xs
xsm
sm
md
lg

จดหมายจากลอนดอน(ถึงนายกรัฐมนตรี)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

                            มหานครลอนดอน, 9 กุมภาพันธ์ 2549

กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี

ผมเสียดายและเสียใจอย่างสุดซึ้งที่รัฐบาลเสียงข้างมากที่ล้นหลามในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งคงจะหาไม่ได้อีกแล้วในอนาคต กำลังจะต้องอับปางลง

นอกจากความถูกผิดของเรื่องต่างๆในตัวของมันเอง สาเหตุของความเสียหายที่บานปลายขึ้น อาจจะเป็นเพราะกรรม 2 ตัวด้วยกันคือ

หนึ่ง ท่านนายกฯมีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่เห็นใครในสายตาและไม่ฟังใคร อาจจะหลงคิดว่าตนตั้งใจทำความดีและได้ทำความดียิ่งใหญ่แล้ว เหนือใครๆทั้งหมดทั้งสิ้นในแผ่นดิน ใครไม่เห็นด้วยล้วนแต่โง่เง่า มองโลกด้านเดียว

สอง บุคคลที่แวดล้อมรับใช้ใกล้ชิดท่านนายกฯ อาจ “ป้อยอ สอพลอพลอย ทุกเช้าค่ำ” ไม่กล้าหรือไม่รู้จักท้วงติงให้ความจริงต่อนายอย่างตรงไปตรงมา ซ้ำยังจองหองพองขน ยกตนข่มท่าน ใครวิพากษ์วิจารณ์นายอย่างไรก็มิได้ หาว่าเป็นพวกฝ่ายค้านที่จ้องจะล้มรัฐบาลอยู่ร่ำไป

ก่อนออกจากดอนเมืองตอนเที่ยงคืนวันที่ 5 มีลูกศิษย์โทรมาอ่าน นสพ.คมชัดลึกให้ฟังว่า ผมสัมภาษณ์ขับไล่ท่านนายกฯ เพราะท่านนายกฯได้กลายเป็นปัญหาแทนที่จะเป็นทรัพยากรของชาติ ซึ่งก็สอดคล้องกับกระแสที่เรียกร้องอยู่ขณะนี้

แต่ความจริงผมมิได้ให้สัมภาษณ์ แต่ไปพูดให้สมาชิกสถาบันวิถีทรรศน์และศูนย์นวัตกรรม ม.รังสิตฟัง ผมเขียนหัวข้อคำบรรยายแจกเหมือนกับทุกครั้ง เพื่อจะช่วยให้ผู้สื่อข่าวนำไปรายงานได้อย่างถูกต้อง กลัวกลอนจะพาไปตามอุปาทาน

หัวข้อที่พูดคือ “ทางออกของชาติในยามวิกฤต” มีอยู่ 15 หัวข้อย่อย ที่เป็นหัวใจขีดเส้นใต้คือข้อ 12 เกี่ยวกับ Best Case Scenarioหรือทางออกที่ดีที่สุด กับข้อ 13 เชื่อมโยงกัน คือ ในหลวงหรือทักษิณจะเป็นผู้ตัดสิน มีข้อความเด่นว่า โอกาสที่ดีที่สุดที่ทักษิณจะต้องฉกฉวยก็คือขอพึ่งพระบารมี ขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชประชาสมาสัย

บรรดานักข่าวเป็นเด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจราชประชาสมาสัย ผมจึงยกตัวอย่างทางออกที่ดีที่สุดแบบที่หนึ่งมาอธิบายให้ฟัง คือ

นายกรัฐมนตรีลาออก-ตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน-นายกรัฐมนตรีใหม่นำแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงมาตราเดียวคือมาตรา 201 เปิดโอกาสให้ตั้งนายกรัฐมนตรีราชประชาสมาสัยตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอีก-นายกรัฐมนตรีใหม่นำแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีมหากษัตริย์เป็นประมุข-เลือกตั้งทั่วไป

ผมจะอธิบายเพิ่มเติมในท้ายจดหมาย ขอพูดถึงเรื่องที่ท่านนายกฯอาจจะไม่อยากฟังที่สุดเสียก่อน

ก็ด้วยความหลง 2 ประการที่กล่าวมา ยังผลให้ท่านนายกฯบริหารประเทศผิดพลาด หนีออกจากจารีตประเพณีและหลักกฎหมายของแผ่นดิน จนท่านผู้รู้ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีฐานันดรและตำแหน่งสูงเป็นที่เคารพของบ้านเมืองออกมาประสานเป็นเสียงเดียวกันโดยมิได้นัดหมายว่า

หนึ่ง ท่านนายกฯไม่เข้าใจหรืออาจจะจงใจทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สำแดงความประมาทขาดความสำรวมเป็นทาสวจีกรรมที่จาบจ้วงล่วงเกินในหลวง ต่างกรรมต่างวาระ ที่สาหัสมากก็คือคำกล่าวว่า “ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” ทั้งๆที่มีพวกออกมาติติงทั่วเมือง อีกไม่นานนายกฯยังบังอาจพูดอีกว่า มีทางเดียวเท่านั้นที่ท่านจะลาออก ก็คือขอให้ในหลวงมากระซิบ

คำพูดครั้งหลังนี้คนไทยรับไม่ได้ เพราะมีนัยลึกซึ้งหลายประการ ไม่ว่าจะตีความทางใดก็เสียหายทั้งนั้น แสดงว่านายกฯไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แสร้งพูดจาบจ้วงเพื่อท้าทายในหลวงหรือให้พวกไร้การศึกษาบูชานายกฯเข้าใจว่า ในหลวงยังสนับสนุนค้ำจุนนายกฯอยู่ ด้วยพระองค์ท่านยึดถือหลักประชาธิปไตย ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงตามพระราชหฤทัยได้ ซ้ำนายกฯยังปล่อยให้สถานีทีวีแพร่คำพูดดังกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทนที่จะรีบไปกราบพระบาทขอพระราชทานอภัย นอกจากนั้นนายกฯยังเฉยเมยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เมื่อมีพระราชดำรัสในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ว่า คนที่พยักหน้าน่ะผิดที่มิได้แก้ไข คนที่ทำอะไรไม่อยู่กะร่องกะรอยนี่ ถ้าหากลาออกไป ก็ไม่มีความผิด ที่สำคัญยิ่งพระองค์กล่าวว่า ผู้ที่นั่งแถวหน้า รู้ว่าเป็นใคร ที่ตำหนิข้าพเจ้า บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวผิด พระเจ้าอยู่หัวทำไม่ดี

ผมมิได้ลอกคำต่อคำเพราะอยู่ในต่างประเทศ แต่รับรองว่าพลความไม่ผิด เพราะผมก็เหมือนกับคนไทยทั่วๆไปที่คิดว่าพระองค์ท่านตรัสถึงเพียงนี้ สมควรที่นายกฯจะรีบแก้ไขและคลานเข้าไปขอพระบรมราชวินิจฉัย

สอง ท่านนายกฯทำลายรัฐธรรมนูญ โดยกระทำการอุกอาจไม่คำนึงถึงหลักกฏหมายและจริยธรรม ก่อให้เกิดคอร์รัปชั่นคดโกงอย่างใหญ่โตกว้างขวาง ครอบงำสิทธิเสรีภาพของสื่อ รัฐสภาและองค์กรอิสระจนไม่อาจตรวจสอบ ความหลงใหลในภาวะผู้นำแบบซีอีโอในระบอบประธานาธิบดี ทำให้ท่านายกฯรวบอำนาจเสมือนหนึ่งรัฐบาลเป็นบริษัทส่วนตัว ครอบงำทำลายคุณค่าผู้ร่วมงานตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรีลงมาถึงตำรวจทหารศาลข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกระดับ แถมระบาดผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดลงไปถึงรากหญ้านายกอบต. ทำให้บรรดาซีอีโอโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนายกฯต่างก็สร้างมูลค่าเพิ่มให้ตนเอง ทำลายมูลค่าเพิ่มของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเพื่อนร่วมงาน ขัดกับหลักการประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วมเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งคุณเสนาะออกปากว่า นี่เป็นระบบทาส ขังผู้แทนไว้ในคุก ทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ผมจึงอธิบายต่อง่ายๆว่า ระบบนี้ถ้าเป็นระดับพรรคก็เรียกว่า “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” ระดับรัฐบาลเป็น “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสนายก” สอดค้องและส่งเสริมระบบบริหารที่ทำลายประเทศไทยมานานคือระบบ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสส่วนกลาง” ซึ่งบันดาลให้ต่างจังหวัดของเรากลายเป็น”สังคมชั่วคราว”ไปหมด มีเจ้านายซีอีโอย้ายไปมาปกครองเหมือนลัทธิเมืองขึ้น จนประชาชนตกอยู่ใต้สามลัทธิอุบาทว์คือ “ลัทธิตามอย่าง ตามน้ำ ตามพึ่ง” ซึ่งท่านนายกฯเป็นเอกอัครุปถัมภก

ผมชื่นชมและขอบคุณท่านนายกฯ ที่แสดงให้โลกเห็นว่าสังคมไทยมีวุฒิภาวะ ไม่ฆ่ากันตายในคืนวันที่ 4 กุมภา ส่วนการที่ท่านนายกฯจะตัดสินใจลาออกตามคำเรียกร้องหรือไม่ กรุณาอย่าไปอ้างในหลวง หรือแม้แต่ 19 ล้านเสียงก็ไม่สมควรอ้าง เพราะจะเป็นการให้การศึกษาผิดๆแก่ประชาชน ผิดทั้งตัวอย่างและทั้งทฤษฎี เพราะว่าแท้จริงนั้น การเลือกตั้งเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือพิธีกรรมอย่างหนึ่งของประชาธิปไตย เพื่อยืนยันความชอบธรรมอย่างที่ท่านนายกฯอ้างว่า มาตามกติกา แต่ความชอบธรรมดังกล่าวเป็นแค่กึ่งเดียว จะต้องมาต่อเติมให้ครบอีกกึ่งหนึ่งด้วยการอยู่ตามกติกาอีกด้วย ข้อหลังนี้เป็นเรื่องที่สังคมไทยตัดสินว่าท่านนายกฯสอบตก ไร้ความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไป องค์ประกอบของสังคมไทยที่ผมอ้างมิใช่คนพวกเดียวจำนวนหยิบมือเดียวอย่างที่สื่อของรัฐบิดเบือน แต่เป็นคนจำนวนมากต่างอาชีพต่างฐานันดร มิใช่มีแต่นักวิชาการ หากมีศิลปินแห่งชาติ อดีตเอกอัครราชทูต ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ วุฒิสมาชิก อดีตรัฐมนตรีว่าการ ศูนย์นิสิตนักศึกษา ที่ลุกฮือขึ้นพร้อมกันโดยมิได้มีการจัดตั้ง และนับวันก็นับจะขยายตัวใหญ่โตขึ้น จนท่านนายกฯจะไม่สามารถบริหารราชการโดยราบรื่นได้

