xs
xsm
sm
md
lg

"ป้าอุ" จะแซวทักษิณ?

เผยแพร่:   โดย: สุวัฒน์ ทองธนากุล

คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้

ถ้าย้อนอดีตไปในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีปีแรกๆ ภาพลักษณ์ความเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ และทุ่มเททำงานที่ดูมุ่งให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยส่วนรวม

เป็นภาพของนักการเมืองที่สง่างาม เป็นแบบอย่างของนักการเมืองยุคใหม่ ที่มีเป้าหมายรักษาผลประโยชน์เพื่อสังคมและประเทศชาติ และบริหารงานโดยยึดหลัก "ธรรมาภิบาล"

ภาพของผู้มีประสบการณ์ความสามารถในการบริหารธุรกิจจนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยระดับต้นๆ ของประเทศ และดำเนินการบริหารเชิงรุกจนดูเหมือนจะเป็นดาวรุ่งของผู้นำประเทศในภูมิภาคนี้ด้วยซ้ำ

ในยุคนั้นคงมีคนอธิษฐานว่า อยากเกิดเป็นคนตระกูลชินวัตร

ขนาดวงการเพลงลูกทุ่งยังมีการแต่งเพลง "สะใภ้นายก"

แสดงให้เห็นความเป็นขวัญใจของคนในสังคมอย่างกว้างขวาง

แต่ถึงวันนี้ ไม่แน่ใจว่าจะมีใครอยากอธิษฐานทำนองนั้นอีก

เพราะข่าวสารและเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทบาทการใช้อำนาจและเรื่องเชิงผลประโยชน์ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับเครือญาติคนในตระกูลชินวัตรของนายกรัฐมนตรีและคนใกล้ชิด เป็นประเด็นที่น่าสงสัยในความถูกต้องชอบธรรม

ความเป็นนักการเมือง จึงเป็นบุคคลสาธารณะที่สังคมติดตามตรวจสอบและวิจารณ์ได้เป็นธรรมดา เมื่อมีสิ่งส่อเค้าน่าสงสัยในความถูกต้อง ที่ยังไม่ถูกชี้แจงทำความกระจ่าง

ความน่าเชื่อถือจึงถดถอยลง

อย่างกรณีการขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของคนในตระกูลชินวัตรและดามาพงษ์ให้กับกลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์ เป็นมูลค่ากว่า 7.3 หมื่นล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขายหุ้นครั้งนี้ โดยอาศัยหลักเป็นการขายโดยบุคคลผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ที่กระแสสังคมยังคงข้องใจในการชี้แจงว่า ทุกอย่างทำถูกต้องตามกฎหมายที่ยืนยันจากปากนายกรัฐมนตรี จึงไม่สามารถลดกระแส ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของ "คนอิจฉา" อย่างที่นายกฯ บอกนักข่าว ด้วยความหงุดหงิด

ก็เพราะมีการใช้ลูกเล่นทางการเงิน สร้างบริษัทร่างทรงและมีการผ่านเงินไปยังบริษัทตัวแทน คือ ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ และเอสแทน โฮลดิ้ง รวมทั้งการให้เงินกู้ระดับ 2 หมื่นล้านบาทให้บริษัทกุหลาบแก้วเพื่อเข้าไปถือหุ้นในซีด้าร์

ผลของกระบวนการนี้ก็เลยทำให้ดูเป็นทางการว่าบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ซื้อหุ้นชินคอร์ปเพียงแค่ 11% และก็ไม่ต้องเสียภาษี เพราะเป็นการซื้อเอไอเอสทางอ้อม

กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่ว่าด้วยประเด็น "ถูกกฎหมาย" กับ "ถูกคุณธรรม"

ผลการสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ เรื่อง "ความนิยมของประชาชนต่อภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีภายหลังการขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น" พบว่าประชาชน 38.7 เชื่อว่าการขายหุ้นดังกล่าว เป็นเรื่องของธุรกิจภายในครอบครัวและมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ขณะที่ประชาชน 31% ระบุว่า ความนิยมในตัวนายกรัฐมนตรีต่อกรณีนี้ "ลดลง" ประชาชน 65.6% เห็นว่าการขายหุ้นครั้งนี้ "สมควรเสียภาษี"

แต่ถ้าเติมข้อมูลเรื่องที่ถูกเปิดเผยว่า การขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ครั้งนี้ยังมีอีก 329.2 ล้านหุ้น ที่อยู่ที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสต์เมนท์ ซึ่งเป็นบริษัท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปจดทะเบียนตั้งไว้ที่เกาะบริติช เวอร์จิน แล้วเพื่อจะโอนขายให้พานทองแท้ และพิณทองทา 2 พี่น้องตระกูลชินวัตร ในราคาแค่หุ้นละ 1 บาท แล้วขายในราคา 49.25 บาท พร้อมจำนวนใหญ่ที่ถือในเมืองไทย

นี่เป็นกำไรอีกจำนวนหนึ่งถึง 15,883 ล้านบาท

ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ขายโดยบุคคลผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้รับการยกเว้นภาษีอีกเช่นกัน

เมื่อสังคมจับตาว่าเป็นรายการ"ซุกหุ้น" ภาค 2 หรือไม่ และพรรคฝ่ายค้านเตรียมดำเนินการหาช่องเล่นงานตามเกมการเมืองแน่

คราวนี้แหละ หากไม่มีการชี้แจงทำความชัดเจนถึงความถูกต้องเป็นธรรมได้ การวิพากษ์วิจารณ์ที่พาดพิงก็ไปถึงคนเป็นลูกนักการเมือง

ความรู้สึกของคนเป็นลูกนักการเมืองที่สังคมที่ยกย่องศรัทธา ย่อมต่างกับกรณีที่ถูกสังคมตำหนิประณามแน่นอน

คนที่คิดและตัดสินใจเป็นนักการเมืองซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องมีความเก่งและความดีในตัว หากจะทำอะไรผิดเพี้ยนไปจากแนวทาง "คุณธรรม"จึงต้องนึกถึงผลที่จะมีต่อคนในวงศ์ตระกูลในระยะยาว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำรัฐบาลนี้กำลังเผชิญกับโจทย์ข้อใหญ่เรื่องการไม่จริงใจและไม่เอาจริงกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นโดยไม่เลือกปฏิบัติ

ปฏิกิริยาจากสังคมจะแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้นำรัฐบาลไม่สามารถตอบคำถามและข้อสงสัยได้อย่างตรงไปตรงมา

ลองคิดดูก็แล้วกัน

ขณะที่ปี 2549 กรมสรรพากรตั้งเป้าหมายจะเก็บภาษีให้ได้1.06 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6 หมื่นล้านบาท เพื่อชดเชยการที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรมีเค้าว่าจะเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้า

มีการเตรียมงบประมาณไว้นับ 100 ล้านบาท ที่จะเชิญชวนให้คนไทยทำหน้าที่"พลเมืองดี" ด้วยการเสียภาษีให้ถูกต้อง เพื่อนำเงินไปพัฒนาประเทศ

แต่ปรากฏการณ์โด่งดังที่เกิดขึ้นจากกรณีขายหุ้น "ชินคอร์ป" ก็เล่นเอากรมสรรพากรกลัวคนจะรู้สึกไม่ดีต่อการเสียภาษี เพราะได้เห็นตัวอย่างการใช้วิธีซิกแซ๊กจากผู้มีอำนาจรัฐ

บังเอิญวันก่อน ผมขับรถผ่านไปบนทางคู่ขนานลอยฟ้า มองไปที่ตึกกระทรวงวัฒนธรรมซึ่งอยู่เยื้องกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เห็นข้อความบนภาพโฆษณาขนาดใหญ่บนผนังตึกที่ชักชวนให้ "ยิ้มทั่วแดน" "มายิ้มกันเถอะ"

นี่แซวรัฐบาลที่เห็นประชาชนเครียดกับหลายปัญหา หรือว่าจะรณรงค์สร้างวัฒนธรรมให้คนไทยยิ้มกันมากกันแน่

แต่ผมไม่คิดว่า "การยิ้ม" เป็นปัญหาลำดับต้นๆ ที่ต้องรณรงค์นะครับ "ป้าอุ"

เพราะที่วิกฤติหนักขณะนี้ คือ เรื่อง "คุณธรรม" ที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กจนถึงผู้บริหารประเทศกันทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น