xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองเดรัจฉานทำให้เมืองไทยต้องมีปัญหา

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

มีการพูดถึงเรื่องของบ้านเมืองในระยะไม่กี่วันมานี้ ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นตามร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านกล้วยปิ้ง ทุกคนเกิดความสงสัยว่ามันอะไรกันจึงมีเรื่องเอิกเกริกขึ้น และพูดกันมากในเรื่องรัฐบาลและบ้านเมืองอึกทึกครึกโครมไปหมด?

วุ่นกันไปหมด

เสียเวลาอันมีค่าที่จะทำมาหากินของผู้คนไปตามๆ กัน

แม้แต่ผู้คนก็ดูเหมือนจะแบ่งแยกออกเป็นพวกเป็นฝ่ายกันไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้พูดกันก็คือ ความยากจนของผู้คน และความชั่วสารพัดชนิดที่เราแย่งกันทำอย่างไม่มีเวลาหยุด แม้แต่การรีดไถรถประจำทางก็ทำโดยนายตำรวจ นายทหารชั้นนายพันโท ซึ่งปรากฏว่าทางการของไทยสร้างคนเหล่านี้มาปล้นเหมือนกับที่รัฐบาลกำลังปล้นชาติปล้นประชาชนกันอยู่ทุกวันนี้เท่านั้นเอง

ก็มีคำตอบที่แน่ชัดจากประชาชนคำหนึ่งซึ่งก็คงจะไม่ผิดนั่นคือทุกอย่างเกิดขึ้นจากปัญหาทางการเมืองที่เลวที่สุดของไทยในขณะนี้

การเมืองในบ้านเมืองของเรา เป็นการเมืองที่แย่งกันกิน แย่งกันปล้น แย่งกันกอบโกย ทะเลาะเบาะแว้ง ด่าทอกันเพื่อความสุขความเจริญของนักการเมืองแต่ละคนแต่ละพวก

เราเรียกระบบการเมืองของเราที่กำลังนำมาใช้กันอยู่ทุกวันนี้ว่ามันคือการเมืองใน ระบอบประชาธิปไตย

แต่คนบางคนบอกผมว่ามันคือการเมืองเดียรัจฉานหรือการเมืองของสัตว์เดียรัจฉาน

เพราะว่าพฤติกรรม การแสดงออก ทั้งกาย วาจา ไม่ว่าจะเป็นใจของนักการเมืองไทยในขณะนี้ เป็นการกระทำหรือเป็นพฤติกรรมที่สัตว์เดียรัจฉานทุกเพศกำลังกระทำกันอยู่ เดียรัจฉานของเรามีมากมาย เฉพาะที่เห็นๆ กันก็คือเดียรัจฉานที่อยู่ในสภาทั้งสูงและต่ำ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง

ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอยู่ที่ไหน เดียรัจฉานพวกนี้จะไม่คำนึงถึง แม้แต่จะเอ่ยปากออกมาสักคำหนึ่งเพื่อปกป้องประเทศชาติประชาชนตามหน้าที่ก็ไม่ยอมทำ

ผมเป็นคนเขียนหนังสือที่ใช้ภาษารุนแรง ก็เขียนมาเป็นเวลานานหลายสิบปี นักการเมืองชาติชั่วของชาติส่วนหนึ่งได้รับรสและฉิบหายกันไปแล้วตามลำดับ มันไม่ใช่เพราะการเขียนของผม และไม่ใช่เจตนารมณ์ของผมที่ต้องการใช้ภาษาเหล่านี้ แต่บังเอิญว่าผมเกิดมาเป็นคนชั้นต่ำ ไม่มีสมบัติผู้ดี พูดทุกอย่างจะพูดอย่างชาวบ้านมาตลอด ก็ไม่อยากจะเลิกมันเสียเพราะภาษาชาวบ้านของไทยนั้นมันถึงใจพระเดชพระคุณอย่างยิ่ง

