xs
xsm
sm
md
lg

ทรท.ชี้ซื้อรถดับเพลิงผิดมติ ครม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - “ยุทธพงศ์-ศิธา” บุกท่าเรือแหลมฉบังตรวจสอบรถดับเพลิงฉาว ฟันธงทำผิดมติครม.ชัดเจน เหตุเป็นรถที่ทำในไทย “อภิรักษ์” ย้ำทุกอย่างเกิดขึ้นยุคผู้ว่าฯ คนก่อน แถมครม.ยังให้ความเห็นชอบ ด้านรองปลัดกทม.แจงเหตุที่ต้องเจรจาเพราะต้องการเรียกสิทธิประโยชน์เพิ่ม ไม่ใช่รับใต้โต๊ะ ขณะที่็"คงศักดิิ์"ขึงขัง ตั้ง กก.สอบอั้ว 16 โครงการแต่อ้อมแอ้มสอบทุจริตรถดับเพลิงสมัย ทรท. รับผิดชอบ ประกาศถ้ามหาดไทยผิดก็ต้องจัดการ

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวถึงกรณีการจัดซื้อรถดับเพลิงมูลค่า 6,700 ล้านบาทว่า ขั้นตอนการอนุมัติโครงการที่ได้ดำเนินการตั้งแต่ก่อนที่ตนเองจะเข้ามารับตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบการลงนามในสัญญา การเปิด L/C การทำหนังสือทบทวนไปที่กระทรวงมหาดไทย การตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาเพิ่มผลประโยชน์ให้กับกทม.แล้ว แต่ไม่สามารถยกเลิกการซื้อรถดับเพลิงในครั้งนี้ได้

“เรื่องนี้เนื่องจาก เป็นการอนุมัติโดยมติครม. มีการทำบาร์เตอร์เทรด แล้วผมก็ได้ส่งหนังสือทบทวนไปยังมหาดไทย และเรื่องดังกล่าวก็ได้มีการร้องเรียนไปที่ปปช. แต่คำตอบที่ออกมาก็บอกว่าไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงได้ขณะเดียวกันตอนที่กทม.เจรจากับบริษัทสไตเออร์ ซึ่งได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกเข้ามาร่วมพิจารณาถึงรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่สั่งซื้อว่าจะสามารถขอยกเลิกหรือปรับปรุงบางรายการได้หรือไม่ ซึ่งในข้อสัญญาไม่สามารถทำได้ในขณะนั้น จึงเป็นที่มาของการชะลอเป็น L/C ตลอดจนการทบทวนโครงการในสาระสำคัญที่กทม.สามารถทำได้”

สำหรับความเคลื่อนไหวของนายสมัคร สุนทรเวช ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรายการ ็คิดตามวันิ ที่มีนายสมัครและนายดุสิต ศิริวรรณเป็นพิธีกรนั้น นายดุสิตได้ยกข้อสังเกตขึ้นมาว่า ในสมัยที่นายสมัครยังเป็นผู้ว่าฯ นั้น ได้ลงนามในสัญญาการซื้อขายรถดับเพลิงเป็นจำนวนเงิน 6,700 ล้านบาทในวันสุดท้ายของการรักษาการตำแหน่งผู้ว่าฯ คือ วันที่ 27 ส.ค.2547 ว่า การลงนามในสัญญาซื้อขายนั้น การซื้อขายจะกระทำได้ต่อเมื่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องเปิด L/C (Letter of credit) เสียก่อน แต่นายสมัครยังไม่ได้เปิด L/C กับบริษัทผู้ซื้อขาย ดังนั้น ถือว่าการซื้อขายยังไม่สมบูรณ์

พร้อมกันนี้ นายดุสิตยังได้ตั้งกระทู้ถามนายอภิรักษ์ว่า ถ้าเห็นว่าสัญญาการซื้อขายดังกล่าวหากเป็นสัญญาที่ กทม.เสียเปรียบ และทำให้ต้องสูญเงินอีก 2,000 ล้าน เหตุใดถึงไม่ระงับโครงการ และที่น่าสังเกตอีกจุดหนึ่ง คือ ทำไมพอได้เป็นผู้ว่าฯ แล้วไม่เปิด L/C เลย ทำไมต้องรอเวลา

ที่สำคัญคือ การที่ส่งคนไปติดต่อกับบริษัทที่ซื้อขายอย่างน้อย 3 หน มีการเรียกรับอะไรหรือไม่ แล้วการที่ผู้ว่าฯ ลงนามก่อนปลัด กทม.ถือเป็นการเซ็นมั่ว เซ็นข้ามหัวกันหรือเปล่า

ขณะที่นายอนันต์ ศิริภัสราภรณ์ รองปลัดกทม.ได้ออกมาตอบโต้นายสมัครว่า
การที่ผู้บริหารกทม.ชุดปัจจุบันได้เจรจาติดต่อกับบริษัทซัพพลายเออร์ในการจัดซื้อรถดับเพลิงหลายครั้งด้วยกันนั้น ไม่ได้วิ่งเต้นเพื่อเรียกรับส่วนแบ่ง แต่เป็นการเจรจาเพื่อให้ได้สิทธิพิเศษบางอย่างเพิ่มเติม เช่น การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของกทม. โดยไม่ได้ผิดไปจากสัญญาเดิม ส่วนการที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันไม่ยับยั้งการเปิด L/C เนื่องจากมีการเซ็นลงนามตั้งแต่ผู้บริหารชุดก่อนแล้ว และจะต้องมีการเปิด L/C ให้ได้ภายใน 30 วัน หลังทำสัญญา

ระบุผิดมติครม.

