ปัจจุบัน เราๆ ท่านๆ มีความเข้าใจตรงกันอย่างยิ่งแล้วว่า การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน เกี่ยวโยงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง การเมืองจะดีเมื่อมีพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ก้าวขึ้นสู่เวที ใช้อำนาจบริหารประเทศ โดยถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง จากนี้ไปกำหนดแนวนโยบาย และดำเนินมาตรการทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ด้วยการเมืองเช่นนี้ ประเทศชาติจึงจะเจริญรุ่งเรือง พัฒนาก้าวหน้า เข้มแข็ง เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างองอาจบนเวทีโลก ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างหรือเป็น "เหยื่อ" ของประเทศอื่น ประชาชนจึงจะมีชีวิตที่ดี มีหลักประกันในชีวิตทั้งทางวัตถุและจิตใจ รู้สึกมีความมั่นคงและรู้สึกเชื่อมั่นศรัทธาในชีวิต มีความเป็นสุข มีศักดิ์ศรี สามารถไปมาหาสู่กับประชาชนประเทศต่างๆ ได้อย่างเสมอภาค และเท่าเทียมกัน
ดังนั้น การ "ทำ" การเมืองให้ดี จึงเป็นภาระหน้าที่เบื้องต้นของประชาชน ที่จำเป็นจะต้อง ร่วมด้วยช่วยกัน ในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งพรรคการเมืองที่ดี มีคุณภาพ เพียงพอที่จะเข้ามาแบกรับภารกิจสำคัญ นั่นคือ ใช้อำนาจกลไกรัฐขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาประเทศ ให้เกิดมรรคผลต่อประเทศชาติและประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จากนี้ การทำการเมืองให้ดี โดยสาระสำคัญก็คือ จะต้องนำไปสู่การเกิดพรรคการเมืองที่ดีและมีคุณภาพ ที่มีความพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจใช้อำนาจรัฐ กลไกรัฐไปในการพัฒนาสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศชาติ ดำเนินแนวนโยบายที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนในแต่ละห้วงของการพัฒนา
ซึ่งเมื่ออิงตามความเข้าใจดังกล่าว พรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ จึงต้องมีจุดยืนที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งเสมอ มีทัศนะที่เป็นวิทยาศาสตร์ มองเห็นว่าการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชน ถึงที่สุดแล้วก็ต้องเป็นเรื่องที่ปวงประชามหาชนจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการ โดยรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการปรับปฏิรูประบบกลไกต่างๆ ให้เอื้อต่อการพัฒนาดังกล่าวให้มากที่สุด และอย่างรอบด้านที่สุดในทุกขั้นตอน รวมทั้งมีวิธีการที่ถูกต้อง สามารถจับปมปัญหาที่มีอยู่ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาได้อย่างถูกต้อง สามารถรวมศูนย์กำลัง โดยเฉพาะคือองค์ความรู้และปัญญารวมหมู่ ตลอดจนเหตุปัจจัยต่างๆ อย่างทั่วด้าน เข้าสู่การแก้ไข ขจัดปัญหาปมเงื่อนในแต่ละห้วงของการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ บังเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดเสมอ
ในบริบทของการเมืองระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองได้อำนาจบริหารจากการแข่งขันกันในสนามเลือกตั้ง เพราะสามารถนำเสนอแนวนโยบายที่ โดนใจ และดำเนินนโยบายได้อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนมากที่สุด ก็จะได้รับเสียงสนับสนุนมากที่สุด และสามารถดำเนินการบริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่องหลายสมัย
อีกนัยหนึ่ง หากการใช้อำนาจบริหารประเทศเป็นไปด้วยดี เกิดมรรคผลที่จับต้องได้ ประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรือง ประชาชนสามารถลืมตาอ้าปากได้ รู้สึกมั่นคง เป็นสุข และเชื่อมั่นอย่างยิ่งในอนาคตข้างหน้า ก็จะได้รับความไว้วางใจจากปวงประชามหาชนให้ดำเนินการบริหารประเทศต่อไป