อย่างคำว่าประชาธิปไตยเดียรัจฉานที่ผมใช้นี้ ผมไม่ได้ตั้งขึ้นมาเอง แต่มีคนมาบอกว่ามันมีแบบอย่างและมีคนใช้กันมาแล้วในระบอบประชาธิปไตยระบบนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน คำเดิมของมันเป็นคำภาษาอังกฤษที่บอกนิสัยสันดานของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสมัยนั้นมาจากคำว่า Brazen Ambition ซึ่งจะหมายถึงอะไรหรือใครก็ได้ที่มีความต้องการและมีความปรารถนาที่ไม่มียางอายหรือทำอะไรได้ทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ของตัวเอง ในภาษาบาลีหรือในทางพระแปลว่า “การมีความปรารถนาอันลามก” ดูเหมือนในวงการเมืองได้ใช้คำนี้กันมาในสมัยมหาราชินีแคทรีนของรัสเซียตั้งแต่ปี ค.ศ. 1729 หรือพ.ศ. 2272

และมาถึงทุกวันนี้ ในประเทศด้อยพัฒนาทั่วไป ก็สามารถนำมาใช้ได้อย่างดี เพราะมันจะไม่มีอะไรผิดแม้แต่น้อย

มีคนบอกให้ใช้คำนี้เมื่อจะเรียกระบอบประชาธิปไตยเมืองไทยซึ่งเริ่มต้นด้วยการเลือกตั้งซื้อเสียง และซื้อทุกอย่างที่ไม่มีอะไรแตกต่างกับเดียรัจฉานในการทำมาหากินที่เกี่ยวกับศีลธรรม คุณธรรมและยางอายใดๆ ที่เรารู้เห็นกันอยู่ นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยหน้าด้าน และทำตัวเป็นเดียรัจฉานกันอย่างสนุกสนาน จะไม่ยอมเชื่อไม่ยอมรับฟังเรื่องอื่นๆ แม้จะมีคนรู้เห็นกันทั้งชาติทั้งประเทศก็ยังไม่ยอมรับและบอกกล่าวยังไงก็ไม่ยอมรับ

ยิ่งไปกว่านั้นปรากฏว่ายังมีพวกต่างๆ พากันเอาดอกไม้พวงมาลัยไปบูชา ด้วยหวังว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีคนต่อไปในงานฌาปนกิจศพทางการเมืองอันสำคัญครั้งนี้ ทำให้เหิมเกริมหนักขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของความวิบัติฉิบหายของบ้านเมืองก็พยายามเลียให้มันหนักยิ่งขึ้นไปอีก

ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยเดียรัจฉาน

เขาจะเล่นกันอย่างนี้ตลอดไป

ผู้แนะนำให้ความรู้เพิ่มเติมต่อไปว่าลักษณะไร้ยางอายของนักการเมืองพวกนี้อย่างน้อยจะประกอบไปด้วย (1) Hypocricy คือการเสแสร้งแกล้งทำและการหลอกลวงเลียทุกรูปแบบ (2) Vanity อวดดีหรือหยิ่งยโส ถือว่ากูแน่กว่าใคร (3) Coceit ความหยิ่งทระนงและเพ้อฝัน (4) Manipulation กะล่อนและหลอกแดกไม่สิ้นสุด (5) Exploitation แสวงหาประโยชน์และทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

ยิ่งกว่านั้นก็แถมด้วยการกัดการเห่า หักหลังอาฆาตพยาบาท เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ที่คิดจะทำกันไม่หยุดนอกจากเวลาขึ้นเตียงนอนไปแล้ว

ตอนนี้ก็มีเรื่องแปลกอย่างมากที่เกิดขึ้น โดยความยุ่งยากที่มิใช่ประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แต่เป็นเรื่องที่นักการเมืองประเภทเดียรัจฉานกับลูกน้องบริวารพวกหนึ่งกำลังเอาชาติไปขายหรือขายไปเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าดิน ท้องฟ้า อากาศ แผ่นดิน และทรัพย์สินของคนไทยทั้งชาติ ขายกันอย่างฉิบหายไม่มีอะไรเหลือ

ช่วยกันขาย แยกกันขายไม่ว่าพรรคพวกเพื่อนฝูง โคตรเหง้าเหล่ากอ และพ่อแม่ลูกเมียขายกันแหลก บาทเดียวมันก็ยังขายกันเพลิดเพลินไป

ตัวบทกฎหมายและวัฒนธรรมประเพณีใดๆ จะไม่สนใจ อยากจะเหยียบอะไรก็เหยียบ อยากจะข้ามอยากจะทำอะไรก็ทำ

