การที่พ่อตกลงใจให้ลูกผู้น้องเข้าเรียนก่อนอาจทำให้พ่อเกรงว่าผมจะเสียน้ำใจ ดังนั้นพ่อจึงปลอบใจว่าเอ็งเป็นคนมีบุญ ถึงอย่างไรก็คงจะได้เรียน และเล่าความให้ฟังว่าเมื่อน้อยนั้นพวกซินแสมาที่บ้าน พยากรณ์ว่าเอ็งจะเรียนหนังสือเก่ง จะเรียนหนังสือสูง ไม่แพ้ใครในหมู่ญาติพี่น้อง ถึงอย่างไรก็จะต้องได้เรียนอยู่ดี อย่าได้วิตกไปเลย
หลังจากไต่ถามข่าวคราวทางบ้านกันตามธรรมเนียมแล้ว พระมหาผวนได้แจ้งความเรื่องพระมหาผลว่าได้เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดแล้วเมื่อสองวันก่อน เห็นจะยังคงพักกับพระมหาทรงธรรม์อยู่ที่วัดระฆัง
ผมได้ยินคำว่าวัดระฆังก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที รู้สึกเหมือนมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ผูกพัน ราวกับว่าได้สัมผัสกับสิ่งซึ่งมั่นใจวางใจได้ว่าความทุกข์ร้อนของเราเห็นจะสร่างสิ้นลง และรู้สึกว่าอีกไม่นานช้าจะได้พบกับผู้ใหญ่ที่ไม่เคยรู้จักมาแต่ก่อนเลย
รู้สึกอย่างนั้นแล้วมือก็ยกขึ้นแตะที่หน้าอกโดยไม่ทันรู้ตัว เพราะจิตใต้สำนึกที่ผูกพันอยู่กับพระสมเด็จวัดระฆังยังฝังอยู่ในจิตสำนึกอย่างลึกซึ้ง ในใจก็นึกว่าสมเด็จวัดระฆังรูปนี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรหนอ จะได้มีโอกาสกราบท่านหรือไม่ แต่เมื่อได้ยินคำว่าวัดระฆังก็รู้สึกว่าอีกไม่นานไม่ไกลเท่าใดก็น่าจะได้มีโอกาสไปกราบสมเด็จแล้ว
พ่อได้ทราบความดังนั้นก็ดีใจ หลังจากพูดคุยอยู่กับพระมหาผวนครู่หนึ่งแล้วจึง รีบกราบลาพระมหาผวน พาผมและลูกผู้น้องออกจากวัดอัมรินทร์เพื่อจะไปหาพระมหาผลที่วัดระฆัง
ก่อนจะออกจากกุฏิ พระมหาผวนได้เดินตามมาส่งพ่อถึงประตูกุฏิและได้บอกว่าพระมหาผลคุ้นเคยเป็นเพื่อนสนิทกับพระมหาทรงธรรม์เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน คบหากันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเนื่องจากพระมหาทรงธรรม์เป็นพระที่เชี่ยวชาญในพระอภิธรรม ในขณะที่พระมหาผลเป็นพระนักเทศน์ ต้องพึ่งพาเสริมเติมความรู้ให้แก่กันและกัน แล้วบอกด้วยว่าพระมหาทรงธรรม์นั้นเป็นคนเจ้าระเบียบ จำพรรษาอยู่ที่คณะหนึ่ง วัดระฆัง
รถสามล้อพาพวกเราออกจากวัดอัมรินทร์มาตามถนนอรุณอัมรินทร์ ผ่านสี่แยกพรานนกราว ๆ กิโลเมตรเดียวก็ถึงประตูหน้าวัดระฆัง รถสามล้อเลี้ยวซ้ายเข้าทางประตูด้านหน้าซึ่งมีแต่ป้ายเล็ก ๆ บอกชื่อวัดระฆังโฆสิตาราม รถสามล้อแล่นมาตามซอยแคบ ๆ ราว 500 เมตรก็ถึงหน้าประตูคณะหนึ่ง แลเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาทอดยาวอยู่เบื้องหน้า และมีผู้คนกำลังเดินขึ้นจากท่าเรือวัดระฆัง ในขณะที่บางกลุ่มก็กำลังเดินไปที่ท่าเรือเพื่อจะข้ามฟากไปยังท่าช้างวังหน้า
