื่อมีข่าวนี้เกิดขึ้น เรือดับเพลิงเหล่านี้ก็เริ่มติดไซเรน และนำผ้าใบมาคลุม หากมองจากด้านหน้าบริษัท จะไม่เห็นเรือดังกล่าว ฉะนั้นเรือดับเพลิงดังกล่าวได้ต่อที่อู่นี้จริง และซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศมาประกอบ ซึ่งมันเป็นสเปกเดียวกับที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเคยจัดซื้อมาก่อนหน้านี้ ในราคาลำละ 10 ล้านบาท และตนยังมีหลักฐานที่เป็นรายงานการประชุม กทม.ว่าหาก สตง.เข้ามาตรวจสอบการซื้อเรือดับเพลิงที่ไม่ได้ต่อจากออสเตรียจะผิดหรือไม่ และกทม.ยังส่งคนมาดูเรือต้นแบบ และอนุมัติให้ต่อเรือแล้ว

ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่า ยังไม่ได้รับของก็ถือว่าเป็นสิ่งทีดี เพราะการจัดซื้อเรือดับเพลิงในครั้งนี้ราคาลำละ 30 ล้านบาท ทำให้บริษัทแห่งนี้ได้กำไรกว่า 2,000 ล้านบาท กทม.ต้องตอบสังคมและควรให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบด้วย หากกทม.ยังบริสุทธิ์ใจ และเห็นว่าการเซ็นสัญญาในครั้งนี้ กทม.เสียเปรียบ ทำไมกทม.ยังดำเนินการอยู่เพราะเรือดับเพลิงเหล่านี้ผลิตในไทย และมอบให้ออสเตรีย เป็นผู้รับประกันคุณภาพ ทำให้ราคาเพิ่มขึ้น กทม.ต้องตอบคำถามนี้ให้สังคมรับรู้ให้ได้

น.ต.ศิธา กล่าวว่า พรรประชาธิปัตย์ระบุว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ไม่มีหน้าที่สอบสวน นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.ในเรื่องนี้นั้น แต่ก่อนหน้านี้ดีเอสไอ ได้ออกหมายเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องผ่านกระบวนการยุติธรรม ทั้งๆที่ต้องออกหมายจับ เพราะความผิดในเรื่องนี้มีโทษจำคุกเกิน 3 ปี แต่กรณี นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าฯกทม.ที่ดีเอสไอ ออกหมายเรียกไปแล้วนั้น ศาลเห็นว่านายสามารถ เป็นผู้มีตำแหน่งทางการเมือง ศาลจึงออกหมายเรียกแทนหมายจับ และในตอนนั้น การมีหมายเรียกถือว่าเป็นผู้ต้องหาแล้ว และ กทม.ยังย้ายงานที่นายสามารถดูแลออกไปให้คนอื่นรับผิดชอบแทน แต่นายอภิรักษ์ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยนั้น ทำไมจึงออกโวยวาย กรณีนายอภิรักษ์นั้นตนเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ใช้มาตรฐานเดียวกับนายสามารถด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น