xs
xsm
sm
md
lg

ภาระของนายกรัฐมนตรีไทยกับงานของเด็กอมมือ

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

ยกเว้นนักการเมืองของพรรคไทยรักไทย 300 กว่าคนที่อาจจะไม่สนใจและนิ่งเฉย แต่สำหรับคนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะต้องยอมรับกันว่า ประเทศไทยและคนไทยขณะนี้มีปัญหาหนักที่แก้ไม่ได้เพราะไม่มีใครมีอำนาจแก้ หรือผู้ที่มีอำนาจที่จะแก้ก็มีแต่เพียงความโง่เขลาหรือร่วมมือกันคอร์รัปชันกันไปทั้งหมด ปัญหาเมืองไทยและคนไทยจึงมีแต่ความรุนแรงยิ่งขึ้น

ปัญหาที่หนักหนาสาหัสที่สุดที่จะต้องยืดเยื้อต่อไปจะไม่มีใครแก้ได้ หรือไม่มีปัญญาแก้ ได้แก่ ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือของซีไอเออเมริกานั่นเป็นปัญหาแรก

จากการแสดงความสามารถในการก่อการร้ายเพื่อความสนุกสนานด้วยการปล้นปืนไปจากทหาร ตำรวจไปเมื่อสองปีที่แล้ว ก็มีการก่อการร้ายรายย่อยเกิดขึ้นติดต่อกันมาทุกวันหรือเกือบทุกวัน วันละคนสองคน แม้แต่พระสงฆ์องคเจ้าที่ออกไปบิณฑบาตประจำวัน โดยที่รัฐบาลไทยไม่มีใครมีความสามารถที่จะแก้ไขอะไรได้นอกจากวิ่งเล่นหุ้น ซุกหุ้น ขายหุ้นและการคอร์รัปชันอย่างหนัก ซึ่งในเวลาหลายปีมาแล้วจนกระทั่งที่มีข่าวออกมาว่าผู้นำในคณะรัฐบาลที่เคยมีเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท ตอนนี้ก็รวยขึ้นมากกว่า 170,000 ล้านเข้าไปแล้ว!

แต่สำหรับคนไทยทั่วไปหรือเจ้าของชาติทั่วไปก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องเสียหายหรือเป็นเรื่อง "ฉิบหาย" เพราะเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของคนไทยที่ถูกการใช้วิธีการสกปรก และวิชามารยักยอกและปล้นสะดมความร่ำรวยและทรัพย์สินของบ้านเมืองไปด้วยวิธีการอันมิชอบ นั่นเป็นสิทธิของประชาชนที่จะคิด

ปัญหาต่อไปก็คือปัญหาการคอร์รัปชันในวงการคอร์รัปชันที่คุณธีรยุทธ บุญมี เรียกว่าเป็นการคอร์รัปชันที่ยกพวกยกโคตรกันมาปล้นบ้านปล้นเมืองกินกันหรือโคตรานุวัตร ซึ่งประชาชนคนฟังทั่วประเทศก็รู้เห็นยอมรับกันทั่วไป

แม้ว่าจะมีใครปฏิเสธและ เห่ากราดออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง แต่ก็ไม่มีใครสนใจ

สมัยรัฐบาลปัจจุบันนี้ที่ต่างคนต่างก็แย่งกันทำ แย่งกันกิน แย่งกันปล้นอย่างทั่วถึง การคอร์รัปชันประเภทนี้ในภาษาทางการเมืองเรียกกันว่า (Nepotism) ซึ่งหมายถึงการรวมพรรคพวกลูกเมียและญาติพี่น้องที่มีอยู่เข้ามาร่วมกันกินเป็นฝูง เป็นการกระทำในทางการเมืองที่เรียกตามภาษาการเมืองว่า Ignominious (กรุณาอย่าคิดว่าเป็นคำหยาบคาย ตรงข้ามเป็นคำที่ใช้กันในวงการเมืองทั่วโลก) และในภาษาไทยเรียกว่าเป็นการกระทำที่ปราศจากความละอายหรือ ไม่มียางอาย ในภาษาชาวบ้านของไทย ในทางพระหรือทางพุทธศาสนาเรียกเป็นภาษาบาลีว่า ไม่มีหิริ โอตตัปปะ คือเป็นการกระทำที่ปราศจากยางอาย

คอร์รัปชันประเภทนี้กำลังมีมากมายในวงการเมืองของไทย และในหมู่นักการเมืองไทยทุกระดับ

ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาโสเภณี ปัญหายาเสพติด ทั้งการค้าและการเสพของผู้คนและความเสื่อมอย่างหนักของสังคมไทยในทุกด้าน ปัญหาต่อมาที่นักการเมืองทุกชุดทุกรูปแบบและรัฐบาลทุกชนิดงุนงง และตอนนี้ถือว่าเป็นปัญหาประจำชาติไปแล้วไม่มีทางแก้และไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร เพราะเท่าที่มองเห็นหรือพิจารณาจากแบบอย่างการปกครองที่ผ่านมาเป็นร้อยๆ ปี จะพบว่านักการเมืองและรัฐบาลของเราจะไม่มีรัฐบาลและนักการเมืองที่สกปรกโสโครกและโง่เขลาอย่างนักการเมืองไทยทุกวันนี้ ที่จะพูดภาษาไทยและมีภาษาอังกฤษกำกับเพื่อประกาศอวดแก่โลกว่ามีความรู้ในภาษาต่างประเทศ

ทุกเรื่องที่แสดงออกจะเป็นความโง่เขลาที่ยิ่งใหญ่และเกรียวกราวไปทั่วโลก

นั่นคือการแสดงปาหี่แก้ไขความยากจนที่อำเภออาจสามารถในภาคอีสาน เมื่อไม่กี่วันมานี้โดยมีผู้ยืนยันเป็นการแก้เคล็ดที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี

การแก้ไขความยากจนที่ว่าได้ทำกันในรูป "งานโชว์" หรือ "งานแสดงจำอวด" ของ "เด็กอมมือ" ที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษที่แสนจะโก้เก๋ว่า "Reality Show" ประกบลงไปตามธรรมเนียมอันจะทำให้เกิดความซาบซึ้งขนลุกขนพองกันมากขึ้นเหมือนคำว่า CEO ที่เคยใช้มาแล้วจนชักจะหมดความหมายไป

การใช้ภาษาอังกฤษจะช่วยทำให้เกิดความเก๋ เท่ สง่า และขลังอย่างยิ่ง

เป็นการบอกกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ และมหัศจรรย์ของรัฐบาลไทยในยุคนี้ โดยมีนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร แต่ผู้เดียวเป็นผู้วางแผนและดำเนินการทั้งหมด ท่ามกลางความน่าสมเพช และความรู้สึกน่าอเนจอนาถของคนไทยทั่วประเทศที่เกิดมาเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยมีสติปัญญาที่สั้นแสนสั้นและทุเรศถึงขนาดที่คาดไม่ถึง

ความน่าอนาถทุเรศนานาประการในการแสดงออกเป็นครั้งแรกของชั้นปกครองของไทยตั้งแต่สมัยปู่เจ้าลาวมาจนกระทั่งพระร่วง พระนารายณ์ไม่เคยทำกันมาก่อน มันทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังและได้รู้ได้เห็นต้องตกตะลึงกันไปตามๆ กัน ซึ่งรายงานจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวว่า "ดึงทูตทัวร์แก้จน ตีปี๊บเรียลิตี้กระหึ่มโลก-แม้วสั่งตั้งกองทุนซื้อหนี้" ซึ่งมีรายละเอียดว่า "สั่งตั้งกองทุนนอกระบบให้ชาวบ้าน เล็งเรียกประชุม นอภ.ทั่วประเทศติวแก้จน โดยใช้อาจสามารถ โมเดล ลั่นจากนี้ไป ศก.ขับเคลื่อนครั้งมโหฬาร ไม่สนใจเรื่องเรียลิตี้ บอกยิ่งด่าคะแนนเลือกตั้งยิ่งดี" (มติชน 19 มกราคม 2549)

จากนั้นเป็นรายละเอียดที่ "มติชน" เขียนต่อไปว่า

"แม้วโชว์วันที่ 3 ตั้งกองทุนซื้อหนี้-ปฏิบัติการแก้ความยากจนที่อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งมีการถ่ายทอดสดตลอด 24 ชั่วโมงทางยูบีซี 16 เป็นวันที่ 3 เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 7.00 น. วันที่ 18 มกราคม เริ่มด้วยการออกรายการ "ทันข่าวเช้านี้" ทางทางช่อง 11 บริเวณหน้าลานวัดดงปู่เจ้ามเหศักดิ์สิตาราม บ้านศาล ต.อาจสามารถ อ.อาจสามารถ ซึ่งเป็นสถานที่พักแรมในคืนที่ 2 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าในส่วนของการปรับโครงสร้างหนี้สินให้แก่ผู้มาขึ้นทะเบียนว่ามีหนี้สินนอกระบบขณะนี้ได้ดำเนินการไปมากแล้ว เหลือลูกหนี้เพียง 4.7 หมื่นรายเท่านั้น ที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่รับโอนหนี้ให้ โดยจำนวนนี้ยังมี 1 หมื่นรายที่คาดว่าจะไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาได้ ดังนั้น จะมีการตั้งกองทุนขึ้นมารับซื้อหนี้เป็นการเฉพาะ โดยอาจใช้รูปแบบของบริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หรือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาการเกษตร" (มติชน อ้างแล้ว)