ในขณะนั่งรถไปวัดระฆังนั้น ผมมีความรู้สึกที่อิ่มเอิบเบิกบานใจ เปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธาที่มีมาช้านานแล้ว ดังนั้นพอรถจอดผมจึงรีบกระโดดลงจากรถแล้วหันหลังกลับไปมองทางด้านหลังที่เพิ่งผ่านมา เห็นทางด้านซ้ายมือเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถจึงยกมือขึ้นไหว้รำลึกถึงพระพุทธคุณ พร้อมกับภาวนาขึ้นในใจว่า พุทโธ เม สะระณัง วะรัง ซึ่งแปลว่าพระพุทธเจ้าคือที่พึ่งอันเกษมของข้าพเจ้า
ผมไหว้พระประธานในโบสถ์เสร็จแล้วก็เหลียวหน้ากลับมา เห็นพ่อกำลังควักเงินจ่ายค่ารถ ในพลันนั้นบังเกิดสายลมเย็นสายหนึ่งพัดโชยมาแต่ทางด้านแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ด้านหน้าและมีสายลมเย็นอีกสายหนึ่งพัดมาแต่ด้านหลัง ลมทั้งสองสายปะทะกันก่อเป็นลมหมุนเล็ก ๆ หมุนเป็นเกลียวพัดเอาฝุ่นและหญ้าจากพื้นดินขึ้นไปบนฟ้าขนาดสูงราวห้าวา ทำให้ได้เห็นลมด้วยอาการดังนี้
โดยที่หามีใครเฉลียวใจแม้แต่สักน้อยนิดว่านั่นอาจเป็นอภินิหารแบบกระจุ๋มกระจิ๋มที่ได้เผชิญต่อหน้าต่อตาในเวลากลางวันแสก ๆ ก็ได้
เกลียวลมหมุนก่อตัวขึ้นแล้วก็เคลื่อนผ่านตัดหน้ารถสามล้อไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูคณะหนึ่งแล้วก็คลายตัวลง ฝุ่นและหญ้าก็ร่วงลงกับพื้นราวกับบอกว่าที่นี่แหละคณะหนึ่ง วัดระฆัง พ่อสังเกตเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงกล่าวว่านี่เป็นเทพยดาสังหรณ์คือเทวดามาบอกทางให้พวกเรา พูดแล้วต่างคนก็ต่างหัวเราะ เป็นทำนองว่าทุกคนก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้น
ปรากฏการณ์แปลก ๆ เช่นนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จนมีการตั้งขึ้นเป็นตำรับตำราพยากรณ์เหตุการณ์ร้ายดีสืบเนื่องกันมานับพัน ๆ ปี หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่รู้ในศาสตร์อันลี้ลับนั้นบางครั้งก็สามารถสัมผัสความมหัศจรรย์ได้อย่างชัดเจน
ดังเช่นที่ปรากฏเรื่องราวในวรรณคดีเรื่องสามก๊กเมื่อครั้งที่สิบขันทีก่อการจลาจลในปลายแผ่นดินของพระเจ้าเลนเต้ แล้วพรากเอาหองจูเหียบและหองจูเปียนสองพระราชบุตรซึ่งยังเยาว์วัยไปทิ้งร้างไว้กลางป่า
ในเวลาค่ำคืนเดือนมืดสองพระราชบุตรน้อยเกรงว่าจะพลัดหลงกันจึงเอาชายพระภูษาของทั้งสองพระองค์มาผูกกันเข้าไว้ แต่ก็มิรู้ที่จะไปแห่งหนตำบลไหนเพราะไม่รู้และไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในป่า ทั้งฟ้าก็มืดมิด เสียงสัตว์ป่านานาชนิดดังระงม ทั้งสองพระองค์เต็มไปด้วยความทุกข์ตรมพระทัย และหวาดเกรงภัยป่านานาประการ แต่ในพลันนั้นก็มีฝูงหิ่งห้อยบินตรงเข้ามาที่สองพระราชบุตร เกาะตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเคลื่อนตัวช้า ๆ ไปเบื้องหน้า