ตรงกันข้าม หากการบริหารประเทศดำเนินไปแบบผิดๆ ไม่สามารถใช้อำนาจและกลไกรัฐอย่างถูกต้องและอย่างเหมาะสม ไม่เกิดมรรคผล ไม่เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ และไม่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชน ก็จำเป็นที่รัฐบาลโดยพรรคการเมืองนั้นๆจะต้องยุติบทบาทตนเอง ละวางจากอำนาจรัฐ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองอื่นที่มีความพร้อมมากกว่าเข้าไปใช้อำนาจบริหารประเทศต่อไป
สรุปคือ การเมืองในระบอบประชาธิปไตยจะขับเคลื่อนไปด้วยดี เกิดมรรคผลต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง จะต้องประกอบไปด้วยพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ และสามารถเข้าออกจากระบบการใช้อำนาจรัฐตามกฎกติกาที่กำหนดไว้ได้เป็นอย่างดี
การเมืองโลกกำลังพัฒนาไปตามแนวโน้มเช่นว่านี้ โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง เป็นปัจจัยชี้ขาดของการเมืองยุคใหม่ ทั้งในประเทศทุนนิยมและสังคมนิยม
ในประเทศสังคมนิยม เช่น ประเทศจีน มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้อำนาจบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว การจะดำรงสถานภาพเป็นพรรคบริหารได้อย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปตนเองอย่างต่อเนื่อง ให้พร้อมที่สุดสำหรับการใช้อำนาจรัฐ กลไกรัฐ สามารถกำหนดแนวนโยบายที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของปวงประชามหาชนอยู่เสมอ บริหารประเทศจนเกิดมรรคผลสูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนอยู่เสมอ ยังความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างยิ่งแก่ปวงประชามหาชนตลอดเวลา การเมืองของประเทศจีนจึงเป็นการเมืองที่ดี เป็นเหตุปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมจีนไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้าน ยากที่ประเทศอื่นจะเอาอย่างได้
แม้ในกลุ่มประเทศสังคมนิยมด้วยกัน เมื่อพรรคบริหารประเทศไม่ปฏิรูปตนเอง ไม่พัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพการใช้อำนาจบริหารประเทศตามลักษณะของยุคสมัยอย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชน ก็อาจเป็นอุปสรรคสำคัญของการขับเคลื่อนตนเองไปสู่อนาคต เป็นตัวถ่วงสำคัญของการพัฒนาประเทศ ทำลายโอกาสการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วไป ดังเช่นที่เคยเป็นไปอย่างกว้างขวางในกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต และในประเทศสังคมนิยมบางประเทศในปัจจุบัน ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศกำลังพัฒนา
ในทำนองเดียวกัน ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบทุนนิยมบางประเทศ พรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ มีการปรับปฏิรูปแนวคิดและวิธีการทำงานของตนเอง จนเป็นที่ยอมรับของประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งอยู่ตลอดเวลา ก็สามารถธำรงหรือ "ผูกขาด" ไว้ซึ่งอำนาจบริหารประเทศอย่างเหนียวแน่น เป็นพรรคบริหารประเทศตลอดกาล เช่น พรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ในประเทศญี่ปุ่น และพรรคกิจประชา (พีเพิลแอ็กชั่นพาร์ตี้) ของสิงคโปร์
เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้าน จากภาพรวมทั้งหมด จึงพอจะ "ฟันธง" ได้ว่า การเมืองที่มีพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพเป็นตัวนำ เป็นตัวกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการเมืองในประเทศทุนนิยมหรือสังคมนิยม จะนำมาซึ่งมรรคผลที่ดีกว่าเสมอ
เมื่อพิจารณาการเมืองไทยจากมุมมองดังกล่าว เราก็พอจะได้คำตอบไม่ยากว่า การเมืองประเทศไทยยังไม่ดีพอ เพราะยังขาดพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ!