เฉพาะอย่างยิ่งการพยายามโกหกหลอกลวงประชาชนที่ซื่อสัตย์สุจริตทั้งชาติให้ทุกคนยอมรับในความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ของตัวเองและพรรคพวก โดยไม่ต้องซื้อเสียง แต่โดยการบังคับให้ครูโรงเรียนทั่วประเทศเป็นแสนๆ คนคอยไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ด้วยการโกหกหลอกลวงให้บรรดาครูทั่วประเทศเชื่อว่าพวกตัวเท่านั้น เป็นผู้ที่จะนำประเทศชาติให้รอดไปได้อีกชั่วกัลปาวสาน ด้วยการโอนครูอาจารย์นับเป็นแสนๆ คนให้ไปอยู่ในความควบคุมดูแลของกำนันผู้ใหญ่บ้านโดยการพยายามที่จะออกกฎหมายบังคับให้ครูหมดอำนาจหรือยอมรับอำนาจของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเพื่อที่จะให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านมาสนับสนุนการเลือกตั้งของตัวเองเพื่อจะครองแผ่นดินต่อไป ฯลฯ

แต่ในขณะเดียวกัน ประชาชนทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นคนยากคนจนหรือครู โรงเรียน และบรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ได้ปล้นชาติขายชาติ ทุกคนได้ร่วมมือร่วมใจกันขับไล่ ทั้งโดยวาจา การรวมตัว การสาปแช่งให้พวกนักการเมืองเดียรัจฉานเหล่านี้ลาออก แต่ด้วยความอดทน ความหน้าด้านและการเหยียดหยามคนไทยว่าทุกคนที่เขาลุกขึ้นมาเรียกร้องนั้นสิ้นคิดหรือไม่มีน้ำยา ดูเหมือนว่าแม้แต่พระสงฆ์องคเจ้าบางวัดยังพร้อมรวมกลุ่มมาร่วมขับไล่อย่างเป็นทางการร่วมกันกับประชาชน

ในขณะที่นักการเมืองเดียรถีย์ที่ดื้อด้านที่ว่านั้นมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

มันเป็นเรื่องอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น

มีคนบอกผมว่ามันช่างกล้าหาญยิ่งใหญ่เกินคน ไม่รู้ว่ามันกินเหล็กไหลมาจากไหน

หรือว่าคนไทยที่พร้อมกันบุกขึ้นมาขับไล่นั้น มันโง่เขลาเบาปัญญาไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกหรืออะไรชั่วอะไรดีแบบนั้น?

นั่นก็เป็นแง่มุมหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเดียรัจฉาน ทั้งๆ ที่เรากำลังเป็นเหยื่อของมันอยู่

ถ้าเราจะใช้สติปัญญาหรือยอมรับเหตุผลในการต่อสู้ขับไล่ระบอบประชาธิปไตยเดรัจฉานที่ดื้อด้านดังกล่าวนี้ น่าจะมีข้อความหนึ่งที่มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าผู้คนที่ลุกฮือขึ้นมาทั้งชาตินั้น ได้กระทำการที่เหมาะสมอย่างยิ่ง

นั่นคือรายงานจากผู้อ่านหนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการรายวัน” ฉบับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งมีข้อความบางตอนว่า

“ได้อ่านจดหมายเปิดผนึกของคณาจารย์มหาวิทยาลัยที่ล่ารายชื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรโดยเนื้อหาสรุปความสั้นๆ แต่ชัดเจนทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าบุคคลคนนี้หมดความชอบธรรม ไม่อาจจะเป็นผู้นำของประเทศได้ต่อไปอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาได้นำความเชื่อมั่นศรัทธาที่ประชาชนเคยมอบให้ มาทำลายเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ทำลายการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนได้เสียสละเลือดเนื้อแลกมา

ใช้เสียงข้างมากแทรกแซงและครอบงำวุฒิสภา บั่นทอน ลบล้างความเป็นอิสระขององค์การ ตามรัฐธรรมนูญ ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน ที่สำคัญคือยังปิดกั้นการชุมนุมอย่างสันติตามสิทธิแห่ง กฎหมาย หว่านเงินไปทุกหย่อมหญ้า สร้างหนี้สินเป็นเหตุให้สังคมไทยเผชิญความวิบัติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มีการคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง มีการอาศัยนโยบายของรัฐและจะต่อรองกับต่างประเทศ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนที่คับแคบอย่างขาดจิตสำนึกของผู้นำที่ดี”

ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยเดรัจฉานที่ทำให้บ้านเมืองวิบัติ

เรายังจะต้องอยู่กับมันอีกหรือ?
กำลังโหลดความคิดเห็น