โบราณว่าแสงไฟน้อยย่อมสว่างในที่มืด ดังนั้นแสงหิ่งห้อยแม้น้อยนิดแต่เมื่อเกาะผนึกเข้าเป็นกลุ่มก้อนก็มีความสว่างพอได้เห็นหนทางอย่างสลัว ๆ กลุ่มหิ่งห้อยคล้อยตัวเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ พระราชบุตรพระองค์น้องช่างสังเกตเมื่อทรงเห็นเช่นนั้นจึงตรัสกับพระเชษฐาว่าการที่ฝูงหิ่งห้อยมาเกาะกลุ่มกันให้ได้เห็นเส้นทางแต่รางเลือน แล้วเคลื่อนตัวไปช้า ๆ เช่นนี้เห็นทีจะเป็นเทพยดามาอุ้มชูช่วยเหลือนำทางเป็นแน่แท้
ทั้งสองพระองค์จึงชวนกันเสด็จพระดำเนินตามกลุ่มหิ่งห้อยไป จนใกล้สางจึงเสด็จถึงชายป่าติดกับหมู่บ้านซึ่งเป็นบ้านของอดีตขุนนางในสำนักพระราชวังมาแต่ก่อน แต่ทนความชั่วร้ายและการกดขี่ข่มเหงของขบวนสิบขันทีไม่ได้ จึงกราบถวายบังคมลาออกจากราชการมาทำไร่ไถนาอยู่ชายป่านั้น
ทั้งสองพระองค์เสด็จพระดำเนินมาทั้งคืนด้วยความหนาวเหน็บ พระบาททั้งสองเจ็บปวดรวดร้าวด้วยโลหิตห้อพระบาทเนื่องจากไม่เคยเผชิญกับการเสด็จพระดำเนินในลักษณะนี้มาแต่ก่อนเลย พอถึงกองฟางข้างลานบ้านสองพระราชบุตรก็สิ้นพระกำลัง ล้มสลบลงที่กองฟางนั้น
ณ เวลาใกล้สางนั้นเองอดีตขุนนางที่ปลีกตัวออกจากราชการมาทำไร่ไถนาอยู่ชายป่ากำลังหลับสนิท แต่บังเกิดนิมิตในความฝันว่ามีพระอาทิตย์ถึงสองดวงร่วงลงมาจากฟ้าตกอยู่ที่กองฟางข้างบ้านชายป่าก็ตกใจตื่น เห็นเป็นนิมิตประหลาดจึงผลันออกจากบ้านวิ่งไปดูที่ลอมฟาง จึงได้พบกับพระราชบุตรทั้งสอง
เหตุการณ์ประหลาดที่ยกเป็นตัวอย่างนี้เป็นเรื่องที่มีมาช้านานและปรากฏอยู่ในหนังสือสามก๊กอย่างชัดเจน และเหตุการณ์แบบนี้ก็ยังคงมีเกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะสนใจสังเกตและเห็นได้หรือไม่เท่านั้น
ที่หน้าคณะหนึ่งมีแผงลอยขายกาแฟอยู่แผงหนึ่ง มีขนาดพื้นที่กว้างราว 6 เมตร ลึกราว 4 เมตร คนขายกาแฟดูท่าทางจะเป็นผัวเมียกัน ตัวผัวโพกผ้าพันแผลที่ศีรษะเหมือนกับถูกตีหัวมาใหม่ ๆ ผัวเมียคู่นี้ด่ากันไปพลางขายกาแฟกันไปพลาง ซึ่งคงจะเป็นเคล็ดเป็นแบบอย่างให้กับร้านค้าหลายแห่งนำมาใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ถึงขนาดที่อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนหนึ่งก็เคยจัดรายการแนะนำอาหารโดยตั้งชื่อรายการว่าชิมไปบ่นไปนั่นแหละ
ที่ร้านกาแฟมีผู้คนเกือบ 20 คนเล่นหมากฮอสและหมากรุกกันอยู่ ตั้งกระดานหมากฮอสเล่นอยู่ 2 กระดาน และตั้งกระดานหมากรุกเล่นอยู่ 1 กระดาน ทุกคนต่างสนใจอยู่กับหมากฮอส หมากรุก มิได้ใส่ใจเหตุการณ์ใด ๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
พ่อเดินเข้าไปถามคนขายกาแฟว่ากุฏิพระมหาทรงธรรม์อยู่ที่ไหน คนขายกาแฟผู้ชายท่าทางมีอัธยาศัยดีรีบกุลีกุจอชี้ไม้ชี้มือเข้าไปทางประตูคณะหนึ่ง แล้วบอกว่าเดินเข้าประตูไป เลี้ยวซ้าย ลอดใต้ถุน แล้วเลี้ยวขวาตรงเข้าไปก็จะเป็นประตูกุฏิชื่อว่ากุฏิธรรมนิวาส กุฏินี้เป็นที่พำนักของพระมหาทรงธรรม์