ในขั้นนี้ การสร้างพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ จึงเป็นภารกิจร่วมกัน ที่มีความสำคัญอันดับหนึ่งของประชาชนชาวไทย ในการกรุยทางไปสู่การเป็นประเทศกำลังพัฒนา ที่มีความก้าวหน้าทางการเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วิทยาการสมัยใหม่ ตลอดจนการศึกษาและศิลปวัฒนธรรมอย่างรอบด้านต่อไป โดยประชาชนชาวไทยจะเป็นผู้เสวยประโยชน์บั้นปลาย เกิดความผาสุกในชีวิต มีอิสรภาพที่จะพัฒนาตนเองได้อย่างรอบด้าน เฉกเช่นประชาชนในประเทศที่เจริญแล้วทั้งในระบอบทุนนิยมและสังคมนิยม
ในกระบวนการดังกล่าว สิ่งที่เราจำเป็นต้องตระหนักถึง ก็คือความเป็นจริงของโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย
ในการสร้างพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจในโครงสร้างอำนาจในสังคมไทยให้ถูกต้อง เพื่อลดอุปสรรคขัดขวางให้เหลือน้อยที่สุด และเพื่อเอื้ออำนวยให้พรรคการเมืองที่เรากำลังจะสร้างขึ้นนั้น สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองไปในทางสร้างสรรค์ได้มากที่สุด เป็นที่ยอมรับและได้รับความร่วมมือจากองค์อำนาจต่างๆ มากที่สุดเป็นอย่างน้อย หรือสามารถผลักดันให้องค์อำนาจเหล่านั้น แสดงบทบาทสร้างสรรค์ ในกระบวนการขับเคลื่อนของการเมืองไทยในแต่ละขั้นได้เป็นอย่างมาก
คือไม่เพียงไม่ขัดขวาง แต่กลับให้ความร่วมมือในการสร้างพรรคการเมืองดังกล่าว และพร้อมที่จะสนับสนุนให้พรรคการเมืองเช่นว่าก้าวขึ้นใช้อำนาจบริหารประเทศ เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน คือ ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน
โดยภาพรวมแล้ว ปัจจุบัน โครงสร้างอำนาจในสังคมไทย หลักประกอบไปด้วย 1. อำนาจจารีตนิยม และ 2. อำนาจทุน สิ่งที่เรากำลังจะสร้างขึ้นคืออำนาจของประชาชน ซึ่งก็คือ อำนาจปัญญา ต้องใช้ปัญญาชี้นำ คือการล่วงรู้ถึง ความจริง ที่เป็นปมเงื่อนของกระบวนการขับเคลื่อนของสังคมไทยในปัจจุบัน ซึ่งก็คือพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ
อำนาจจารีตนิยม ปัจจุบันกำลังพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นสัญลักษณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเคลื่อนคล้อยของเวลา เป็นสิ่งตกทอดทางประวัติศาสตร์ จะต้องอนุญาตให้ค่อยๆ จางหายไปเองตามธรรมชาติ ไม่ควรใช้วิธีการตัดตอนกวาดล้างด้วยอำนาจทุนหรืออำนาจเบ็ดเสร็จใดๆ เพราะจะนำไปสู่ความแตกสลายทางจิตใจของคนไทยจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเหตุแห่งความแตกแยกในหมู่ประชาชนในระยะยาว อีกทั้ง ลักษณะยุคสมัยของสังคมโลกปัจจุบัน เน้นการพัฒนาในบริบทของความมีสันติภาพ มิใช่ยุคปฏิวัติหลั่งเลือดเฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นในยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 18-19 การแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง จะเป็นการย้อนยุค ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย จะไม่เกิดผลดี และไม่มีทางสำเร็จ