การอ้างเสียง 19 ล้านนั้นเป็นการบิดเบือนทฤษฎีตัวแทนในทางการเมือง ซึ่งตัวการมีอำนาจเปลี่ยนได้ทุกเมื่อเมื่อหมดความไว้วางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบเลือกตั้งโดยตรงแบบประธานาธิบดีและผู้ว่าราชการมลรัฐของอเมริกา เมื่อเร็วๆนี้ผู้เลือกตั้งก็ลงคะแนนเสียงปลดหรือ recall ผู้ว่าการรัฐคาลิฟอร์ เนีย โดยไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ ประธานาธิบดีนิกสันก็ลาออกไปด้วยความบีบคั้นของประชามติด้วยเรื่องที่คนไทยเห็นว่าจิ๊บจ๊อย คือปิดบังความจริงและขัดขวางการสอบสวนคดีแอบเข้าไปจารกรรมสำนักงานหาเสียงของพรรคตรงกันข้าม

ยิ่งเป็นระบบรัฐสภาก็ยิ่งอ้างไม่ได้ว่าตนถูกเลือกมาโดยตรง ตัวอย่างเช่น แธตเชอร์ ผู้นำพรรคเข้าหลักชัยล้นหลามถึง 3 สมัยถูกลูกพรรคปลดออกกลางเทอมเพราะประชาชนชักมีปฏิกิริยาไม่ดี นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นนับไม่ถ้วนที่ประสบชะตากรรมเช่นนี้

ปัญหาต่อไปคือมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้นำประเทศ ซึ่งถือกันว่าต้องสูงกว่าคนธรรมดาหรือแม้กระทั่งนักบุญ เพราะผู้นำสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่า จึงมีคำพังเพยว่า ผู้ปกครองไม่ดีเหมือนมีห่าลงกิน บุคคลธรรมดากระทำผิดท่านให้สันนิษฐานว่าบริสุทธิจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผิด นักบุญท่านให้สันนิษฐานว่าผิดจนกว่าพิสูจน์ได้ว่าบริสุทธิ์ สำหรับผู้ปกครองเพียงทำตนให้ต้องสงสัย ท่านให้ถือว่าผิด ต้องเอาตัวไปลงโทษ

ผมไม่อยากกล่าวย้ำถึงความผิดต่างๆที่มีผู้กล่าวหาท่านนายกฯ จะพูดถึงเรื่องซุกหุ้นเท่านั้น ในกรณีซุกหุ้นครั้งที่ 1 ถ้าตุลาการรัฐธรรมนูญมีมาตรฐาน ท่านนายกฯจะไม่มีทางรอด นอกจากจะอ้างทฤษฎีสัญญาประชาคม เพราะความผิดของท่านายกฯนั้นเป็นสิ่งที่กฎหมายห้าม ตามหลัก Mala Prohibita คือห้ามแล้วยังกระทำ ต้องถือว่าผิด โดยไม่ต้องสืบเจตนาหรือตีความใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เรื่องบริษัทแอมเปิลริชที่ท่านนายกฯไปแอบตั้งไว้ต่างประเทศ และถูกวุฒิสมาชิกแก้วสรร อติโพธิ์และคณะร้องเรียนว่า ท่านนายกฯกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 209 นั้น ผมก็เห็นว่าเข้าข่าย Mala Prohibita 100% ท่านนายกฯไม่มีทางรอด

ที่เหลืออยู่ก็คือความสำนึกและมโนธรรมของท่านนายกฯเท่านั้น หากท่านเลือกทางออกที่ผมเสนอว่าดีที่สุด ก็คงจะดีที่สุดสำหรับท่านนายกฯและประเทศชาติด้วย สถาบันนายกฯเป็นสถาบันทรงเกียรติ ผมไม่อยากเห็นใครถูกขับอย่างกุ๋ย ผมอยากเห็นท่านนายกฯรักษาสถาบันและออกไปอย่างรัฐบุรุษเช่นเดียวกับพลเอกเกรียงศักดิ์ และพลเอกชวลิต