บอกทางแล้วคนขายกาแฟผู้นั้นก็ร้องตะโกนดังลั่นว่า เฮ้ย! ไอ้ตี๋ เอ็งไปช่วยดูหมาให้หน่อย พอสิ้นเสียงก็มีชายอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูคณะหนึ่ง เป็นคนอายุราว 60 ปี ผิวเนื้อดำแดง รูปร่างผอมกะหร่อง แต่ท่าทางจะไม่สมประกอบเท่าใดนัก พูดจาก็ไม่ค่อยชัด เห็นพวกเราก็ยิ้มให้ ปรากฏว่าคนที่ชื่อตี๋นี้เป็นคนฟันหรอหมดทั้งปากจึงทำให้ดูแก่เกินวัย เพราะทราบภายหลังว่าแท้จริงแล้วนายตี๋มีอายุเพียง 50 นิดหน่อยเท่านั้น
เมื่อนายตี๋เห็นพวกเราก็ชี้มือไปตามทางที่คนขายกาแฟบอก พ่อเห็นอาการดังนั้นจึงพาพวกเราเดินตามคนชื่อตี๋เข้าไป
พอก้าวพ้นประตูคณะหนึ่งเข้าไปเท่านั้น หมาราว 30 ตัวก็วิ่งตรูตรงเข้ามาที่พวกเรา ได้ยินเสียงนายตี๋พูดว่า “เฮ้ย! แขกพระ” แล้วนายตี๋ก็ทำเสียงจุ๊ปาก หมาเหล่านั้นก็พากันกระดิกหางเป็นทีว่าเป็นมิตรและยินดีต้อนรับ
ดูไปแล้วหมาเป็นสัตว์ที่มีจิตใจเปิดเผย ตรงไปตรงมา ลงว่ากระดิกหางเข้ามาแล้วก็คือการบอกกล่าวให้ได้รู้กันว่าเป็นมิตร เป็นพวกเดียวกัน จะไม่กัด จะไม่ทำร้ายไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง เพราะเหตุนี้จึงมีผู้คนเป็นจำนวนมากรักหมาและเลี้ยงหมา ให้ความใกล้ชิดสนิทสนม ถึงขนาดกินนอนด้วยกันก็มีเป็นจำนวนมาก
เมื่อก้าวผ่านประตูเข้าไปแล้วเหลียวมองดูโดยรอบก็สังเกตเห็นว่าคณะหนึ่งวัดระฆังมีเนื้อที่ราว ๆ 2 ไร่เศษ ทางด้านขวาเป็นกุฏิแถวสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ยาวจากด้านตะวันออกไปตะวันตก ทางด้านซ้ายมือสุดประตูรั้วก็เป็นกุฏิแถวสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ยาวจากด้านเหนือไปด้านใต้ ตรงกลางเป็นกุฏิหลังใหญ่ครึ่งตึกครึ่งไม้เช่นเดียวกัน มีผู้คนคึกคักอยู่ที่หน้าประตูกุฏิใหญ่นั้น
พอเลี้ยวซ้ายเดินไปครู่หนึ่งก็ถึงใต้ถุนกุฏิใหญ่ พวกเราเดินลอดใต้ถุนกุฏิแล้วเลี้ยวขวาก็เห็นตู้พระไตรปิฎกเก่าแก่คร่ำคร่าตั้งอยู่ที่ใต้ถุนทางด้านขวามือเรียงกัน 2 ใบ มองไปข้างหน้าก็เห็นกุฏิไม้อีกหลังหนึ่งอยู่ภายในรั้วรอบขอบชิด มีบริเวณพื้นที่ราว 60 ตารางวา ข้างหน้ามีประตูรั้ว 2 บานปิดสนิท
พอพวกเราเดินผ่านใต้ถุน หมาที่พระเลี้ยงไว้ที่กุฏิขวางเหนือ-ใต้ เห่าเสียงดังลั่นเป็นที่น่าสังเกตว่าหมากลุ่มนี้เป็นคนละกลุ่มกับหมากลุ่มของนายตี๋ และที่แปลกก็คือได้แต่เห่าอยู่ในบริเวณกุฏิ ไม่วิ่งออกมาข้างนอกเหมือนกับหมากลุ่มนายตี๋เลย
เสียงหมาเห่าคงได้ยินไปถึงเด็กวัดที่อยู่ภายในรั้วจึงออกมาถามว่ามาหาใคร พ่อบอกว่ามาหาพระมหาทรงธรรม์ เด็กวัดนั้นก็เปิดประตูให้พวกเราแล้วเชิญพวกเราเดินเข้าไปในบริเวณรั้วด้วยท่าทีที่เป็นมิตร
เด็กวัดนั้นคงสังเกตจากท่าทางและคำพูดของพวกเราแล้วรู้ว่าเป็นคนมาจากภาคใต้ และเด็กวัดนั้นก็เป็นคนภาคใต้ ด้วยเหตุนี้นอกจากท่าทีที่เป็นมิตรก็ยังใช้ภาษาถิ่นทางภาคใต้พูดจากันด้วยไมตรี
