จากภาวะตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศที่เอื้ออำนวย ประกอบกับความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมสนับสนุน ทำให้หลายบริษัทตัดสินใจขยายการลงทุนในประเทศไทยจำนวนหลายโครงการ
กลุ่มแรก คือ บริษัทนิสสันได้ประกาศให้ประเทศไทยเป็นฐานการส่งออกของรถปิกอัพและยนตรกรรมอื่นๆ ของนิสสัน โดยจะลงทุนในไทยอีกประมาณ 29,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มยอดขายในประเทศไทยให้ได้ 3 เท่า หรือ 130,000 ยูนิต ภายในปี 2551 และขยายกำลังการผลิตของโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทยจาก 130,000 คัน/ปี ในปัจจุบัน เป็น 200,000 คัน/ปี ภายในปี 2551
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2548 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแก่นิสสันจำนวน 3 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวม 31,648 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการขยายโรงงานประกอบรถยนต์ของบริษัท สยามนิสสันออโตโมบิล จำกัด ลงทุน 24,279 ล้านบาท, โครงการผลิตชิ้นส่วนโลหะ ชิ้นส่วนพลาสติก และชิ้นส่วนตัวถังของบริษัท สยามกลการและนิสสัน จำกัด ลงทุน 4,401 ล้านบาท และโครงการผลิตเครื่องยนต์และเครื่องส่งกำลังของบริษัท นิสสันพาวเวอร์เทรน (ประเทศไทย) จำกัด ลงทุน 2,968 ล้านบาท
สำหรับบริษัทโตโยต้าซึ่งปัจจุบันมีโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย 2 แห่ง คือ โรงงานสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ มีกำลังผลิตรถยนต์ปิกอัพ 250,000 คัน/ปี และโรงงานเกตเวย์ ภายในนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา มีกำลังผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 110,000 คัน/ปี ได้ตัดสินใจลงทุน 3,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังผลิตของโรงงานเกตเวย์จาก 110,000 คัน/ปี เป็น 200,000 คัน/ปี
ยิ่งไปกว่านั้น โตโยต้ายังลงทุนอีก 15,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งที่สามในประเทศไทยบนพื้นที่ 1,300 ไร่ ริมทางหลวงหมายเลข 341 อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2548 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2550 โรงงานแห่งนี้จะเน้นผลิตรถยนต์ปิกอัพ มีขนาดกำลังผลิต 100,000 คัน/ปี และสามารถขยายกำลังผลิตได้ถึง 200,000 คัน/ปี
สำหรับกรณีของการผลิตรถยนต์อีซูซุซึ่งปัจจุบันมีโรงงานเพียงแห่งเดียว คือ โรงงานสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ขณะเดียวกันโรงงานแห่งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ก่อสร้างอาคารโรงงานแล้วเสร็จในปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจพอดี จึงต้องชะลอโครงการไว้ก่อน โดยยังไม่เปิดดำเนินการ
ปัจจุบันอีซูซุประสบปัญหากำลังการผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่งผลกระทบไม่เฉพาะการจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น แต่รวมถึงการส่งออกรถยนต์ปิกอัพด้วย จึงต้องแก้ไขสถานการณ์โดยจ้างโรงงานของบริษัท GM ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ประกอบรถยนต์ในส่วนผลิตเพื่อส่งออก ขณะที่โรงงานสำโรงจะใช้สำหรับประกอบรถยนต์เพื่อจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ บริษัทอีซูซุตัดสินใจลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท เพื่อย้ายฐานการผลิตรถบรรทุกทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่จากโรงงานสำโรงไปผลิตที่โรงงานเกตเวย์ มีกำลังผลิตมากกว่า 10,000 คัน/ปี กำหนดแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 จากนั้นจะใช้โรงงานสำโรงผลิตรถยนต์ปิกอัพเพียงอย่างเดียว โดยจะขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 185,000 คัน/ปี