เช่นเดียวกันกับโลกทั้งโลกมีความยากจนกันอย่างมากมายและทั่วถึง เมืองไทยไม่ได้แตกต่างไปจากชาติอื่นประเทศอื่นๆ ความยากจนอันสาหัสสากรรจ์นั้นมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า ก่อน 5 ปีที่แล้วที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เตรียมที่จะมาเป็นนักการเมืองไม่เคยรู้เรื่องนี้หรือไม่ได้เตรียมตัวที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้มาก่อนละหรือ นั่นคือ คำถามที่น่าถามในตอนนี้

เพราะตามธรรมเนียมประเพณีของการเมือง และนักการเมืองหรือการเข้ามาปกครองประเทศนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศสวะชาติไหน หรือไม่ว่ากี่หมื่นกี่พันปีมาแล้วนั้น ปัญหาที่ผู้นำหรือนักการเมืองทุกชาติก็คือการพยายามที่จะแก้ปัญหาความจนในชาติ

เอากันว่าตั้งแต่สมัยเจงกิสข่านในมองโกเลีย จิ๋นซีฮ่องเต้ เรื่อยมาจนกระทั่งจูเลียส ซีซาร์ คนเหล่านี้ขึ้นมาปกครองคนเพื่อเอาคนที่มาทำศึกสงครามป้องกันประเทศก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาต้องทำกันก็คือ สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศชาติ และประชาชนด้วยการมีอยู่มีกินและมั่งคั่ง หรือถ้าจะหลับหูหลับตาพูดกันต่อไปก็คือว่า ดูเหมือนจะมีประเทศเดียวเท่านั้นที่ชนชั้นปกครองขึ้นมามีอำนาจเพื่อรวบรวมสมบัติของชาติออกไปขาย ซุกหุ้นและเล่นหุ้น

มันจะเป็นใครก็ช่างหัวมันเถอะ ผมต้องขอพูดเพราะที่พูดนี้เป็นความจริงทุกประการ

การแก้ปัญหาความจนทั่วโลกหรือที่แก้กันมาในประวัติศาสตร์นั้น ไม่ว่าจะต้องแก้ด้วยการต่อสู้หรือที่รุนแรงหรือโดยวิธีใดก็ตาม ถ้าหากมันแก้ได้ก็ต้องแก้ ความจนเป็นสิ่งที่ปรานีไม่ได้ และมันไม่เหลือวิสัยที่จะแก้สำหรับชนชั้นปกครองที่พอมีหัวคิดหรือมีสติปัญญาอยู่บ้าง

เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาความยากจนของคนนั้นจึงเป็นภาระหน้าที่ผู้ปกครองบ้านเมืองจะต้องนึกถึงก่อนอื่นและต้องทำก่อนอื่น ทั่วโลกได้ทำกันมาแล้ว ไม่ใช่มาเริ่มต้นกันเป็นครั้งแรกโดยนายกรัฐมนตรีไทยหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่กำลังทำให้อึกทึกครึกโครมเพื่อหลอกลวงประชาชนและชาวโลกถึงกับเชิญทูตต่างประเทศมาให้คำแนะนำว่าตนเองคือผู้นำที่เฉลียวฉลาดและยอดที่สุดในโลก

การแก้ไขความยากจนของผู้นำในโลกที่ฟังดูแล้วต้องสะอึกรายหนึ่งในประเทศแอฟริกาที่น่านำมาพูดถึงก็คือประเทศแองโกลาในแอฟริกาซึ่งเป็นประเทศของคนผิวดำที่เป็นประเทศที่ร่ำรวย มีทรัพย์พยากรธรรมชาติมหาศาลที่สุดในย่านนั้นเพราะแองโกลาเป็นประเทศที่ติดต่อกับทะเลซึ่งเป็นบ่อน้ำมัน ซึ่งขณะนี้นายทุนผูกขาดในประเทศทุนนิยม เฉพาะอเมริกาได้เข้าไปลงทุนและนำน้ำมันออกขายไปทั่วโลกถึงวันละ 70 ล้านเหรียญสหรัฐ และในประเทศเดียวกันนี้ยังมีอีกเมืองหนึ่งที่มีเพชรทั้งเมืองหรือที่มีคนรู้จักกันว่าเป็นเมืองของเพชรทั้งเมือง แต่ประเทศนี้เมื่อ 500 ปีที่ผ่านมา ต้องตกเป็นทาสหรือเป็นเมืองขึ้นของประเทศโปรตุเกส 500 ปี หลังจากต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า แพ้และตายติดต่อกันมาตลอดเวลา 500 ปี ทรัพยากรทุกชนิดมีค่าไม่ว่าจะเป็นเพชร น้ำมัน เหมืองแร่ และป่าไม้ถูกประเทศที่เข้ามาครองเมืองมาปล้นและขนไปหมด เอากันว่าไม่เฉพาะแองโกลา แต่คนอเมริกาทั้งหมดทั้งเหนือใต้ถูกย่ำยีอย่างหนักและฆ่าฟันต่อไปอีก จนกระทั่งการต่อสู้ของประชาชนนั้นพัฒนาขึ้นมาถึงระดับคอมมิวนิสต์ก็ใช้วิธีการของคอมมิวนิสต์ต่อสู้ชนิดลำหักลำโค่น แองโกลาได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ

นั่นคือการต่อสู้เพื่อแก้ความยากจนของมนุษย์ที่ทำกันมาตลอดเวลาอันยาวนานถึง 400 ปี

และคนที่นำการต่อสู้นั้นคือ ประธานาธิบดี อกุสโต เนโต (Agostinho Neto)

คนหนุ่มผิวดำที่เป็นนายแพทย์คนหนึ่งที่จบการศึกษาแพทย์จากตะวันตก

ถ้าหากนักการเมืองอัจฉริยะคนใดของเราไม่เคยได้ยินชื่อเหล่านี้ ลองๆ เลียบเคียงถามชาวบ้านที่เขาพอจะรู้เอาเองก็ได้

ต่างกับนักการเมืองไทย ผู้นำชาติหลายต่อหลายรายขึ้นมามีอำนาจ ทั้งที่มาโดยการปฏิวัติรัฐประหารหรือไปซื้อเสียงเลือกตั้งชนิดฉิบหายวายวอดเข้ามาอวดศักดาของตัวเอง ก็จะไม่มีใครรู้จักความยากจนเลยว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และจะแก้มันได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีไทยที่กำลังไปแก้ไขความยากจนที่จังหวัดร้อยเอ็ดเพียง 5 วันนั้นอวดอ้างว่าไปช่วยเหลือแก้ไขความยากจนจึงเป็นเพียงเรื่องโกหกพกลมตามปกติ ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือมีความอัศจรรย์อะไร นอกจากเป็นจำอวดที่ทุเรศฉากหนึ่ง

วิธีการแก้ไขความยากจนในอีสานที่นำมาอวดประชาชน และสั่งสอนทูตต่างประเทศนี้ความจริงในภาคอีสานนั้นได้ทำกันมานานกว่า 10 ปีแล้ว ที่ยโสธรหลายหมู่บ้าน โดยการนำของกลุ่มชาวบ้าน และอาจารย์ประภาส สุทธิอากาศ และชาวบ้านอีสานหลายจังหวัด

ชาวนามีโรงสีของตัวเอง ทำการค้าด้วยกลุ่มของตัวเอง และช่วยกันปลูกข้าวขายให้ต่างประเทศด้วยกลุ่มของตัวเอง และดูเหมือนจะมีการติดต่อค้าข้าวหอมมะลิกับจีนด้วย

ไม่ต้องเอาเงินไปแจกชาวบ้าน และไม่ต้อลงทุนเป็นสิบล้านร้อยล้านเหมารายการโทรทัศน์ไปถ่ายทอดด้วย (น่าเสียดายเพราะเป็นเงินหลวง)

ที่มันจะชั่วแน่นอนที่สุดก็คือไม่สามารถจะแก้ไขความยากจนได้สำเร็จ แต่เป็นการไปยืมสถานที่สำหรับสะเดาะเคราะห์หรือแก้เคล็ดให้แก่ดวงชะตา และถ่ายรูปทำประวัติโง่ๆ ดูเล่นโก้ๆ เมื่อต้องย้ายจากเมืองไทยไปอยู่ต่างประเทศอย่างเขาว่า

ไม่ใช่เอ็งที่มีแก่นสารสาระอะไร

ที่หน้าปากตรอกบ้านผม มีมอเตอร์ไซค์เยอะ เมื่อผมเดินผ่านมาได้ยินเสียงคนอีสานหนุ่มๆ เจ้าของมอเตอร์ไซค์คุยกันโขมงโฉงเฉงถึงเรื่องการไปแก้ไขความจนนี้ว่า "กูจะอ้วกว่ะ"

แต่คู่สนทนาของเขากลับปิดท้ายว่า "มันงานของเด็กอมมือว่ะ ไม่ใช่นายกฯ นายักที่ไหน"

ขอโทษเถอะ, อย่างนี้ก็มีคนพูดกัน!!
กำลังโหลดความคิดเห็น