พอพวกเราเข้าพ้นประตูกุฏิธรรมนิวาสมาเท่านั้นก็สัมผัสถึงบรรยากาศที่สงบ สงัด และเย็นด้วยลมแม่น้ำที่พัดมาจากด้านหน้าเป็นที่ร่มรื่นสบายใจยิ่งนัก ความร้อนกายก็คลายลงไปโดยพลัน แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือความร้อนรุ่มที่กรุ่นอยู่ในอกก็ดูเหมือนว่าสร่างซาเป็นเย็นไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หลังจากไต่ถามข่าวคราวทางบ้านกันตามธรรมเนียมแล้ว พระมหาผวนได้แจ้งความเรื่องพระมหาผลว่าได้เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดแล้วเมื่อสองวันก่อน เห็นจะยังคงพักกับพระมหาทรงธรรม์อยู่ที่วัดระฆัง
ผมได้ยินคำว่าวัดระฆังก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที รู้สึกเหมือนมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ผูกพัน ราวกับว่าได้สัมผัสกับสิ่งซึ่งมั่นใจวางใจได้ว่าความทุกข์ร้อนของเราเห็นจะสร่างสิ้นลง และรู้สึกว่าอีกไม่นานช้าจะได้พบกับผู้ใหญ่ที่ไม่เคยรู้จักมาแต่ก่อนเลย
รู้สึกอย่างนั้นแล้วมือก็ยกขึ้นแตะที่หน้าอกโดยไม่ทันรู้ตัว เพราะจิตใต้สำนึกที่ผูกพันอยู่กับพระสมเด็จวัดระฆังยังฝังอยู่ในจิตสำนึกอย่างลึกซึ้ง ในใจก็นึกว่าสมเด็จวัดระฆังรูปนี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรหนอ จะได้มีโอกาสกราบท่านหรือไม่ แต่เมื่อได้ยินคำว่าวัดระฆังก็รู้สึกว่าอีกไม่นานไม่ไกลเท่าใดก็น่าจะได้มีโอกาสไปกราบสมเด็จแล้ว
พ่อได้ทราบความดังนั้นก็ดีใจ หลังจากพูดคุยอยู่กับพระมหาผวนครู่หนึ่งแล้วจึง รีบกราบลาพระมหาผวน พาผมและลูกผู้น้องออกจากวัดอัมรินทร์เพื่อจะไปหาพระมหาผลที่วัดระฆัง
ก่อนจะออกจากกุฏิ พระมหาผวนได้เดินตามมาส่งพ่อถึงประตูกุฏิและได้บอกว่าพระมหาผลคุ้นเคยเป็นเพื่อนสนิทกับพระมหาทรงธรรม์เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน คบหากันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเนื่องจากพระมหาทรงธรรม์เป็นพระที่เชี่ยวชาญในพระอภิธรรม ในขณะที่พระมหาผลเป็นพระนักเทศน์ ต้องพึ่งพาเสริมเติมความรู้ให้แก่กันและกัน แล้วบอกด้วยว่าพระมหาทรงธรรม์นั้นเป็นคนเจ้าระเบียบ จำพรรษาอยู่ที่คณะหนึ่ง วัดระฆัง
รถสามล้อพาพวกเราออกจากวัดอัมรินทร์มาตามถนนอรุณอัมรินทร์ ผ่านสี่แยกพรานนกราว ๆ กิโลเมตรเดียวก็ถึงประตูหน้าวัดระฆัง รถสามล้อเลี้ยวซ้ายเข้าทางประตูด้านหน้าซึ่งมีแต่ป้ายเล็ก ๆ บอกชื่อวัดระฆังโฆสิตาราม รถสามล้อแล่นมาตามซอยแคบ ๆ ราว 500 เมตรก็ถึงหน้าประตูคณะหนึ่ง แลเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาทอดยาวอยู่เบื้องหน้า และมีผู้คนกำลังเดินขึ้นจากท่าเรือวัดระฆัง ในขณะที่บางกลุ่มก็กำลังเดินไปที่ท่าเรือเพื่อจะข้ามฟากไปยังท่าช้างวังหน้า
ในขณะนั่งรถไปวัดระฆังนั้น ผมมีความรู้สึกที่อิ่มเอิบเบิกบานใจ เปี่ยมไปด้วยความเคารพศรัทธาที่มีมาช้านานแล้ว ดังนั้นพอรถจอดผมจึงรีบกระโดดลงจากรถแล้วหันหลังกลับไปมองทางด้านหลังที่เพิ่งผ่านมา เห็นทางด้านซ้ายมือเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถจึงยกมือขึ้นไหว้รำลึกถึงพระพุทธคุณ พร้อมกับภาวนาขึ้นในใจว่า พุทโธ เม สะระณัง วะรัง ซึ่งแปลว่าพระพุทธเจ้าคือที่พึ่งอันเกษมของข้าพเจ้า