น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวหลังจากเดินทางไปถึงท่าเรือแหลมฉลังว่า ได้ตรวจสอบรถมิตซูบิชิ ด้วยการเปิดฝากระโปรงหน้าพบว่ารถดังกล่าวผลิตโดยบริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยติดตราสัญลักษณ์อย่างชัดเจน อีกทั้งยังพบว่าพวงมาลัยรถ อยู่ที่ด้านขวา ซึ่งเป็นลักษณะของการผลิตรถในประเทศไทย จึงได้มีการถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานอย่างละเอียด

ทั้งนี้ สิ่งที่พบแสดงให้เห็นว่าขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีที่ระบุว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยต้องสั่งซื้อในประเทศไทยเท่านั้น เว้นแต่สินค้าที่ผลิตในต่างประเทศก็ให้มีนำเข้าโดยจัดส่งมาประกอบในประเทศไทย หากเป็นรถดับเพลิงที่ผลิตในไทยโดยรวมอุปกรณ์และภาษีแล้ว จะมีราคาคันละไม่เกิน 1.6 ล้านบาท แต่กลับพบว่าราคารถดับเพลิงที่ตรวจสอบพบนั้นมีมูลค่าสูงถึงเกินจริงถึง 5.8 ล้านบาทต่อคัน เนื่องจากนำรถที่ผลิตในไทยจัดส่งไปให้ต่างประเทศแล้วนำกลับมาขายในประเทศไทยอีกครั้ง โดยมีการจัดซื้อรถทั้งหมด 176 คัน ทำให้มีการจัดซื้อแพงกว่าราคาจริงถึง 2 พันล้านบาทซึ่งยังไม่รวมค่าภาษี 1 พันกว่าล้านบาท

“ผมเชื่อว่าจะต้องมีคนโกหกหนึ่งคนเพราะนายสมัครออกมาระบุว่าไม่เคยลงนามในสัญญาดังนั้นจึงต้องดูว่าใครเป็นผู้ลงนามทำให้เกิดผลเสีย 2 พันล้านบาทบุคคลนั้นต้องรับผิดชอบ”

จากนั้นนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และคณะได้เดินทางมาสมทบ และร่วมตรวจสอบ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า เรื่องนี้ผิดไปจากมติ ครม.ซึ่งถือว่ามีความผิดอย่างแน่นอน แม้สัญญาจะเขียนอย่างไรไม่เกี่ยว ต้องยึดมติ ครม.เป็นหลัก

“สรุปว่าวันนี้ 1. มีการแหกตาคนไทย 2.ของแพง เรื่องทั้งหมด คุณสมัครต้องรับผิดชอบ ที่คุณสมัครและคุณดุสิต พูดในรายการทีวี บอกว่ามีคนระดับบิ๊กของ กทม.สั่งทบทวนแอลซี และสั่งปลัด กทม.ให้เปลี่ยนแอลซี ตรงนี้ของเรียกร้องให้คุณสมัครเอ่ยชื่อมาเลย อย่าอ้างคนนั้นคนนี้เพราะวันนี้คุณสมัครไม่ใช่นักการเมืองแล้ว แต่มาทำหน้าที่ของสื่อก็ไม่ควรที่จะพูดพาดพิง อย่าพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น และขอเรียกร้องให้ผู้ว่า กทม.อย่ารีบนำรถออกจากศุลกากร จนกว่าจะสอบสวนหาตัวคนผิดได้ เพื่อไม่ต้องการให้มีการกลบเกลื่อนหลักฐาน”

“คงศักดิ”ใบ้กิน

พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงการประมูลโครงการ ของ กทม.มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท โดยมีนายสุรพล กาญจนะจิตรา หัวหน้าผู้ตรวจราชการ เป็นประธาน หากตรงไหนไม่ถูกต้องก็ต้องเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้ทราบข้อมูลที่แท้จริง

ส่วนกรณีความผิดปกติในการจัดซื้อรถดับเพลิงของ กทม. 315 คัน เรือ 30 ลำ รมว.มหาดไทย ตอบแบบอ้อมแอ้มว่าจะมอบหมายเพิ่มเติมให้คณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบด้วย หากเรื่องอะไรไม่ถูกต้องก็ต้องเข้าไปตรวจสอบ แต่ในขั้นต้นได้รับรายงานว่าอาจจะเกิดจากการตรวจรับมอบสินค้าที่ไม่ตรงกับสเปกที่สั่งซื้อไป