ผมขออธิบาย Best Case Scenario คือขั้นที่ 1 นายกฯลาออก และ 2 ตั้งนายกฯใหม่ ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน อย่างน้อยก็ยังจะได้บุคคลที่เคารพนับถือท่านนายกฯ ไม่ทำอะไรที่รุนแรงแบบน้ำลดตอผุด เปิดทางให้ท่านนายกฯเว้นวรรคอย่างสงบ เมื่อนายกรัฐมนตรีใหม่นำแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 201 เปิดทางให้บุคคลทั้งนอกและในสภา เราก็อาจจะใช้ขบวนการราชประชาสมาสัยเลือกนายกฯที่ไม่ต้องอ้างว่าเป็นนายกฯพระราชทาน แต่เป็นบุคคลที่ทุกฝ่ายรวมทั้งในหลวงยอมรับ จะได้เข้ามาบริหารและแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง โดยการมีส่วนร่วมจากพระมหากรุณา รัฐสภาและบุคคลทุกหมู่เหล่า โดยไม่ต้องทำลายตัวหนังสือที่เป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ใช้วิธีเพิ่มเติมที่เรียกว่า extra constutional ตามจารีตประเพณืและไม่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เสร็จแล้วจะได้มีการเลือกตั้งทั่วไปและเดินหน้าปฏิรูปการเมืองประเทศชาติอย่างจริงจังเสียที

ทำอย่างนี้ สังคมไทยจะได้แสดงวุฒิภาวะ สมกับเป็นประเทศเก่าแก่ มีพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ สามารถเปลี่ยนแปลงอย่างราบรื่นต่อเนื่อง ไม่มีอะไรเสียหายร้ายแรง

ท่านนายกฯครับ เกือบสามสิบปีมาแล้ว ผมนั่งอยู่กับอาจารย์ป๋วย เมื่อท่านเขียนจดหมายจากนายเข้ม เย็นยิ่ง ถึงจอมพลถนอม ผมเสียดายทีผู้นำและสังคมไทยมีอัตตาเกินไปที่จะฟังคำของอาจารย์ หาไม่เราอาจจะไม่มี 14 ตุลาคม และอาจจะพัฒนาการเมืองได้ราบรื่นกว่านี้

บัดนี้ โอกาสเป็นของท่านนายกฯแล้ว วันนี้ผมมานั่งเขียนถึงท่านนายกฯอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติอังกฤษ อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีนักนักคิดนักเขียนชั้นนำของโลกทุกยุคทุกสมัยมานั่งฝันที่จะสร้างสังคมในอุดมคติที่นี่ ผมจึงเขียนถึงท่านนายกฯด้วยความตั้งใจและภูมิใจยิ่งที่เกิดมาเป็นคนไทย

ผมอยากจะเล่าส่งท้ายว่าเดือนที่แล้ว เพื่อนเก่าที่ไม่ได้คุยกันมาเกือบ 50 ปีโทรมาหา เธอเป็นปัญญาชนชั้นนำของจุฬาฯ แตกฉานทั้งภาษาไทย อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน เธอไปฟังและสนับสนุนสนธิทุกรายการ ทั้งๆที่สามีและลูกหลานไม่ชอบเลย แต่เธอเห็นว่าเป็นหน้าที่อันศักดิสิทธิ เธอกลั้นสะอื้นอ่านกลอนของพันเอกมรว.เล็ก งอนรถ ให้ผมฟัง 2 บท ผมขอเปลี่ยนวรรคที่ 1 และขอมอบให้ท่านนายกฯและพี่น้องชาวไทยทุกคน

“เจ้าเป็น ลูกเลิศ ของพ่อแม่ ก็จริงแหล่ แต่ชาติ สำคัญกว่า
ทางที่ถูก เจ้าเป็นลูก อยุธยา ก็เหนือกว่า พ่อแม่ มาแต่ไร
เจ้าอาจเสีย พ่อแม่ ในวันหน้า แต่จะเสีย อยุธยา หาได้ไม่
เพระฉะนั้น จงรู้จัก รักเมืองไทย รักษาไว้ ให้อยู่ คู่ฟ้าดิน”

                            ปราโมทย์ นาครทรรพ
กำลังโหลดความคิดเห็น