ขณะเดียวกัน อำนาจทุนไทยที่กำลังพองตัวตามอิทธิพลครอบงำของทุนข้ามชาติ เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจทุนครอบโลกที่มุ่งสูบความมั่งคั่งเข้าตัว มุ่งขยายฐานกลุ่มทุนเพื่อการขับเคลื่อนตนเองในฐานะส่วนหนึ่งของทุนครอบโลก กลับมีลักษณะฮึกเหิม โดยเฉพาะเมื่อได้เป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารประเทศ ได้ทำการรุกคืบอย่างหนัก การปะทะกันของอำนาจจารีตนิยมกับอำนาจทุน (หรือที่เรียกว่า กลุ่มทุนเก่ากับกลุ่มทุนใหม่) โดยมีกลุ่มอำนาจทุนที่กุมอำนาจบริหารประเทศเป็นฝ่ายรุกคืบ ทำให้อำนาจจารีตนิยมต้องเร่งหาพันธมิตร และตีโต้ด้วยการเปิดโปงพฤติกรรมใช้อำนาจโดยมิชอบ ขณะที่กลุ่มอำนาจทุนก็เร่งแย่งยึดฐานมวลชน ด้วยนโยบายประชานิยม แต่ถึงที่สุดก็ไม่สามารถเอาชนะใจประชาชนได้ เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนได้จริง และไม่สามารถครอบครองจิตใจของประชาชนไทยทั่วไป จึงตกอยู่ในความโดดเดี่ยว แต่ก็แข็งพอที่จะยืนหยัดเดินเกมรุกต่อไปได้เรื่อยๆ
การปะทะกันของอำนาจทั้งสอง มีความเป็นไปได้สองอย่างคือ เป็นไปอย่างถึงที่สุดถึงขั้นแตกหัก หรือเป็นไปอย่างประนีประนอม สามารถรอมชอมกันได้ อยู่ร่วมกันได้แต่ก็ขัดแย้งกันตลอดเวลา
ในทางอัตวิสัย พิจารณาดูจากท่าทีของผู้นำทั้งสองฝ่าย มีแนวโน้มจะเป็นไปอย่างแตกหัก แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ มีแนวโน้มเป็นไปอย่างประนีประนอม
ในภาวะเช่นนี้ โครงสร้างอำนาจทางการเมืองในสังคมไทย ก็จะดำรงอยู่ในรูปของอำนาจซ้อน คืออำนาจจารีตนิยมและอำนาจทุนที่แข็งขืนในกันและกัน คอยกัดกร่อนซึ่งกันและกัน จะเป็นสาเหตุสำคัญของความสับสนวุ่นวาย ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง เป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาก้าวหน้าทางเศรษฐกิจการเมืองของประเทศไทย ประชาชนชาวไทยจะไม่ได้รับประโยชน์อันใด จะยังยากจน เป็นหนี้เป็นสิน ถูกจำกัดโอกาสการพัฒนาตนเองไปอีกนาน
ทางออกคือ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งตั้งพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนขึ้นมา จัดตั้งประชาชน ติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน สร้างความแข็งแกร่งไปพร้อมๆ กับช่วงชิงความร่วมมือจากทั้งจากกลุ่มอำนาจจารีตนิยมและกลุ่มอำนาจทุน (ในส่วนที่ช่วงชิงได้) ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาทางการเมืองของประเทศไทยไปในทิศทางที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง
ความคิดยุทธศาสตร์ชี้นำ คือสามัคคีพลังรักชาติรักประชาชน สร้างอำนาจปัญญา ที่เป็นตัวแทนแห่งอนาคตของประเทศชาติและประชาชนไทย ในรูปของพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย ดำเนินการทุกอย่างโดยถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยเป็นตัวตั้ง
ทิศทาง คือ มุ่งสู่มวลชน จัดตั้งมวลชน ประกาศแนวนโยบายสามัคคีพลังรักชาติรักประชาชน พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่าย(รวมทั้งในส่วนของอำนาจจารีตนิยมและอำนาจทุน)ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของประเทศไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนชาวไทยอยู่ดีกินดี มีสุข
นั่นหมายถึงว่า การเมืองประเทศไทยจะมีพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพใช้อำนาจบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจต่างๆ ให้ความร่วมมือและสนับสนุน การเมืองประเทศไทยจะพัฒนาก้าวไกลไปอีกขั้นหนึ่ง
สังคมไทยจะเป็นสังคมกลมกลืนบนความหลากหลาย ทั้งที่เป็นสิ่งเก่าและสิ่งใหม่ที่ทรงคุณค่ายิ่งในความเป็นไทย
ผู้ที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆ เนื้อๆ ก็คือลูกหลานไทย
จงมาตั้งพรรคการเมืองเพื่อลูกหลานไทยกันเถิด!
ด้วยการเมืองเช่นนี้ ประเทศชาติจึงจะเจริญรุ่งเรือง พัฒนาก้าวหน้า เข้มแข็ง เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างองอาจบนเวทีโลก ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างหรือเป็น "เหยื่อ" ของประเทศอื่น ประชาชนจึงจะมีชีวิตที่ดี มีหลักประกันในชีวิตทั้งทางวัตถุและจิตใจ รู้สึกมีความมั่นคงและรู้สึกเชื่อมั่นศรัทธาในชีวิต มีความเป็นสุข มีศักดิ์ศรี สามารถไปมาหาสู่กับประชาชนประเทศต่างๆ ได้อย่างเสมอภาค และเท่าเทียมกัน
ดังนั้น การ "ทำ" การเมืองให้ดี จึงเป็นภาระหน้าที่เบื้องต้นของประชาชน ที่จำเป็นจะต้อง ร่วมด้วยช่วยกัน ในทุกๆ ด้าน เพื่อให้ได้มาซึ่งพรรคการเมืองที่ดี มีคุณภาพ เพียงพอที่จะเข้ามาแบกรับภารกิจสำคัญ นั่นคือ ใช้อำนาจกลไกรัฐขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาประเทศ ให้เกิดมรรคผลต่อประเทศชาติและประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จากนี้ การทำการเมืองให้ดี โดยสาระสำคัญก็คือ จะต้องนำไปสู่การเกิดพรรคการเมืองที่ดีและมีคุณภาพ ที่มีความพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจใช้อำนาจรัฐ กลไกรัฐไปในการพัฒนาสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศชาติ ดำเนินแนวนโยบายที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนในแต่ละห้วงของการพัฒนา
ซึ่งเมื่ออิงตามความเข้าใจดังกล่าว พรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ จึงต้องมีจุดยืนที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งเสมอ มีทัศนะที่เป็นวิทยาศาสตร์ มองเห็นว่าการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชน ถึงที่สุดแล้วก็ต้องเป็นเรื่องที่ปวงประชามหาชนจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินการ โดยรัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการปรับปฏิรูประบบกลไกต่างๆ ให้เอื้อต่อการพัฒนาดังกล่าวให้มากที่สุด และอย่างรอบด้านที่สุดในทุกขั้นตอน รวมทั้งมีวิธีการที่ถูกต้อง สามารถจับปมปัญหาที่มีอยู่ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาได้อย่างถูกต้อง สามารถรวมศูนย์กำลัง โดยเฉพาะคือองค์ความรู้และปัญญารวมหมู่ ตลอดจนเหตุปัจจัยต่างๆ อย่างทั่วด้าน เข้าสู่การแก้ไข ขจัดปัญหาปมเงื่อนในแต่ละห้วงของการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ บังเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดเสมอ
ในบริบทของการเมืองระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองได้อำนาจบริหารจากการแข่งขันกันในสนามเลือกตั้ง เพราะสามารถนำเสนอแนวนโยบายที่ โดนใจ และดำเนินนโยบายได้อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนมากที่สุด ก็จะได้รับเสียงสนับสนุนมากที่สุด และสามารถดำเนินการบริหารประเทศได้อย่างต่อเนื่องหลายสมัย
อีกนัยหนึ่ง หากการใช้อำนาจบริหารประเทศเป็นไปด้วยดี เกิดมรรคผลที่จับต้องได้ ประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรือง ประชาชนสามารถลืมตาอ้าปากได้ รู้สึกมั่นคง เป็นสุข และเชื่อมั่นอย่างยิ่งในอนาคตข้างหน้า ก็จะได้รับความไว้วางใจจากปวงประชามหาชนให้ดำเนินการบริหารประเทศต่อไป
ตรงกันข้าม หากการบริหารประเทศดำเนินไปแบบผิดๆ ไม่สามารถใช้อำนาจและกลไกรัฐอย่างถูกต้องและอย่างเหมาะสม ไม่เกิดมรรคผล ไม่เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ และไม่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชน ก็จำเป็นที่รัฐบาลโดยพรรคการเมืองนั้นๆจะต้องยุติบทบาทตนเอง ละวางจากอำนาจรัฐ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองอื่นที่มีความพร้อมมากกว่าเข้าไปใช้อำนาจบริหารประเทศต่อไป
สรุปคือ การเมืองในระบอบประชาธิปไตยจะขับเคลื่อนไปด้วยดี เกิดมรรคผลต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง จะต้องประกอบไปด้วยพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ และสามารถเข้าออกจากระบบการใช้อำนาจรัฐตามกฎกติกาที่กำหนดไว้ได้เป็นอย่างดี
การเมืองโลกกำลังพัฒนาไปตามแนวโน้มเช่นว่านี้ โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง เป็นปัจจัยชี้ขาดของการเมืองยุคใหม่ ทั้งในประเทศทุนนิยมและสังคมนิยม
ในประเทศสังคมนิยม เช่น ประเทศจีน มีพรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้อำนาจบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว การจะดำรงสถานภาพเป็นพรรคบริหารได้อย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องดำเนินการปฏิรูปตนเองอย่างต่อเนื่อง ให้พร้อมที่สุดสำหรับการใช้อำนาจรัฐ กลไกรัฐ สามารถกำหนดแนวนโยบายที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของปวงประชามหาชนอยู่เสมอ บริหารประเทศจนเกิดมรรคผลสูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนอยู่เสมอ ยังความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างยิ่งแก่ปวงประชามหาชนตลอดเวลา การเมืองของประเทศจีนจึงเป็นการเมืองที่ดี เป็นเหตุปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมจีนไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้าน ยากที่ประเทศอื่นจะเอาอย่างได้
แม้ในกลุ่มประเทศสังคมนิยมด้วยกัน เมื่อพรรคบริหารประเทศไม่ปฏิรูปตนเอง ไม่พัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพการใช้อำนาจบริหารประเทศตามลักษณะของยุคสมัยอย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชน ก็อาจเป็นอุปสรรคสำคัญของการขับเคลื่อนตนเองไปสู่อนาคต เป็นตัวถ่วงสำคัญของการพัฒนาประเทศ ทำลายโอกาสการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วไป ดังเช่นที่เคยเป็นไปอย่างกว้างขวางในกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต และในประเทศสังคมนิยมบางประเทศในปัจจุบัน ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศกำลังพัฒนา
ในทำนองเดียวกัน ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบทุนนิยมบางประเทศ พรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ มีการปรับปฏิรูปแนวคิดและวิธีการทำงานของตนเอง จนเป็นที่ยอมรับของประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งอยู่ตลอดเวลา ก็สามารถธำรงหรือ "ผูกขาด" ไว้ซึ่งอำนาจบริหารประเทศอย่างเหนียวแน่น เป็นพรรคบริหารประเทศตลอดกาล เช่น พรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ในประเทศญี่ปุ่น และพรรคกิจประชา (พีเพิลแอ็กชั่นพาร์ตี้) ของสิงคโปร์
เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้าน จากภาพรวมทั้งหมด จึงพอจะ "ฟันธง" ได้ว่า การเมืองที่มีพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพเป็นตัวนำ เป็นตัวกำหนด ไม่ว่าจะเป็นการเมืองในประเทศทุนนิยมหรือสังคมนิยม จะนำมาซึ่งมรรคผลที่ดีกว่าเสมอ
เมื่อพิจารณาการเมืองไทยจากมุมมองดังกล่าว เราก็พอจะได้คำตอบไม่ยากว่า การเมืองประเทศไทยยังไม่ดีพอ เพราะยังขาดพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ!
ในขั้นนี้ การสร้างพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ จึงเป็นภารกิจร่วมกัน ที่มีความสำคัญอันดับหนึ่งของประชาชนชาวไทย ในการกรุยทางไปสู่การเป็นประเทศกำลังพัฒนา ที่มีความก้าวหน้าทางการเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วิทยาการสมัยใหม่ ตลอดจนการศึกษาและศิลปวัฒนธรรมอย่างรอบด้านต่อไป โดยประชาชนชาวไทยจะเป็นผู้เสวยประโยชน์บั้นปลาย เกิดความผาสุกในชีวิต มีอิสรภาพที่จะพัฒนาตนเองได้อย่างรอบด้าน เฉกเช่นประชาชนในประเทศที่เจริญแล้วทั้งในระบอบทุนนิยมและสังคมนิยม
ในกระบวนการดังกล่าว สิ่งที่เราจำเป็นต้องตระหนักถึง ก็คือความเป็นจริงของโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย
ในการสร้างพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจในโครงสร้างอำนาจในสังคมไทยให้ถูกต้อง เพื่อลดอุปสรรคขัดขวางให้เหลือน้อยที่สุด และเพื่อเอื้ออำนวยให้พรรคการเมืองที่เรากำลังจะสร้างขึ้นนั้น สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองไปในทางสร้างสรรค์ได้มากที่สุด เป็นที่ยอมรับและได้รับความร่วมมือจากองค์อำนาจต่างๆ มากที่สุดเป็นอย่างน้อย หรือสามารถผลักดันให้องค์อำนาจเหล่านั้น แสดงบทบาทสร้างสรรค์ ในกระบวนการขับเคลื่อนของการเมืองไทยในแต่ละขั้นได้เป็นอย่างมาก
คือไม่เพียงไม่ขัดขวาง แต่กลับให้ความร่วมมือในการสร้างพรรคการเมืองดังกล่าว และพร้อมที่จะสนับสนุนให้พรรคการเมืองเช่นว่าก้าวขึ้นใช้อำนาจบริหารประเทศ เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน คือ ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชน
โดยภาพรวมแล้ว ปัจจุบัน โครงสร้างอำนาจในสังคมไทย หลักประกอบไปด้วย 1. อำนาจจารีตนิยม และ 2. อำนาจทุน สิ่งที่เรากำลังจะสร้างขึ้นคืออำนาจของประชาชน ซึ่งก็คือ อำนาจปัญญา ต้องใช้ปัญญาชี้นำ คือการล่วงรู้ถึง ความจริง ที่เป็นปมเงื่อนของกระบวนการขับเคลื่อนของสังคมไทยในปัจจุบัน ซึ่งก็คือพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพ
อำนาจจารีตนิยม ปัจจุบันกำลังพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นสัญลักษณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ตามการเคลื่อนคล้อยของเวลา เป็นสิ่งตกทอดทางประวัติศาสตร์ จะต้องอนุญาตให้ค่อยๆ จางหายไปเองตามธรรมชาติ ไม่ควรใช้วิธีการตัดตอนกวาดล้างด้วยอำนาจทุนหรืออำนาจเบ็ดเสร็จใดๆ เพราะจะนำไปสู่ความแตกสลายทางจิตใจของคนไทยจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเหตุแห่งความแตกแยกในหมู่ประชาชนในระยะยาว อีกทั้ง ลักษณะยุคสมัยของสังคมโลกปัจจุบัน เน้นการพัฒนาในบริบทของความมีสันติภาพ มิใช่ยุคปฏิวัติหลั่งเลือดเฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นในยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 18-19 การแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง จะเป็นการย้อนยุค ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย จะไม่เกิดผลดี และไม่มีทางสำเร็จ
ขณะเดียวกัน อำนาจทุนไทยที่กำลังพองตัวตามอิทธิพลครอบงำของทุนข้ามชาติ เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจทุนครอบโลกที่มุ่งสูบความมั่งคั่งเข้าตัว มุ่งขยายฐานกลุ่มทุนเพื่อการขับเคลื่อนตนเองในฐานะส่วนหนึ่งของทุนครอบโลก กลับมีลักษณะฮึกเหิม โดยเฉพาะเมื่อได้เป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารประเทศ ได้ทำการรุกคืบอย่างหนัก การปะทะกันของอำนาจจารีตนิยมกับอำนาจทุน (หรือที่เรียกว่า กลุ่มทุนเก่ากับกลุ่มทุนใหม่) โดยมีกลุ่มอำนาจทุนที่กุมอำนาจบริหารประเทศเป็นฝ่ายรุกคืบ ทำให้อำนาจจารีตนิยมต้องเร่งหาพันธมิตร และตีโต้ด้วยการเปิดโปงพฤติกรรมใช้อำนาจโดยมิชอบ ขณะที่กลุ่มอำนาจทุนก็เร่งแย่งยึดฐานมวลชน ด้วยนโยบายประชานิยม แต่ถึงที่สุดก็ไม่สามารถเอาชนะใจประชาชนได้ เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนได้จริง และไม่สามารถครอบครองจิตใจของประชาชนไทยทั่วไป จึงตกอยู่ในความโดดเดี่ยว แต่ก็แข็งพอที่จะยืนหยัดเดินเกมรุกต่อไปได้เรื่อยๆ
การปะทะกันของอำนาจทั้งสอง มีความเป็นไปได้สองอย่างคือ เป็นไปอย่างถึงที่สุดถึงขั้นแตกหัก หรือเป็นไปอย่างประนีประนอม สามารถรอมชอมกันได้ อยู่ร่วมกันได้แต่ก็ขัดแย้งกันตลอดเวลา
ในทางอัตวิสัย พิจารณาดูจากท่าทีของผู้นำทั้งสองฝ่าย มีแนวโน้มจะเป็นไปอย่างแตกหัก แต่เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมทั้งในและต่างประเทศ มีแนวโน้มเป็นไปอย่างประนีประนอม
ในภาวะเช่นนี้ โครงสร้างอำนาจทางการเมืองในสังคมไทย ก็จะดำรงอยู่ในรูปของอำนาจซ้อน คืออำนาจจารีตนิยมและอำนาจทุนที่แข็งขืนในกันและกัน คอยกัดกร่อนซึ่งกันและกัน จะเป็นสาเหตุสำคัญของความสับสนวุ่นวาย ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง เป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาก้าวหน้าทางเศรษฐกิจการเมืองของประเทศไทย ประชาชนชาวไทยจะไม่ได้รับประโยชน์อันใด จะยังยากจน เป็นหนี้เป็นสิน ถูกจำกัดโอกาสการพัฒนาตนเองไปอีกนาน
ทางออกคือ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งตั้งพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนขึ้นมา จัดตั้งประชาชน ติดอาวุธทางปัญญาให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน สร้างความแข็งแกร่งไปพร้อมๆ กับช่วงชิงความร่วมมือจากทั้งจากกลุ่มอำนาจจารีตนิยมและกลุ่มอำนาจทุน (ในส่วนที่ช่วงชิงได้) ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาทางการเมืองของประเทศไทยไปในทิศทางที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง
ความคิดยุทธศาสตร์ชี้นำ คือสามัคคีพลังรักชาติรักประชาชน สร้างอำนาจปัญญา ที่เป็นตัวแทนแห่งอนาคตของประเทศชาติและประชาชนไทย ในรูปของพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย ดำเนินการทุกอย่างโดยถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยเป็นตัวตั้ง
ทิศทาง คือ มุ่งสู่มวลชน จัดตั้งมวลชน ประกาศแนวนโยบายสามัคคีพลังรักชาติรักประชาชน พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่าย(รวมทั้งในส่วนของอำนาจจารีตนิยมและอำนาจทุน)ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของประเทศไทยไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนชาวไทยอยู่ดีกินดี มีสุข
นั่นหมายถึงว่า การเมืองประเทศไทยจะมีพรรคการเมืองที่ดีมีคุณภาพใช้อำนาจบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจต่างๆ ให้ความร่วมมือและสนับสนุน การเมืองประเทศไทยจะพัฒนาก้าวไกลไปอีกขั้นหนึ่ง
สังคมไทยจะเป็นสังคมกลมกลืนบนความหลากหลาย ทั้งที่เป็นสิ่งเก่าและสิ่งใหม่ที่ทรงคุณค่ายิ่งในความเป็นไทย
ผู้ที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆ เนื้อๆ ก็คือลูกหลานไทย
จงมาตั้งพรรคการเมืองเพื่อลูกหลานไทยกันเถิด!