xs
xsm
sm
md
lg

โธ่...แค่ 73,000 ล้าน “กูไม่ได้อิจฉามึง”

เผยแพร่:   โดย: พชร สมุทวณิช

ผมจำความรู้สึกวันแรกของการรับเงินเดือนที่ได้จากการทำงานด้วยหยาดเหงื่อและแรงงานของตัวเองจากการเป็นนักข่าวสายการเมืองประจำรัฐสภาของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เมื่อปี 2535 ได้อย่างชัดเจน

ความรู้สึก ณ ตอนที่ใบสลิปแผ่นสีดำๆ ที่มีโลโก้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และจ่าหน้าชื่อผม ส่งถึงมือ ผมค่อยๆ แกะขอบที่มีรอยปรุเพื่อให้ฉีกง่ายๆ ออก ความรู้สึกตอนนั้นมีอะไรต่ออะไรหลายอย่างประกอบกัน ทั้งตื่นเต้น ดีใจ ภูมิใจ สำหรับเงินที่เราหามาได้ด้วยตัวของเราเองโดยไม่ต้องแบมือขอพ่อขอแม่ ผมเชื่อว่า คุณๆ ทั้งหลายคงคล้ายๆ กับผม สำหรับความทรงจำวันเวลาของคุณเองในตอนนั้น

รายการที่พิมพ์ด้วยหมึกสีน้ำเงิน เริ่มด้วยรหัสเลขสามตัวของแผนกการเมือง รายวัน ต่อด้วยรหัสพนักงาน ชื่อ-นามสกุลของผม จากนั้นก็ต่อด้วยวันเข้าทำงาน จากนั้นต่ำลงไปมีกรอบแบ่งช่องวางยาวจากหน้ากระดาษซ้ายไปสุดขวา

แถวบนนำด้วยรายการเงินได้ จากนั้นก็มีรายละเอียดและระบุจำนวนเงินต่อๆ กันไป ไม่ว่าจะเป็น เงินเดือน ค่าพาหนะ ไปจนถึงอื่นๆ ซึ่งสมัยนั้นถ้าเราเป็นเวรปิดหน้าหนึ่งก็จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่ร้อยบาท (แต่สำหรับนักข่าวซึ่งเงินเดือนน้อย ค่าอื่นๆ ตรงนี้จะทำให้เรากระชุ่มกระชวยขึ้นมาเวลาเปิดสลิปเงินเดือน)

แถวล่าง เป็นเรื่องของรายการเงินหัก สำหรับความรู้สึกที่อ่านบรรทัดนี้จะอารมณ์ตรงข้ามกับช่องอื่นๆ ในรายการแถวบน (ใครล่ะจะอยากโดนหักตัวเลขออกไปจากเงินเดือน) ช่องแรก ชัดเจนและหนักแน่นอย่างปฏิเสธไม่ออก นั่นก็คือ “ภาษี” ช่องนี้ เป็นช่องที่ทำให้ความรู้สึกเกิดขึ้นสองประการ ประการแรกก็อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ มองปราดไปแล้วก็คือเศร้าเล็กๆ สำหรับการโดนหักลบตัวเลขจากจำนวนเต็มของรายได้ด้านบน อันทำให้เงินที่เราจะได้มาจับจ่ายใช้สอยในเดือนนั้น หายไปจากแรงงานที่เราทำอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่อย่างไรก็ดี ความรู้สึกอีกส่วนนั้นน่าภาคภูมิกว่า นั่นก็คือ เราได้เป็นส่วนหนึ่งของประชากรเต็มขั้นที่ได้เสียภาษีช่วยชาติ เงินส่วนนี้เราคาดหวังว่าผู้บริหารเงินก้อนนี้ของเราจะเอาเงินไปพัฒนาประเทศชาติให้มันดีขึ้น

ความรู้สึกของคนรับเงินเดือนเดือนแรกนี้ จะว่าไปแล้วมันยิ่งใหญ่นะครับ มันคือเงินก้อนใหญ่ในอารมณ์ความรู้สึก สำหรับแต่ละคนจะมากจะน้อยในตัวเลข แต่ความยิ่งใหญ่ในทางคุณค่าอารมณ์ความรู้สึกนั้น ผมว่าสำหรับทุกคนนั้นยิ่งใหญ่พอๆ กัน

เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายปลายเดือนเมื่อสลิปเงินเดือนมาถึง แม้ว่าจำนวนเงินจะมากขึ้นกว่าครั้งแรก แต่ความรู้สึกอย่างวันนั้นมันไม่เกิดขึ้นอีกแล้วล่ะครับ