ผมไหว้พระประธานในโบสถ์เสร็จแล้วก็เหลียวหน้ากลับมา เห็นพ่อกำลังควักเงินจ่ายค่ารถ ในพลันนั้นบังเกิดสายลมเย็นสายหนึ่งพัดโชยมาแต่ทางด้านแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งอยู่ด้านหน้าและมีสายลมเย็นอีกสายหนึ่งพัดมาแต่ด้านหลัง ลมทั้งสองสายปะทะกันก่อเป็นลมหมุนเล็ก ๆ หมุนเป็นเกลียวพัดเอาฝุ่นและหญ้าจากพื้นดินขึ้นไปบนฟ้าขนาดสูงราวห้าวา ทำให้ได้เห็นลมด้วยอาการดังนี้
โดยที่หามีใครเฉลียวใจแม้แต่สักน้อยนิดว่านั่นอาจเป็นอภินิหารแบบกระจุ๋มกระจิ๋มที่ได้เผชิญต่อหน้าต่อตาในเวลากลางวันแสก ๆ ก็ได้
เกลียวลมหมุนก่อตัวขึ้นแล้วก็เคลื่อนผ่านตัดหน้ารถสามล้อไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูคณะหนึ่งแล้วก็คลายตัวลง ฝุ่นและหญ้าก็ร่วงลงกับพื้นราวกับบอกว่าที่นี่แหละคณะหนึ่ง วัดระฆัง พ่อสังเกตเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงกล่าวว่านี่เป็นเทพยดาสังหรณ์คือเทวดามาบอกทางให้พวกเรา พูดแล้วต่างคนก็ต่างหัวเราะ เป็นทำนองว่าทุกคนก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้น
ปรากฏการณ์แปลก ๆ เช่นนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จนมีการตั้งขึ้นเป็นตำรับตำราพยากรณ์เหตุการณ์ร้ายดีสืบเนื่องกันมานับพัน ๆ ปี หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่รู้ในศาสตร์อันลี้ลับนั้นบางครั้งก็สามารถสัมผัสความมหัศจรรย์ได้อย่างชัดเจน
ดังเช่นที่ปรากฏเรื่องราวในวรรณคดีเรื่องสามก๊กเมื่อครั้งที่สิบขันทีก่อการจลาจลในปลายแผ่นดินของพระเจ้าเลนเต้ แล้วพรากเอาหองจูเหียบและหองจูเปียนสองพระราชบุตรซึ่งยังเยาว์วัยไปทิ้งร้างไว้กลางป่า
ในเวลาค่ำคืนเดือนมืดสองพระราชบุตรน้อยเกรงว่าจะพลัดหลงกันจึงเอาชายพระภูษาของทั้งสองพระองค์มาผูกกันเข้าไว้ แต่ก็มิรู้ที่จะไปแห่งหนตำบลไหนเพราะไม่รู้และไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในป่า ทั้งฟ้าก็มืดมิด เสียงสัตว์ป่านานาชนิดดังระงม ทั้งสองพระองค์เต็มไปด้วยความทุกข์ตรมพระทัย และหวาดเกรงภัยป่านานาประการ แต่ในพลันนั้นก็มีฝูงหิ่งห้อยบินตรงเข้ามาที่สองพระราชบุตร เกาะตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเคลื่อนตัวช้า ๆ ไปเบื้องหน้า
โบราณว่าแสงไฟน้อยย่อมสว่างในที่มืด ดังนั้นแสงหิ่งห้อยแม้น้อยนิดแต่เมื่อเกาะผนึกเข้าเป็นกลุ่มก้อนก็มีความสว่างพอได้เห็นหนทางอย่างสลัว ๆ กลุ่มหิ่งห้อยคล้อยตัวเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ พระราชบุตรพระองค์น้องช่างสังเกตเมื่อทรงเห็นเช่นนั้นจึงตรัสกับพระเชษฐาว่าการที่ฝูงหิ่งห้อยมาเกาะกลุ่มกันให้ได้เห็นเส้นทางแต่รางเลือน แล้วเคลื่อนตัวไปช้า ๆ เช่นนี้เห็นทีจะเป็นเทพยดามาอุ้มชูช่วยเหลือนำทางเป็นแน่แท้