สำหรับกรณีของบริษัท GM ได้ลงทุน 2,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานทำสีรถยนต์แห่งใหม่ในศูนย์การผลิตภายในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง นับเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพื่อเพิ่มกำลังผลิตรถยนต์จาก 110,000 คัน/ปี เป็น 160,000 คัน/ปี กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคม 2549
สำหรับในด้านรถยนต์หรูหรา กลุ่มเดมเลอร์ไครสเลอร์กำหนดให้โรงงานที่จังหวัดสมุทรปราการเป็นฐานการผลิตรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ S Class รุ่นใหม่ โดยมีการลงทุนด้านอุปกรณ์และเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อเตรียมประกอบรถยนต์รุ่นนี้ในประเทศไทยนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป
โรงงานในประเทศไทยนับเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ S Class แห่งเดียวซึ่งตั้งอยู่นอกประเทศเยอรมนี แสดงให้เห็นว่าบริษัทแม่ในเยอรมนีมีความมั่นใจถึงความสามารถของโรงงานในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะเพิ่มการจ้างแรงงานไทยแล้ว ยังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ล่าสุดมายังประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะรถยนต์ S Class รุ่นใหม่นับว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย ทำให้การผลิตต้องมีความเที่ยงตรงแม่นยำสูงมาก
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งปัจจุบันมีฐานการประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีกำลังผลิตรถยนต์ 120,000 คัน/ปี ประกาศจะลงทุนอีกหลายโครงการ เพื่อเพิ่มกำลังผลิตชิ้นส่วนพร้อมกับยกระดับเทคโนโลยีการผลิตให้เพิ่มขึ้น
โครงการแรก เป็นการลงทุน 1,450 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องยนต์กำหนดแล้วเสร็จในช่วงเดือนเมษายน 2549 โดยจะเพิ่มกำลังผลิตเสื้อสูบ (Cylinder Block) และฝาสูบ (Cylinder Head) จาก 150,000 ชิ้น/ปี เป็น 300,000 ชิ้น/ปี ในจำนวนนี้จะผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ 225,000 ชิ้น/ปี อาทิ บราซิล ตุรกี ปากีสถาน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไต้หวัน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้โรงงานในไทยกลายเป็นศูนย์ผลิตเครื่องยนต์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของฮอนด้าทั่วโลก รองจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน
โครงการที่สอง เป็นการลงทุนมูลค่า 294 ล้านบาท เพื่อติดตั้งเครื่องจักรหล่อชิ้นงานโดยใช้เทคโนโลยีหมุนเหวี่ยง (Spin Casting Machine) ใช้ในการผลิตปลอกสูบเครื่องยนต์ (Engine Cylinder Sleeve) มีกำลังผลิตมากกว่า 500,000 ชิ้น/ปี โดยจะมีการส่งออก 85% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำเครื่องจักรหล่อชิ้นงานแบบหมุนซึ่งมีกำลังเหวี่ยงจากศูนย์กลางมาใช้ในเอเชียนอกจากประเทศญี่ปุ่น
โครงการที่สาม เป็นการลงทุน 248 ล้านบาท สำหรับโรงงานฉีดขึ้นรูปชิ้นส่วนพลาสติกความเร็วสูง ซึ่งประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 4 ในโลกที่ติดตั้งเครื่องจักรชนิดนี้ ภายหลังจากที่ติดตั้งแล้วในญี่ปุ่น จีน และสหราชอาณาจักร โดยจะใช้เครื่องจักรนี้ผลิตกันชนหน้าและหลังสำหรับรถยนต์ฮอนด้ารุ่นแจ๊ซ, ซิตี้ และแอคคอร์ด โดยเทคโนโลยีใหม่จะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองพลังงานในการฉีดขึ้นรูปได้มากถึง 40% และลดแรงดันในการฉีดขึ้นรูปลง 10%