นับแต่วันแรกที่รับสลิปจนถึงวันนี้ ถ้าเอามากองคงได้เป็นตั้ง เม็ดเงินทั้งแถวบนแถวล่างในสลิปเงินเดือนก็มากขึ้นไปพร้อมๆ กัน แถมช่องแรกแถวล่าง มากขึ้นในระบบอัตราก้าวหน้าเสียด้วยสิ อิอิ อย่างไรก็ดีสำหรับเรื่องนี้ ผมไม่เคยลดความภาคภูมิใจที่ได้เสียภาษี ทั้งๆ ที่บางครั้ง ก็มีสงสัยอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นสงสัยระดับใหญ่ๆ ว่าไอ้เงินภาษีที่เราๆ ท่านๆ เสียไปนี่ มันถูกรัฐใช้ไปอย่างคุ้มค่าหรือเปล่า จนถึงระดับขี้ปะติ๋ว ที่ผมชอบตะโกนด่าลำเลิกว่า “กูเสียภาษีนะโว้ย ดูแลกูบ้างสิโว้ย” เวลาขับรถไปตกหลุมบนท้องถนนที่เดิมซ้ำๆ ซากๆ อยู่นานจนล้อแตกยางรั่ว หรือเจอเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการปฏิบัติหน้าที่แบบขอไปที อะไรเทือกนั้น (จนโดนเมียด่าว่า ที่เธอเสียภาษีให้เขาน่ะ มันเท่าไหร่กันเชียว อ้าว ก็ผมมันคนรายได้น้อยนี่หว่า)

ครั้นเมื่อ เศรษฐีรวยติดอันดับโลกและนักการเมืองเบอร์หนึ่งของประเทศ มีอันที่จะได้รายได้เข้ากระเป๋าเป็นจำนวน 73,000 ล้านบาท ความโชคดีของเขาที่ทำให้กลไกต่างๆ ในการจัดเก็บภาษีของประเทศชาติก็มีอันที่จะประมวลผลสรุปออกมา “ไม่เหมือน” กับ “ช่องแรกแถวล่าง” ที่ระบุไว้ในสลิปเงินเดือนของผมในหัวข้อ “ภาษี” อันเป็นรายการสำคัญที่ถูกหักออกจากผลรวมของ “รายได้” (อันน้อยนิดที่เทียบไม่ได้กับ 73,000 ล้านบาทของท่าน)

ไอ้ประชาชนโง่ๆ อย่างผมนั้นก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้เทคนิคการได้มาซึ่งรายรับของท่านนั้นมันมีกลวิธีแตกต่างกับผมอย่างไร ซึ่งคนโง่ๆ อย่างผมคงไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะเรียนรู้ “วิธีหาเงินแบบไม่โดนหักภาษี” ได้แบบคนฉลาดอย่างท่าน

เรื่องนี้นั้นบอกตรงๆ ว่า ผมไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่ผมก็คงก้มหน้าก้มตาเสียภาษีด้วยเงินนิดๆหน่อยๆ ของผมต่อไป เพราะเรื่องของ “รายได้” กับ “ภาษี” ของผม มีความเข้าใจง่ายๆ (แบบโง่ๆ) แค่ “การเอารายรับเป็นตัวตั้งแล้วหักด้วยรายจ่าย” ก็คือเมื่อผมเป็นประชาชนของประเทศนี้สูดอากาศของประเทศนี้หายใจ เดินเอาตีนเหยียบพื้นดินของประเทศนี้ เมื่อผมหาเงินได้มา ผมก็จะต้องถูกหักส่วนหนึ่งเพื่อเอาไปให้ประเทศชาติใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ

แต่ที่แน่ๆ เมื่ออ่านข่าวที่ท่านออกมาบอกเมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องนี้ว่า “อะโธ่ ทำอย่างตรงไปตรงมา ผมตัวเบ้อเร่อเท่อ ผมไม่ทำอย่างตรงไปตรงมาได้ยังไง โธ่ผมตัวเล็กๆ ที่ไหน มันเล็ดลอดได้ที่ไหน ผมตัวเบ้อเร่อเท่อยิ่งต้องตรงไปตรงมา” และเมื่อท่านถูกถามว่าเป็นเพราะยอดเงินสูงทำให้คนจับตามองหรือเปล่า ท่านก็กล่าวว่า “อิจฉาสิ แค่นั้นแหละ ตัวเดียวนี้แหละ”

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป นายกโต้เรื่อง "รายได้" กับ "ภาษี" (56k)

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป นายกโต้เรื่อง "รายได้" กับ "ภาษี" (256k)

ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องอุทานด้วยเสียงดังๆ กับลมฟ้าอากาศว่า “ไอ้ห่า เปล่านะ กูไม่ได้อิจฉามึง”

(หมายเหตุ 1 : นำมาจากบทบรรณาธิการนิตยสาร mars เดือนกุมภาพันธ์ 2549, หมายเหตุ 2 : ไอ้ห่า เป็นคำอุทาน ไม่ได้เจาะจงด่าผู้ใด)
กำลังโหลดความคิดเห็น