สำหรับปัญหาเรื่องรถดับเพลิงใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเพราะเกิดขึ้นในสมัย นายโภคิน พลกุล เป็นรมว.มหาดไทย นายประชา มาลีนนท์ รมช.มหาดไทย ที่กำกับดูแล โดยมีนายสมัครเป็นผู้ว่าฯกทม.ในยุคนั้นพล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวว่า ต้องดูผลการสอบสวนก่อนเพราะมีหลักฐานการกำหนดสเปกที่แน่นอนว่า ออกมาอย่างไร การดำเนินเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเรื่องทั้งหมดคณะกรรมการฯจะเป็นผู้สรุป หากไปด่วนสรุปจะเกิดความผิดพลาด และมีผลทางกฎหมาย ถ้าหากกระทรวงมหาดไทยผิดก็ต้องยอมรับผิดตามข้อเท็จจริง

กทม.ท้าพิสูจน์ป้ายจราจรอัจฉริยะ

สำหรับเรื่องป้ายอัจฉริยะนั้น นายอภิรัตน์ ศิวพรพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) กทม. กล่าวชี้แจงว่า การประกวดราคาครั้งนี้โปร่งใสและเป็นธรรม โดยไม่ได้ใช้งบประมาณการก่อสร้างจากกทม.เลย แต่เป็นการให้เอกชนลงทุนทั้งหมด โดยกทม.ให้เอกชนได้รับสิทธิจากพื้นที่โฆษณาบนหน้าจอป้ายจราจรอัจฉริยะ ขนาดไม่เกินร้อยละ 30 ของพื้นที่หน้าจอแสดงข้อมูลการจราจร และตาม TOR ในการต่ออายุสัญญาครั้งที่ 1 อีก 3 ปี ผู้รับสิทธิต้องเพิ่มค่าเตอบแทนรายปีและค่าใช้สิทธิรายเดือนอีกร้อยละ 10 ของค่าตอบแทนและค่าใช้สิทธิที่เสนอครั้งแรก และในการต่ออายุสัญญาครั้งที่ 2 อีก 3 ปีผู้รับสิทธิต้องเพิ่มค่าตอบแทนและค่าใช้สิทธิรายเดือนอีกร้อยละ 20 ของค่าตอบแทนและค่าใช้สิทธิที่ได้ต่ออายุสัญญาครั้งที่ 1

เอกชนที่รับสิทธินี้ไปถือได้ว่าเสี่ยงพอสมควรเพราะไม่สามารถคาดการได้ว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ซึ่งขณะนี้ทราบว่าทางบริษัทได้ลงทุนไปเกือบ 300 ล้านบาท จากที่เคยกำหนดไว้เพียงเกือบ 200 ล้านบาท และขณะทางบริษัทแจ้งว่ามีโฆษณามาลงเพียง 2 รายระยะเวลา 3 เดือน มีรายได้ ประมาณ 5 ล้านบาท ซึ่งถ้าธุรกิจนี้ไปได้ดี เอกชนจะมีจุดคุ้มทุนใน 3-4 ปี

สภากทม.ชี้ดีเอสไอทำพิลึก

นายอภิชาติ  หาลำเจียก  ส.ก.เขตจตุจักรในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาข้อเท็จจริงการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของสำนักการโยธา 16 โครงการ กล่าวภายหลังเชิญคุณหญิงณฐนนท เข้าชี้แจงว่า การเข้ามาตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นั้นปลัดกทม.ยืนยันว่าไม่มีหนังสือที่เป็นเอกสาร โดยทางดีเอสไอบอกว่าขออนุญาตปลัดกทม.แล้ว

ด้านนายนวรัตน์  อยู่บำรุง  ส.ก.เขตหนองแขม กล่าวว่า กระบวนการตรวจสอบมีหลายหน่วยงาน ดีเอสไอขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม เป็นเครื่องมือของรัฐบาล วันนี้ดีเอสไอเข้ามาโดยไม่มีหนังสือที่เป็นหลักฐาน โดยเข้ามาขอเอกสารจากสนย.และทำการสอบสวนทั้งหมด ซึ่งเป็นกระบวนการที่น่าสงสัย เพราะการดำเนินงานต้องมีกฎระเบียบรองรับ การเข้าดำเนินการแบบนี้เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

“วันดีคืนดีมีการเข้าไปอ้างกับข้าราชการกทม.ว่าต้องมีการตรวจสอบ ถ้ามีกฎหมายรองรับเราก็ยินดีให้ความร่วมมือ ถ้าเขาทำโดยไม่มีอำนาจกฎหมายรองรับก็ไม่ได้ ดังนั้น ดีเอสไอมีความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการด้วย”
กำลังโหลดความคิดเห็น