ทั้งสองพระองค์จึงชวนกันเสด็จพระดำเนินตามกลุ่มหิ่งห้อยไป จนใกล้สางจึงเสด็จถึงชายป่าติดกับหมู่บ้านซึ่งเป็นบ้านของอดีตขุนนางในสำนักพระราชวังมาแต่ก่อน แต่ทนความชั่วร้ายและการกดขี่ข่มเหงของขบวนสิบขันทีไม่ได้ จึงกราบถวายบังคมลาออกจากราชการมาทำไร่ไถนาอยู่ชายป่านั้น
ทั้งสองพระองค์เสด็จพระดำเนินมาทั้งคืนด้วยความหนาวเหน็บ พระบาททั้งสองเจ็บปวดรวดร้าวด้วยโลหิตห้อพระบาทเนื่องจากไม่เคยเผชิญกับการเสด็จพระดำเนินในลักษณะนี้มาแต่ก่อนเลย พอถึงกองฟางข้างลานบ้านสองพระราชบุตรก็สิ้นพระกำลัง ล้มสลบลงที่กองฟางนั้น
ณ เวลาใกล้สางนั้นเองอดีตขุนนางที่ปลีกตัวออกจากราชการมาทำไร่ไถนาอยู่ชายป่ากำลังหลับสนิท แต่บังเกิดนิมิตในความฝันว่ามีพระอาทิตย์ถึงสองดวงร่วงลงมาจากฟ้าตกอยู่ที่กองฟางข้างบ้านชายป่าก็ตกใจตื่น เห็นเป็นนิมิตประหลาดจึงผลันออกจากบ้านวิ่งไปดูที่ลอมฟาง จึงได้พบกับพระราชบุตรทั้งสอง
เหตุการณ์ประหลาดที่ยกเป็นตัวอย่างนี้เป็นเรื่องที่มีมาช้านานและปรากฏอยู่ในหนังสือสามก๊กอย่างชัดเจน และเหตุการณ์แบบนี้ก็ยังคงมีเกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะสนใจสังเกตและเห็นได้หรือไม่เท่านั้น
ที่หน้าคณะหนึ่งมีแผงลอยขายกาแฟอยู่แผงหนึ่ง มีขนาดพื้นที่กว้างราว 6 เมตร ลึกราว 4 เมตร คนขายกาแฟดูท่าทางจะเป็นผัวเมียกัน ตัวผัวโพกผ้าพันแผลที่ศีรษะเหมือนกับถูกตีหัวมาใหม่ ๆ ผัวเมียคู่นี้ด่ากันไปพลางขายกาแฟกันไปพลาง ซึ่งคงจะเป็นเคล็ดเป็นแบบอย่างให้กับร้านค้าหลายแห่งนำมาใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ถึงขนาดที่อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนหนึ่งก็เคยจัดรายการแนะนำอาหารโดยตั้งชื่อรายการว่าชิมไปบ่นไปนั่นแหละ
ที่ร้านกาแฟมีผู้คนเกือบ 20 คนเล่นหมากฮอสและหมากรุกกันอยู่ ตั้งกระดานหมากฮอสเล่นอยู่ 2 กระดาน และตั้งกระดานหมากรุกเล่นอยู่ 1 กระดาน ทุกคนต่างสนใจอยู่กับหมากฮอส หมากรุก มิได้ใส่ใจเหตุการณ์ใด ๆ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
พ่อเดินเข้าไปถามคนขายกาแฟว่ากุฏิพระมหาทรงธรรม์อยู่ที่ไหน คนขายกาแฟผู้ชายท่าทางมีอัธยาศัยดีรีบกุลีกุจอชี้ไม้ชี้มือเข้าไปทางประตูคณะหนึ่ง แล้วบอกว่าเดินเข้าประตูไป เลี้ยวซ้าย ลอดใต้ถุน แล้วเลี้ยวขวาตรงเข้าไปก็จะเป็นประตูกุฏิชื่อว่ากุฏิธรรมนิวาส กุฏินี้เป็นที่พำนักของพระมหาทรงธรรม์
บอกทางแล้วคนขายกาแฟผู้นั้นก็ร้องตะโกนดังลั่นว่า เฮ้ย! ไอ้ตี๋ เอ็งไปช่วยดูหมาให้หน่อย พอสิ้นเสียงก็มีชายอีกคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูคณะหนึ่ง เป็นคนอายุราว 60 ปี ผิวเนื้อดำแดง รูปร่างผอมกะหร่อง แต่ท่าทางจะไม่สมประกอบเท่าใดนัก พูดจาก็ไม่ค่อยชัด เห็นพวกเราก็ยิ้มให้ ปรากฏว่าคนที่ชื่อตี๋นี้เป็นคนฟันหรอหมดทั้งปากจึงทำให้ดูแก่เกินวัย เพราะทราบภายหลังว่าแท้จริงแล้วนายตี๋มีอายุเพียง 50 นิดหน่อยเท่านั้น
