รอยเตอร์ - บรรดาบริษัทเวชภัณฑ์กำลังวาดหวังกับยาลดความอ้วนตระกูลใหม่ที่สกัดจากกัญชา โดยนักวิเคราะห์คาดหมายกันว่าน่าจะทำยอดขายได้ถึงปีละ 3,000 ล้านดอลลาร์ และกลายเป็นยาต่อต้านความอ้วนชนิดแรก ซึ่งสามารถทำเงินเป็นกอบเป็นกำได้จริงๆ
นักวิจัยพบว่าคนที่เสพกัญชา จะได้รับสารซึ่งไปปิดวงจรในสมอง อันปกติมีหน้าที่ทำให้คนเราเกิดความหิว ดังนั้นพวกพี้ยาเสพติดชนิดนี้จึงไม่ค่อยรู้สึกอยากอาหาร สารประกอบจากกัญชาตัวนี้เอง เป็นตัวยาสำคัญในยาลดอ้วนตระกูลใหม่ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองว่า น่าจะสร้างผลกำไรอย่างงดงามให้บริษัทผู้ผลิต
ยาอะคอมเพลีย หรือที่มีชื่อสามัญทางยาว่า ริโมนาบันต์ ของบริษัทซาโนฟี-อะเวนติส เอสเอ น่าจะเป็นยาตระกูลนี้ตัวแรก ซึ่งผ่านการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลของทางการสหรัฐฯ โดยอย่างเร็วที่สุดน่าจะเป็นเดือนหน้า
ขณะเดียวกัน ยาที่อยู่ระหว่างการทดลองอีก 2 ตัว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในค่าย อารีนา ฟาร์มาซูติคอลส์ อิงก์ และ อลิไซม์ พีแอลซี โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างออกไป ก็มีรายงานว่าให้ผลน่าพอใจในระหว่างการทดสอบทางคลินิกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้นักลงทุนบางรายเริ่มเข้าไปถือหุ้นของบริษัทเหล่านี้กันแล้ว
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผ่านมาการวางเดิมพันในยาลดความอ้วน ต้องนับว่าเป็นเรื่องเสี่ยง ยาจำพวกนี้มีประวัติซึ่งไม่ค่อยสวยเอาเลย โดยบางตัวปรากฏว่ามีประสิทธิภาพแค่พอประมาณ ขณะที่บางตัวถึงขั้นก่อผลข้างเคียงที่รุนแรง ทั้งนี้ตัวที่ชื่อฉาวโฉ่ที่สุด ก็คือยาคุมน้ำหนัก "เฟน-เฟน" ที่เป็นยา 2 ตัวกินไปด้วยกัน และปรากฏว่าทำให้ผู้ใช้บางรายเกิดปัญหาลิ้นหัวใจ จนทำให้บริษัทไวเอธที่เป็นผู้ผลิตต้องตั้งสำรองเผื่อถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย เป็นเงินกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์
กระนั้น ความผิดหวังในอดีตดูจะไม่อาจทำให้พวกบริษัทเวชภัณฑ์เลิกลงทุนอย่างหนัก เพื่อเสาะหายารุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะเป็นผู้ชนะในที่สุด
จอนาธาน เดอ พาสส์ ซีอีโอของ อีวาลูเอต บริษัทที่ปรึกษาซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องเวชภัณฑ์ คำนวณว่าเวลานี้มียาลดอ้วนใหม่ๆ กำลังอยู่ในขั้นทดลองทางคลินิกรวม 26 ตัว และที่อยู่ในขั้นการวิจัยพัฒนาช่วงต้นๆ ก็มีอีก 32 ตัว
นอกจากนั้น ยังมียาแก้เบาหวานอย่างน้อย 5-6 ตัว ซึ่งกำลังถูกนำมาทดลองใช้เพื่อลดน้ำหนัก
เหตุผลก็คือ ตลาดยาลดอ้วนกำลังเป็นตลาดใหญ่มหึมา องค์การอนามัยโลก(ฮู) ประมาณการว่า เวลานี้คนในโลกว่า 1,000 ล้านมีน้ำหนักตัวมากเกินไป และถ้าแนวโน้มยังเป็นอย่างในปัจจุบัน ถึงปี 2015 จำนวนจะเพิ่มเป็น 1,500 ล้านคน
จากตัวเลขรวมขนาดนี้ มีกว่า 300 ล้านคนแล้วซึ่งถือว่าเป็นโรคอ้วน ซึ่งเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคหัวใจ, หัวใจวาย, โรคเบาหวาน, ปัญหาระบบทางเดินหายใจ, และมะเร็งบางชนิด
อย่างไรก็ตาม ดร.ทิโมธี อาร์มสตรอง แห่งฝ่ายโรคเรื้อรัง องค์การอนามัยโลกชี้ว่า ยาลดความอ้วนจะช่วยคนไข้ได้เพียงจำนวนน้อย โดยคนส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ามาก ด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
สำหรับยาลดความอ้วนซึ่งมีจำหน่ายในตลาดปัจจุบัน ที่สำคัญแล้วมี 2 ตัว ได้แก่ เซนิคอล ของ โรช โฮลดิ้ง แอลจี ซึ่งออกฤทธิ์ด้วยการจำกัดการดูดซึมไขมัน และยาเมอริเดีย/รีดัคทิล ของ แอบบอตต์ แลบอราทอรีส์ ซึ่งคอยกดความอยากอาหาร
แต่ทั้ง 2 ตัวอาจมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เซนิคอลนั้นอาจทำให้ร่างกายเกิดการปล่อยของเสียที่เป็นแก๊สและน้ำมันมากเกินไป ขณะที่เมอริเดียก็อาจเพิ่มแรงดันเลือด ผลก็คือ ทั้งคู่ทำยอดขายได้แค่พอประมาณ โดยอยู่ที่ 460 ล้านดอลลาร์ และ 300 ล้านดอลลาร์ตามลำดับในปี 2004
ตรงกันข้าม นักวิเคราะห์ต่างทำนายกันแทบเป็นเอกฉันท์ว่า ยาใหม่ของซาโนฟี-อะเวนทิส คือ อะคอมเพลีย จะทำยอดขายสูงสุดได้ถึงปีละ 3,100 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ตามการรวบรวมของอีวาลูเอต โดยที่บางรายให้ตัวเลขพยากรณ์ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ด้วยซ้ำ
นักวิจัยพบว่าคนที่เสพกัญชา จะได้รับสารซึ่งไปปิดวงจรในสมอง อันปกติมีหน้าที่ทำให้คนเราเกิดความหิว ดังนั้นพวกพี้ยาเสพติดชนิดนี้จึงไม่ค่อยรู้สึกอยากอาหาร สารประกอบจากกัญชาตัวนี้เอง เป็นตัวยาสำคัญในยาลดอ้วนตระกูลใหม่ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองว่า น่าจะสร้างผลกำไรอย่างงดงามให้บริษัทผู้ผลิต
ยาอะคอมเพลีย หรือที่มีชื่อสามัญทางยาว่า ริโมนาบันต์ ของบริษัทซาโนฟี-อะเวนติส เอสเอ น่าจะเป็นยาตระกูลนี้ตัวแรก ซึ่งผ่านการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลของทางการสหรัฐฯ โดยอย่างเร็วที่สุดน่าจะเป็นเดือนหน้า
ขณะเดียวกัน ยาที่อยู่ระหว่างการทดลองอีก 2 ตัว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในค่าย อารีนา ฟาร์มาซูติคอลส์ อิงก์ และ อลิไซม์ พีแอลซี โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างออกไป ก็มีรายงานว่าให้ผลน่าพอใจในระหว่างการทดสอบทางคลินิกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้นักลงทุนบางรายเริ่มเข้าไปถือหุ้นของบริษัทเหล่านี้กันแล้ว
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผ่านมาการวางเดิมพันในยาลดความอ้วน ต้องนับว่าเป็นเรื่องเสี่ยง ยาจำพวกนี้มีประวัติซึ่งไม่ค่อยสวยเอาเลย โดยบางตัวปรากฏว่ามีประสิทธิภาพแค่พอประมาณ ขณะที่บางตัวถึงขั้นก่อผลข้างเคียงที่รุนแรง ทั้งนี้ตัวที่ชื่อฉาวโฉ่ที่สุด ก็คือยาคุมน้ำหนัก "เฟน-เฟน" ที่เป็นยา 2 ตัวกินไปด้วยกัน และปรากฏว่าทำให้ผู้ใช้บางรายเกิดปัญหาลิ้นหัวใจ จนทำให้บริษัทไวเอธที่เป็นผู้ผลิตต้องตั้งสำรองเผื่อถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย เป็นเงินกว่า 21,000 ล้านดอลลาร์
กระนั้น ความผิดหวังในอดีตดูจะไม่อาจทำให้พวกบริษัทเวชภัณฑ์เลิกลงทุนอย่างหนัก เพื่อเสาะหายารุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะเป็นผู้ชนะในที่สุด
จอนาธาน เดอ พาสส์ ซีอีโอของ อีวาลูเอต บริษัทที่ปรึกษาซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องเวชภัณฑ์ คำนวณว่าเวลานี้มียาลดอ้วนใหม่ๆ กำลังอยู่ในขั้นทดลองทางคลินิกรวม 26 ตัว และที่อยู่ในขั้นการวิจัยพัฒนาช่วงต้นๆ ก็มีอีก 32 ตัว
นอกจากนั้น ยังมียาแก้เบาหวานอย่างน้อย 5-6 ตัว ซึ่งกำลังถูกนำมาทดลองใช้เพื่อลดน้ำหนัก
เหตุผลก็คือ ตลาดยาลดอ้วนกำลังเป็นตลาดใหญ่มหึมา องค์การอนามัยโลก(ฮู) ประมาณการว่า เวลานี้คนในโลกว่า 1,000 ล้านมีน้ำหนักตัวมากเกินไป และถ้าแนวโน้มยังเป็นอย่างในปัจจุบัน ถึงปี 2015 จำนวนจะเพิ่มเป็น 1,500 ล้านคน
จากตัวเลขรวมขนาดนี้ มีกว่า 300 ล้านคนแล้วซึ่งถือว่าเป็นโรคอ้วน ซึ่งเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคหัวใจ, หัวใจวาย, โรคเบาหวาน, ปัญหาระบบทางเดินหายใจ, และมะเร็งบางชนิด
อย่างไรก็ตาม ดร.ทิโมธี อาร์มสตรอง แห่งฝ่ายโรคเรื้อรัง องค์การอนามัยโลกชี้ว่า ยาลดความอ้วนจะช่วยคนไข้ได้เพียงจำนวนน้อย โดยคนส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ามาก ด้วยการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
สำหรับยาลดความอ้วนซึ่งมีจำหน่ายในตลาดปัจจุบัน ที่สำคัญแล้วมี 2 ตัว ได้แก่ เซนิคอล ของ โรช โฮลดิ้ง แอลจี ซึ่งออกฤทธิ์ด้วยการจำกัดการดูดซึมไขมัน และยาเมอริเดีย/รีดัคทิล ของ แอบบอตต์ แลบอราทอรีส์ ซึ่งคอยกดความอยากอาหาร
แต่ทั้ง 2 ตัวอาจมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เซนิคอลนั้นอาจทำให้ร่างกายเกิดการปล่อยของเสียที่เป็นแก๊สและน้ำมันมากเกินไป ขณะที่เมอริเดียก็อาจเพิ่มแรงดันเลือด ผลก็คือ ทั้งคู่ทำยอดขายได้แค่พอประมาณ โดยอยู่ที่ 460 ล้านดอลลาร์ และ 300 ล้านดอลลาร์ตามลำดับในปี 2004
ตรงกันข้าม นักวิเคราะห์ต่างทำนายกันแทบเป็นเอกฉันท์ว่า ยาใหม่ของซาโนฟี-อะเวนทิส คือ อะคอมเพลีย จะทำยอดขายสูงสุดได้ถึงปีละ 3,100 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ตามการรวบรวมของอีวาลูเอต โดยที่บางรายให้ตัวเลขพยากรณ์ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ด้วยซ้ำ