แนวทาง “ถวายคืนพระราชอำนาจ” เพื่อดับวิกฤตการเมืองที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี้ แม้จะมีวิธีคิดวิธีการดำเนินการแตกต่างกันไปบ้าง แต่ที่เหมือนกันคือไม่มีใครต้องการย้อนยุคไปไกลถึงช่วงก่อนปี 2475 แน่นอน
บ้านเมืองเดินหน้ามาถึงขนาดนี้แล้ว แม้จะหลงทิศผิดทางไปบ้าง
แต่จะย้อนยุคไปไกลขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ไม่มีใครคิดเปลี่ยน “ระบอบประชาธิปไตย” กลับไปสู่ “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” หรอก !
และก็ไม่มีใครต้องการ “การรัฐประหาร” ในแบบเดิม ๆ แน่นอน !
เพียงแต่ทุกคน ทุกกลุ่ม ที่มองเห็นปัญหาของบ้านเมืองรู้สึกอึดอัดคับข้อง และรู้ว่าหวังไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงจากภายในระบบสถานเดียว เพราะรัฐธรรมนูญ “ล็อก” ไว้หมด แก้รัฐธรรมนูญก็ทำไม่ได้ถ้าพรรคไทยรักไทยไม่โอเค นั่นก็หมายถึงถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่โอเค โหวตเอารัฐมนตรีขี้โกงออกก็ทำไม่ได้
ดูเหมือนว่าถ้ารอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ – สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวในขณะนี้ก็คือ...
“ทำใจ”
เหมือนกับว่าพวกเราเป็นหญิงสาว ตอนนี้โดนข่มขืนอยู่ จะสู้อย่างไรก็สู้ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือ...
“ทำใจ...ทำตัวให้คิดเสียว่าไม่เสียหายอะไร”
แนวคิดถวายคืนพระราชอำนาจ ไม่ใช่แนวคิดที่ต้องการให้เกิดการรัฐประหารในรูปแบบเก่า ๆ ประเภททหารเคลื่อนรถถังออกมายึดวิทยุโทรทัศน์อย่างในอดีต แต่ถ้าจะมีการรัฐประหารเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
Constitutional Coup !
ขออนุญาตย้อนอดีตความเป็นมาของคำนี้หน่อย
จะมีในตำรารัฐศาสตร์-นิติศาสตร์หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ เข้าใจว่าไม่มี แต่เป็นคำที่ผมได้จากการสนทนากับศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิชตั้งแต่เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2539 แล้วนำมาเสนอในคอลัมน์ประจำที่เขียนอยู่
สถานการณ์พื้นฐานทางการเมือง ณ เวลานั้น คือ การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับประวัติศาสตร์ที่ให้กำเนิดสภาร่างรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ฉบับปัจจุบัน มีความขัดแย้งกันระหว่างร่างรัฐบาลที่ผ่านรัฐสภาวาระที่ 1 กับร่างคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาที่มีศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิชเป็นประธาน นักวิชาการส่วนใหญ่สนับสนุนร่างฉบับหลังที่อาศัยการตีความกฎหมายอย่างกว้างแก้ไขโครงสร้างของร่างฉบับแรกเสียหมด ในการประชุมรัฐสภาวาระที่ 2 และ 3 ช่วงเดือนสิงหาคมต่อเดือนกันยายน 2539 สถานการณ์พลิกไปพลิกมา แต่ในที่สุดร่างฉบับกรรมาธิการวิสามัญชนะร่างรัฐบาล
เป็นการร่วมมือกันทำงานในยามวิกฤตโดยมิได้นัดหมายของคน 2 คน ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช และคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสภาในฐานะรองประธานรัฐสภาที่ขึ้นนั่งบัลลังก์ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมยามสถานการณ์เข้าด้ายเข้าเข็ม
Constitutional Coup มาจากคำ 2 คำผสมกัน Constitution + Coup d’Etat
อาจแปลตรง ๆ ได้ว่า….
“การรัฐประหารโดยรัฐธรรมนูญ”
หรือ…
“การยึดอำนาจในการบัญญัติรัฐธรรมนูญและจัดตั้งองค์กรทางการเมืองมาจากรัฐสภา”
แต่ถ้าแปลโดยความหมายจะดูดีกว่า
“กระบวนการทำให้เกิดความยินยอมพร้อมใจกันของสมาชิกรัฐสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
กระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้มีต้นสายธารความคิดมาจากศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ที่เริ่มปูพื้นฐานความคิดมาตั้งแต่ปลายปี 2534 จนปรากฎอยู่ในบทความเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” เมื่อเดือนเมษายน 2537 แล้วพัฒนามาเป็นวิธีการรูปธรรมในนามของ “ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่… พ.ศ….” เผยแพร่ในการสัมมนาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2537 โดยได้รับการสานต่อโดยคพป. หรือคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย ที่มีแกนนำสำคัญ 2 คน ศ.นพ.ประเวศ วะสี กับ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ พัฒนาเป็นข้อเสนอที่ยื่นต่อรัฐสภาในเดือนเมษายน 2538 หลักการสำคัญอยู่ที่การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยผ่านรัฐธรรมนูญเก่า ด้วยการเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเก่าในมาตรา 211
เนื้อหาในทางทฤษฎีแล้วคือการยึดอำนาจประเภทหนึ่งมาจากรัฐสภา
อำนาจที่เรียกกันในภาษาวิชาการว่า “อำนาจก่อตั้งองค์กรทางการเมืองและบัญญัติรัฐธรรมนูญ” หรือ “Omnipotence” หรือ “Pouvoir Constituant” มาจากนักการเมือง โดยวิธีการสันติ และยินยอมพร้อมใจเองของรัฐสภา
แล้วนำอำนาจที่ยึดมานั้นถวายคืนพระมหากษัตริย์ เพื่อทรงใช้ร่วมกับประชาชน
โดยผ่านนวัตกรรม...
คณะกรรมการพิเศษ + การลงประชามติ
ทั้งนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายของหลักการ “Constitutionalism” ที่ไม่ควรแปลตรงตามตัวอักษรว่า ”รัฐธรรม นูญนิยม” แต่ควรแปลตามความหมายว่า…
“การจัดทำกรอบกติกาในการจำกัดและเหนี่ยวรั้งอำนาจของผู้ใช้อำนาจแทนประชาชน”
แม้หลักการและข้อเสนอต้นสายธารความคิดข้างต้นนี้จะไม่สำเร็จ เพราะถูกต้านจากนักการเมือง ถูกปรับแปรเปลี่ยนโฉมหน้าโดย คปก. หรือ คณะกรรมการปฏิรูปการเมือง แต่ในที่สุดเมื่อร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขมาตรา 211 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาจนผ่านวาระที่ 1 ถึงชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา ก็ได้มีการแก้ไขใหม่หมดโดยอาศัยการตีความกฎหมายอย่างกว้าง ให้มีรูปแบบและเนื้อหาที่มีโอกาสจะเป็นผลประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่า
ทั้งร่างแก้ไขมาตรา 211 ฉบับต้นสายธารความคิดเดิมของศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ และฉบับคพป. รวมทั้งปฏิบัติการร่วมในรัฐสภาของศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช และคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ช่วงชิงร่างแก้ไขมาตรา 211 กลับคืนมาสู่ภาคประชาชนได้ระดับหนึ่ง
ในมุมมองของผม ณ เดือนกันยายน 2539 ถือว่าล้วนแต่เป็น Constitutional Coup ด้วยกันทั้งสิ้น
ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ผมเชื่อว่าประเด็น “ถวายคืนพระราชอำนาจ” ก็คือการหวนนึกถึงกระบวนการนี้ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว....
Constitutional Coup
ไม่ใช่ต้องการให้เกิดการรัฐประหารเพื่อนำประเทศกลับไปสู่ระบอบเผด็จการ
หรือนำประเทศย้อนยุคไปไกลกว่านั้น ให้ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ไม่มีใคร “บ้า” คิดอย่างนั้น
และพวกเขาก็ไม่ “บ้า” พอที่จะนอนงอมืองอเท้าประเภทที่เมื่อถูกข่มขืนแล้วก็ทำได้แต่เพียงทำใจให้สนุกไปด้วย !
บ้านเมืองเดินหน้ามาถึงขนาดนี้แล้ว แม้จะหลงทิศผิดทางไปบ้าง
แต่จะย้อนยุคไปไกลขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ไม่มีใครคิดเปลี่ยน “ระบอบประชาธิปไตย” กลับไปสู่ “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” หรอก !
และก็ไม่มีใครต้องการ “การรัฐประหาร” ในแบบเดิม ๆ แน่นอน !
เพียงแต่ทุกคน ทุกกลุ่ม ที่มองเห็นปัญหาของบ้านเมืองรู้สึกอึดอัดคับข้อง และรู้ว่าหวังไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงจากภายในระบบสถานเดียว เพราะรัฐธรรมนูญ “ล็อก” ไว้หมด แก้รัฐธรรมนูญก็ทำไม่ได้ถ้าพรรคไทยรักไทยไม่โอเค นั่นก็หมายถึงถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่โอเค โหวตเอารัฐมนตรีขี้โกงออกก็ทำไม่ได้
ดูเหมือนว่าถ้ารอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ – สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวในขณะนี้ก็คือ...
“ทำใจ”
เหมือนกับว่าพวกเราเป็นหญิงสาว ตอนนี้โดนข่มขืนอยู่ จะสู้อย่างไรก็สู้ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวคือ...
“ทำใจ...ทำตัวให้คิดเสียว่าไม่เสียหายอะไร”
แนวคิดถวายคืนพระราชอำนาจ ไม่ใช่แนวคิดที่ต้องการให้เกิดการรัฐประหารในรูปแบบเก่า ๆ ประเภททหารเคลื่อนรถถังออกมายึดวิทยุโทรทัศน์อย่างในอดีต แต่ถ้าจะมีการรัฐประหารเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
Constitutional Coup !
ขออนุญาตย้อนอดีตความเป็นมาของคำนี้หน่อย
จะมีในตำรารัฐศาสตร์-นิติศาสตร์หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ เข้าใจว่าไม่มี แต่เป็นคำที่ผมได้จากการสนทนากับศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิชตั้งแต่เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2539 แล้วนำมาเสนอในคอลัมน์ประจำที่เขียนอยู่
สถานการณ์พื้นฐานทางการเมือง ณ เวลานั้น คือ การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับประวัติศาสตร์ที่ให้กำเนิดสภาร่างรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ฉบับปัจจุบัน มีความขัดแย้งกันระหว่างร่างรัฐบาลที่ผ่านรัฐสภาวาระที่ 1 กับร่างคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาที่มีศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิชเป็นประธาน นักวิชาการส่วนใหญ่สนับสนุนร่างฉบับหลังที่อาศัยการตีความกฎหมายอย่างกว้างแก้ไขโครงสร้างของร่างฉบับแรกเสียหมด ในการประชุมรัฐสภาวาระที่ 2 และ 3 ช่วงเดือนสิงหาคมต่อเดือนกันยายน 2539 สถานการณ์พลิกไปพลิกมา แต่ในที่สุดร่างฉบับกรรมาธิการวิสามัญชนะร่างรัฐบาล
เป็นการร่วมมือกันทำงานในยามวิกฤตโดยมิได้นัดหมายของคน 2 คน ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช และคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานวุฒิสภาในฐานะรองประธานรัฐสภาที่ขึ้นนั่งบัลลังก์ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมยามสถานการณ์เข้าด้ายเข้าเข็ม
Constitutional Coup มาจากคำ 2 คำผสมกัน Constitution + Coup d’Etat
อาจแปลตรง ๆ ได้ว่า….
“การรัฐประหารโดยรัฐธรรมนูญ”
หรือ…
“การยึดอำนาจในการบัญญัติรัฐธรรมนูญและจัดตั้งองค์กรทางการเมืองมาจากรัฐสภา”
แต่ถ้าแปลโดยความหมายจะดูดีกว่า
“กระบวนการทำให้เกิดความยินยอมพร้อมใจกันของสมาชิกรัฐสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ”
กระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้มีต้นสายธารความคิดมาจากศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ที่เริ่มปูพื้นฐานความคิดมาตั้งแต่ปลายปี 2534 จนปรากฎอยู่ในบทความเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” เมื่อเดือนเมษายน 2537 แล้วพัฒนามาเป็นวิธีการรูปธรรมในนามของ “ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่… พ.ศ….” เผยแพร่ในการสัมมนาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2537 โดยได้รับการสานต่อโดยคพป. หรือคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย ที่มีแกนนำสำคัญ 2 คน ศ.นพ.ประเวศ วะสี กับ ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ พัฒนาเป็นข้อเสนอที่ยื่นต่อรัฐสภาในเดือนเมษายน 2538 หลักการสำคัญอยู่ที่การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยผ่านรัฐธรรมนูญเก่า ด้วยการเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเก่าในมาตรา 211
เนื้อหาในทางทฤษฎีแล้วคือการยึดอำนาจประเภทหนึ่งมาจากรัฐสภา
อำนาจที่เรียกกันในภาษาวิชาการว่า “อำนาจก่อตั้งองค์กรทางการเมืองและบัญญัติรัฐธรรมนูญ” หรือ “Omnipotence” หรือ “Pouvoir Constituant” มาจากนักการเมือง โดยวิธีการสันติ และยินยอมพร้อมใจเองของรัฐสภา
แล้วนำอำนาจที่ยึดมานั้นถวายคืนพระมหากษัตริย์ เพื่อทรงใช้ร่วมกับประชาชน
โดยผ่านนวัตกรรม...
คณะกรรมการพิเศษ + การลงประชามติ
ทั้งนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายของหลักการ “Constitutionalism” ที่ไม่ควรแปลตรงตามตัวอักษรว่า ”รัฐธรรม นูญนิยม” แต่ควรแปลตามความหมายว่า…
“การจัดทำกรอบกติกาในการจำกัดและเหนี่ยวรั้งอำนาจของผู้ใช้อำนาจแทนประชาชน”
แม้หลักการและข้อเสนอต้นสายธารความคิดข้างต้นนี้จะไม่สำเร็จ เพราะถูกต้านจากนักการเมือง ถูกปรับแปรเปลี่ยนโฉมหน้าโดย คปก. หรือ คณะกรรมการปฏิรูปการเมือง แต่ในที่สุดเมื่อร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขมาตรา 211 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาจนผ่านวาระที่ 1 ถึงชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา ก็ได้มีการแก้ไขใหม่หมดโดยอาศัยการตีความกฎหมายอย่างกว้าง ให้มีรูปแบบและเนื้อหาที่มีโอกาสจะเป็นผลประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่า
ทั้งร่างแก้ไขมาตรา 211 ฉบับต้นสายธารความคิดเดิมของศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ และฉบับคพป. รวมทั้งปฏิบัติการร่วมในรัฐสภาของศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช และคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ช่วงชิงร่างแก้ไขมาตรา 211 กลับคืนมาสู่ภาคประชาชนได้ระดับหนึ่ง
ในมุมมองของผม ณ เดือนกันยายน 2539 ถือว่าล้วนแต่เป็น Constitutional Coup ด้วยกันทั้งสิ้น
ณ สถานการณ์ปัจจุบัน ผมเชื่อว่าประเด็น “ถวายคืนพระราชอำนาจ” ก็คือการหวนนึกถึงกระบวนการนี้ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว....
Constitutional Coup
ไม่ใช่ต้องการให้เกิดการรัฐประหารเพื่อนำประเทศกลับไปสู่ระบอบเผด็จการ
หรือนำประเทศย้อนยุคไปไกลกว่านั้น ให้ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ไม่มีใคร “บ้า” คิดอย่างนั้น
และพวกเขาก็ไม่ “บ้า” พอที่จะนอนงอมืองอเท้าประเภทที่เมื่อถูกข่มขืนแล้วก็ทำได้แต่เพียงทำใจให้สนุกไปด้วย !