สำหรับในอนาคตคาดว่าจะมีนักลงทุนรายใหม่หลายราย โดยเครือยนตรกิจได้ประกาศเมื่อปลายปี 2548 เกี่ยวกับแผนความร่วมมือกับเครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัท Shanghai Automotive Industry Corp (SAIC) ในโครงการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นในประเทศไทย โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการผลิตและจำหน่าย มีเป้าหมายเพื่อขยายตลาดในเอเชีย-แปซิฟิกรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ปัจจุบันบริษัท SAIC นับเป็นผู้ประกอบรถยนต์ใหญ่อันดับ 2 ของประเทศจีน นอกจากประกอบรถยนต์จำหน่ายภายในแบรนด์ของตนเองแล้ว บริษัทยังได้ร่วมทุนกับบริษัทโฟล์คสวาเกนและบริษัท GM เพื่อประกอบรถยนต์จำหน่ายในประเทศจีนภายใต้แบรนด์ของผู้ร่วมทุนด้วย
โครงการจะมีการศึกษาความเป็นไปได้ในรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ที่นำมาประกอบและจำหน่ายในประเทศไทย คาดว่าการศึกษาจะแล้วเสร็จในปี 2549 หากการศึกษาพบว่าโครงการมีความเป็นไปได้ ก็จะใช้โรงงานวายเอ็มซีแอสเซมบลีย์ของเครือยนตรกิจเป็นฐานการผลิต ซึ่งปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ประกอบรถยนต์ในเครือยนตรกิจหลายยี่ห้อ เช่น โฟล์คสวาเกน ออดี้ เปอโยต์ เกีย ฯลฯ แต่ใช้กำลังผลิตไม่มากนัก จึงมีกำลังผลิตเพียงพอที่จะผลิตรถยนต์จากประเทศจีนเพิ่มเติม
ส่วนบริษัทโฟล์คสวาเกนของเยอรมนีนั้น ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่าจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยหรือไม่ภายหลังจากการเจรจาเพื่อก่อตั้งฐานการผลิตในประเทศมาเลเซียไม่ประสบความสำเร็จ โดยแต่เดิมบริษัทได้เจรจาทำบันทึกความเข้าใจกับบริษัทโปรตอนซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์แห่งชาติของมาเลเซียเมื่อเดือนตุลาคม 2547 ที่จะเข้าไปถือหุ้นในบริษัทและจะผลิตรถยนต์โฟล์กสวาเก้นจำหน่ายทั้งในตลาดประเทศมาเลเซียและเพื่อเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก
หากการเจรจาประสบสำเร็จ จะเป็นผลดีสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโฟล์คสวาเกนได้มีโอกาสใช้โรงงานประกอบรถยนต์ขนาดใหญ่ของบริษัทโปรตอน ซึ่งปัจจุบันมีกำลังผลิตเกินความต้องการ ขณะเดียวกันบริษัทโปรตอนจะได้รับเทคโนโลยีอันทันสมัย รวมถึงสามารถใช้เครือข่ายทางการตลาดของบริษัทโฟล์คสวาเกนในการส่งออกรถยนต์ที่ประกอบในประเทศมาเลเซีย
แต่การเจรจาในรายละเอียดไม่ประสบความสำเร็จ โดยบริษัท Khazanah Nasional ซึ่งเป็นกองทุนของรัฐบาลมาเลเซียเพื่อเข้าไปลงทุนในบริษัทต่างๆ และปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทโปรตอน ต้องการให้บริษัทโปรตอนบริหารงานอย่างเป็นอิสระภายหลังจากเข้ามาถือหุ้นโดยบริษัทโฟล์คสวาเกน ดังนั้น บริษัทโฟล์คสวาเกนจึงได้ประกาศเมื่อเมื่อต้นเดือนมกราคม 2549 ยกเลิกการเจรจากับบริษัทโปรตอน
สุดท้ายนี้ ขณะที่หลายบริษัทขยายการลงทุนในประเทศไทย แต่เปอโยต์กลับดำเนินนโยบายตรงกันข้าม โดยหากผลิตรถยนต์รุ่น 406 ที่กำลังทำการตลาดครบตามจำนวนที่กำหนดไว้แล้ว ก็จะยกเลิกการประกอบรถยนต์ในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันดำเนินการโดยโรงงานวายเอ็มซีแอสเซมบลีย์ในเครือยนตรกิจ เนื่องจากรถยนต์เปอโยต์มียอดจำหน่ายและประกอบรถยนต์ในประเทศไทยน้อยมาก ทำให้ไม่คุ้มที่จะลงทุนประกอบรถยนต์รุ่นใหม่ ประกอบกับนโยบายของบริษัทแม่ที่หันไปเน้นดำเนินธุรกิจในประเทศมาเลเซีย โดยร่วมลงทุนกับนาซ่ากรุ๊ปของมาเลเซียในธุรกิจประกอบรถยนต์เพื่อวางจำหน่ายในตลาดมาเลเซีย
กลุ่มแรก คือ บริษัทนิสสันได้ประกาศให้ประเทศไทยเป็นฐานการส่งออกของรถปิกอัพและยนตรกรรมอื่นๆ ของนิสสัน โดยจะลงทุนในไทยอีกประมาณ 29,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มยอดขายในประเทศไทยให้ได้ 3 เท่า หรือ 130,000 ยูนิต ภายในปี 2551 และขยายกำลังการผลิตของโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทยจาก 130,000 คัน/ปี ในปัจจุบัน เป็น 200,000 คัน/ปี ภายในปี 2551
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2548 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนแก่นิสสันจำนวน 3 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนรวม 31,648 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการขยายโรงงานประกอบรถยนต์ของบริษัท สยามนิสสันออโตโมบิล จำกัด ลงทุน 24,279 ล้านบาท, โครงการผลิตชิ้นส่วนโลหะ ชิ้นส่วนพลาสติก และชิ้นส่วนตัวถังของบริษัท สยามกลการและนิสสัน จำกัด ลงทุน 4,401 ล้านบาท และโครงการผลิตเครื่องยนต์และเครื่องส่งกำลังของบริษัท นิสสันพาวเวอร์เทรน (ประเทศไทย) จำกัด ลงทุน 2,968 ล้านบาท
สำหรับบริษัทโตโยต้าซึ่งปัจจุบันมีโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย 2 แห่ง คือ โรงงานสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ มีกำลังผลิตรถยนต์ปิกอัพ 250,000 คัน/ปี และโรงงานเกตเวย์ ภายในนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา มีกำลังผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 110,000 คัน/ปี ได้ตัดสินใจลงทุน 3,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังผลิตของโรงงานเกตเวย์จาก 110,000 คัน/ปี เป็น 200,000 คัน/ปี
ยิ่งไปกว่านั้น โตโยต้ายังลงทุนอีก 15,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งที่สามในประเทศไทยบนพื้นที่ 1,300 ไร่ ริมทางหลวงหมายเลข 341 อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2548 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2550 โรงงานแห่งนี้จะเน้นผลิตรถยนต์ปิกอัพ มีขนาดกำลังผลิต 100,000 คัน/ปี และสามารถขยายกำลังผลิตได้ถึง 200,000 คัน/ปี
สำหรับกรณีของการผลิตรถยนต์อีซูซุซึ่งปัจจุบันมีโรงงานเพียงแห่งเดียว คือ โรงงานสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ขณะเดียวกันโรงงานแห่งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ก่อสร้างอาคารโรงงานแล้วเสร็จในปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจพอดี จึงต้องชะลอโครงการไว้ก่อน โดยยังไม่เปิดดำเนินการ
ปัจจุบันอีซูซุประสบปัญหากำลังการผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่งผลกระทบไม่เฉพาะการจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น แต่รวมถึงการส่งออกรถยนต์ปิกอัพด้วย จึงต้องแก้ไขสถานการณ์โดยจ้างโรงงานของบริษัท GM ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง ประกอบรถยนต์ในส่วนผลิตเพื่อส่งออก ขณะที่โรงงานสำโรงจะใช้สำหรับประกอบรถยนต์เพื่อจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ บริษัทอีซูซุตัดสินใจลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท เพื่อย้ายฐานการผลิตรถบรรทุกทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่จากโรงงานสำโรงไปผลิตที่โรงงานเกตเวย์ มีกำลังผลิตมากกว่า 10,000 คัน/ปี กำหนดแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 จากนั้นจะใช้โรงงานสำโรงผลิตรถยนต์ปิกอัพเพียงอย่างเดียว โดยจะขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 185,000 คัน/ปี
สำหรับกรณีของบริษัท GM ได้ลงทุน 2,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานทำสีรถยนต์แห่งใหม่ในศูนย์การผลิตภายในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง นับเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพื่อเพิ่มกำลังผลิตรถยนต์จาก 110,000 คัน/ปี เป็น 160,000 คัน/ปี กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จเดือนพฤษภาคม 2549
สำหรับในด้านรถยนต์หรูหรา กลุ่มเดมเลอร์ไครสเลอร์กำหนดให้โรงงานที่จังหวัดสมุทรปราการเป็นฐานการผลิตรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ S Class รุ่นใหม่ โดยมีการลงทุนด้านอุปกรณ์และเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อเตรียมประกอบรถยนต์รุ่นนี้ในประเทศไทยนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป
โรงงานในประเทศไทยนับเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ S Class แห่งเดียวซึ่งตั้งอยู่นอกประเทศเยอรมนี แสดงให้เห็นว่าบริษัทแม่ในเยอรมนีมีความมั่นใจถึงความสามารถของโรงงานในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะเพิ่มการจ้างแรงงานไทยแล้ว ยังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ล่าสุดมายังประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะรถยนต์ S Class รุ่นใหม่นับว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย ทำให้การผลิตต้องมีความเที่ยงตรงแม่นยำสูงมาก
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งปัจจุบันมีฐานการประกอบรถยนต์ในประเทศไทย ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีกำลังผลิตรถยนต์ 120,000 คัน/ปี ประกาศจะลงทุนอีกหลายโครงการ เพื่อเพิ่มกำลังผลิตชิ้นส่วนพร้อมกับยกระดับเทคโนโลยีการผลิตให้เพิ่มขึ้น
โครงการแรก เป็นการลงทุน 1,450 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องยนต์กำหนดแล้วเสร็จในช่วงเดือนเมษายน 2549 โดยจะเพิ่มกำลังผลิตเสื้อสูบ (Cylinder Block) และฝาสูบ (Cylinder Head) จาก 150,000 ชิ้น/ปี เป็น 300,000 ชิ้น/ปี ในจำนวนนี้จะผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ 225,000 ชิ้น/ปี อาทิ บราซิล ตุรกี ปากีสถาน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไต้หวัน ฯลฯ ซึ่งจะทำให้โรงงานในไทยกลายเป็นศูนย์ผลิตเครื่องยนต์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของฮอนด้าทั่วโลก รองจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีน
โครงการที่สอง เป็นการลงทุนมูลค่า 294 ล้านบาท เพื่อติดตั้งเครื่องจักรหล่อชิ้นงานโดยใช้เทคโนโลยีหมุนเหวี่ยง (Spin Casting Machine) ใช้ในการผลิตปลอกสูบเครื่องยนต์ (Engine Cylinder Sleeve) มีกำลังผลิตมากกว่า 500,000 ชิ้น/ปี โดยจะมีการส่งออก 85% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำเครื่องจักรหล่อชิ้นงานแบบหมุนซึ่งมีกำลังเหวี่ยงจากศูนย์กลางมาใช้ในเอเชียนอกจากประเทศญี่ปุ่น
โครงการที่สาม เป็นการลงทุน 248 ล้านบาท สำหรับโรงงานฉีดขึ้นรูปชิ้นส่วนพลาสติกความเร็วสูง ซึ่งประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ 4 ในโลกที่ติดตั้งเครื่องจักรชนิดนี้ ภายหลังจากที่ติดตั้งแล้วในญี่ปุ่น จีน และสหราชอาณาจักร โดยจะใช้เครื่องจักรนี้ผลิตกันชนหน้าและหลังสำหรับรถยนต์ฮอนด้ารุ่นแจ๊ซ, ซิตี้ และแอคคอร์ด โดยเทคโนโลยีใหม่จะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองพลังงานในการฉีดขึ้นรูปได้มากถึง 40% และลดแรงดันในการฉีดขึ้นรูปลง 10%
สำหรับในอนาคตคาดว่าจะมีนักลงทุนรายใหม่หลายราย โดยเครือยนตรกิจได้ประกาศเมื่อปลายปี 2548 เกี่ยวกับแผนความร่วมมือกับเครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัท Shanghai Automotive Industry Corp (SAIC) ในโครงการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นในประเทศไทย โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการผลิตและจำหน่าย มีเป้าหมายเพื่อขยายตลาดในเอเชีย-แปซิฟิกรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ปัจจุบันบริษัท SAIC นับเป็นผู้ประกอบรถยนต์ใหญ่อันดับ 2 ของประเทศจีน นอกจากประกอบรถยนต์จำหน่ายภายในแบรนด์ของตนเองแล้ว บริษัทยังได้ร่วมทุนกับบริษัทโฟล์คสวาเกนและบริษัท GM เพื่อประกอบรถยนต์จำหน่ายในประเทศจีนภายใต้แบรนด์ของผู้ร่วมทุนด้วย
โครงการจะมีการศึกษาความเป็นไปได้ในรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ที่นำมาประกอบและจำหน่ายในประเทศไทย คาดว่าการศึกษาจะแล้วเสร็จในปี 2549 หากการศึกษาพบว่าโครงการมีความเป็นไปได้ ก็จะใช้โรงงานวายเอ็มซีแอสเซมบลีย์ของเครือยนตรกิจเป็นฐานการผลิต ซึ่งปัจจุบันโรงงานแห่งนี้ประกอบรถยนต์ในเครือยนตรกิจหลายยี่ห้อ เช่น โฟล์คสวาเกน ออดี้ เปอโยต์ เกีย ฯลฯ แต่ใช้กำลังผลิตไม่มากนัก จึงมีกำลังผลิตเพียงพอที่จะผลิตรถยนต์จากประเทศจีนเพิ่มเติม
ส่วนบริษัทโฟล์คสวาเกนของเยอรมนีนั้น ปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่าจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยหรือไม่ภายหลังจากการเจรจาเพื่อก่อตั้งฐานการผลิตในประเทศมาเลเซียไม่ประสบความสำเร็จ โดยแต่เดิมบริษัทได้เจรจาทำบันทึกความเข้าใจกับบริษัทโปรตอนซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์แห่งชาติของมาเลเซียเมื่อเดือนตุลาคม 2547 ที่จะเข้าไปถือหุ้นในบริษัทและจะผลิตรถยนต์โฟล์กสวาเก้นจำหน่ายทั้งในตลาดประเทศมาเลเซียและเพื่อเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก
หากการเจรจาประสบสำเร็จ จะเป็นผลดีสำหรับทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโฟล์คสวาเกนได้มีโอกาสใช้โรงงานประกอบรถยนต์ขนาดใหญ่ของบริษัทโปรตอน ซึ่งปัจจุบันมีกำลังผลิตเกินความต้องการ ขณะเดียวกันบริษัทโปรตอนจะได้รับเทคโนโลยีอันทันสมัย รวมถึงสามารถใช้เครือข่ายทางการตลาดของบริษัทโฟล์คสวาเกนในการส่งออกรถยนต์ที่ประกอบในประเทศมาเลเซีย
แต่การเจรจาในรายละเอียดไม่ประสบความสำเร็จ โดยบริษัท Khazanah Nasional ซึ่งเป็นกองทุนของรัฐบาลมาเลเซียเพื่อเข้าไปลงทุนในบริษัทต่างๆ และปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทโปรตอน ต้องการให้บริษัทโปรตอนบริหารงานอย่างเป็นอิสระภายหลังจากเข้ามาถือหุ้นโดยบริษัทโฟล์คสวาเกน ดังนั้น บริษัทโฟล์คสวาเกนจึงได้ประกาศเมื่อเมื่อต้นเดือนมกราคม 2549 ยกเลิกการเจรจากับบริษัทโปรตอน
สุดท้ายนี้ ขณะที่หลายบริษัทขยายการลงทุนในประเทศไทย แต่เปอโยต์กลับดำเนินนโยบายตรงกันข้าม โดยหากผลิตรถยนต์รุ่น 406 ที่กำลังทำการตลาดครบตามจำนวนที่กำหนดไว้แล้ว ก็จะยกเลิกการประกอบรถยนต์ในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันดำเนินการโดยโรงงานวายเอ็มซีแอสเซมบลีย์ในเครือยนตรกิจ เนื่องจากรถยนต์เปอโยต์มียอดจำหน่ายและประกอบรถยนต์ในประเทศไทยน้อยมาก ทำให้ไม่คุ้มที่จะลงทุนประกอบรถยนต์รุ่นใหม่ ประกอบกับนโยบายของบริษัทแม่ที่หันไปเน้นดำเนินธุรกิจในประเทศมาเลเซีย โดยร่วมลงทุนกับนาซ่ากรุ๊ปของมาเลเซียในธุรกิจประกอบรถยนต์เพื่อวางจำหน่ายในตลาดมาเลเซีย