เมื่อนายตี๋เห็นพวกเราก็ชี้มือไปตามทางที่คนขายกาแฟบอก พ่อเห็นอาการดังนั้นจึงพาพวกเราเดินตามคนชื่อตี๋เข้าไป
พอก้าวพ้นประตูคณะหนึ่งเข้าไปเท่านั้น หมาราว 30 ตัวก็วิ่งตรูตรงเข้ามาที่พวกเรา ได้ยินเสียงนายตี๋พูดว่า “เฮ้ย! แขกพระ” แล้วนายตี๋ก็ทำเสียงจุ๊ปาก หมาเหล่านั้นก็พากันกระดิกหางเป็นทีว่าเป็นมิตรและยินดีต้อนรับ
ดูไปแล้วหมาเป็นสัตว์ที่มีจิตใจเปิดเผย ตรงไปตรงมา ลงว่ากระดิกหางเข้ามาแล้วก็คือการบอกกล่าวให้ได้รู้กันว่าเป็นมิตร เป็นพวกเดียวกัน จะไม่กัด จะไม่ทำร้ายไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง เพราะเหตุนี้จึงมีผู้คนเป็นจำนวนมากรักหมาและเลี้ยงหมา ให้ความใกล้ชิดสนิทสนม ถึงขนาดกินนอนด้วยกันก็มีเป็นจำนวนมาก
เมื่อก้าวผ่านประตูเข้าไปแล้วเหลียวมองดูโดยรอบก็สังเกตเห็นว่าคณะหนึ่งวัดระฆังมีเนื้อที่ราว ๆ 2 ไร่เศษ ทางด้านขวาเป็นกุฏิแถวสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ยาวจากด้านตะวันออกไปตะวันตก ทางด้านซ้ายมือสุดประตูรั้วก็เป็นกุฏิแถวสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ยาวจากด้านเหนือไปด้านใต้ ตรงกลางเป็นกุฏิหลังใหญ่ครึ่งตึกครึ่งไม้เช่นเดียวกัน มีผู้คนคึกคักอยู่ที่หน้าประตูกุฏิใหญ่นั้น
พอเลี้ยวซ้ายเดินไปครู่หนึ่งก็ถึงใต้ถุนกุฏิใหญ่ พวกเราเดินลอดใต้ถุนกุฏิแล้วเลี้ยวขวาก็เห็นตู้พระไตรปิฎกเก่าแก่คร่ำคร่าตั้งอยู่ที่ใต้ถุนทางด้านขวามือเรียงกัน 2 ใบ มองไปข้างหน้าก็เห็นกุฏิไม้อีกหลังหนึ่งอยู่ภายในรั้วรอบขอบชิด มีบริเวณพื้นที่ราว 60 ตารางวา ข้างหน้ามีประตูรั้ว 2 บานปิดสนิท
พอพวกเราเดินผ่านใต้ถุน หมาที่พระเลี้ยงไว้ที่กุฏิขวางเหนือ-ใต้ เห่าเสียงดังลั่นเป็นที่น่าสังเกตว่าหมากลุ่มนี้เป็นคนละกลุ่มกับหมากลุ่มของนายตี๋ และที่แปลกก็คือได้แต่เห่าอยู่ในบริเวณกุฏิ ไม่วิ่งออกมาข้างนอกเหมือนกับหมากลุ่มนายตี๋เลย
เสียงหมาเห่าคงได้ยินไปถึงเด็กวัดที่อยู่ภายในรั้วจึงออกมาถามว่ามาหาใคร พ่อบอกว่ามาหาพระมหาทรงธรรม์ เด็กวัดนั้นก็เปิดประตูให้พวกเราแล้วเชิญพวกเราเดินเข้าไปในบริเวณรั้วด้วยท่าทีที่เป็นมิตร
เด็กวัดนั้นคงสังเกตจากท่าทางและคำพูดของพวกเราแล้วรู้ว่าเป็นคนมาจากภาคใต้ และเด็กวัดนั้นก็เป็นคนภาคใต้ ด้วยเหตุนี้นอกจากท่าทีที่เป็นมิตรก็ยังใช้ภาษาถิ่นทางภาคใต้พูดจากันด้วยไมตรี
พอพวกเราเข้าพ้นประตูกุฏิธรรมนิวาสมาเท่านั้นก็สัมผัสถึงบรรยากาศที่สงบ สงัด และเย็นด้วยลมแม่น้ำที่พัดมาจากด้านหน้าเป็นที่ร่มรื่นสบายใจยิ่งนัก ความร้อนกายก็คลายลงไปโดยพลัน แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือความร้อนรุ่มที่กรุ่นอยู่ในอกก็ดูเหมือนว่าสร่างซาเป็นเย็นไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว