การที่คนนอนหลับ และได้มีภาพเหตุการณ์ต่างๆ ปรากฏขึ้นในห้วงแห่งจิตในขณะที่ตกภวังค์ เรียกว่า ความฝัน
โดยนัยแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนา ความฝันเกิดจากเหตุ 4 ประการดังต่อไปนี้
1. ธาตุกำเริบ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า เลือดลมไม่ดี อันเกิดจากเหตุต่างๆ เป็นต้นว่า การรับประทานอาหารมากเกินไป น้อยเกินไป หรือรับประทานอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย แล้วทำให้ธาตุพิการ จนเป็นเหตุให้ฝันเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้
2. เทพนิมิตคือ มีเทวดามาเข้าฝันเพื่อแสดงให้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตนเองหรือคนใกล้ชิด โดยให้เหตุการณ์ที่ว่านี้ปรากฏในรูปของความฝันก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง
3. ลางสังหรณ์ คือความฝันอันเกิดจากการที่จิตได้รับรู้เกี่ยวกับสิ่งอันอาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาศัยพลังแห่งจิตที่ได้รับการฝึกจนเกิดเป็นอำนาจลึกลับสามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
4.กรรมบันดาล คือความฝันอันเกิดจากแรงบันดาลแห่งวิบากกรรมให้ปรากฏเป็นภาพเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต ในรูปของการเตือนสติให้รู้เกี่ยวกับผลกรรมที่ได้กระทำไปแล้ว หรือจะมีการกระทำในอนาคตอันใกล้
ในเหตุปัจจัย 4 ประการที่ทำให้เกิดความฝันดังกล่าวแล้วข้างต้น ความฝันอันเกิดจากปัจจัยในข้อ 2 และข้อ 4 มีโอกาสเป็นความจริงมากที่สุด รองลงมาก็คือข้อ 3 ส่วนข้อ 1 นั้นไม่มีโอกาสที่จะกลายเป็นความจริงได้เลย เพราะเป็นความฝันที่เกิดจากความผิดปกติในระบบการทำงานของร่างกายเท่านั้น
นอกเหนือจากความฝันในความหมายดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้คนในสังคมไทยยังมีการพูดถึงอีกด้านหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ฝัน คำนั้นก็คือ เพ้อฝัน ซึ่งเกิดจากการนำคำว่า เพ้อ และคำว่า ฝัน มาต่อกันแล้วทำให้มีความหมายต่างไปจากเดิม
โดยปกติคำว่า เพ้อ หมายถึงอาการที่คนตกอยู่ในภาวะขาดสติสัมปชัญญะ เนื่องจากอาการเจ็บป่วย เช่น ไข้ขึ้นสูงถึงขั้นพูดจาไม่รู้เรื่อง เป็นต้น และเมื่อนำคำนี้มารวมกับคำว่า ฝัน ก็จะมีความหมายว่า คิดและพูดในสิ่งที่ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง จึงทำให้คนฟังแล้วขาดความเชื่อถือ
นอกจากคำว่า เพ้อฝัน ซึ่งมีความหมายในทางลบแล้ว ในขณะนี้สังคมไทยได้นำเข้าคำว่า วิสัยทัศน์จากโลกตะวันตก โดยที่คำนี้มีความหมายในทางบวก เมื่อนำมาเป็นคำอธิบายบุคลิกภาพของความเป็นผู้นำตามความหมายของคำว่า Vision ในภาษาอังกฤษที่หมายถึงอำนาจในการมองเห็น (Power of Seeing) หรืออาจตรงกับคำว่า ญาณในภาษาบาลีก็ได้ และนี่คือความหมายตามพยัญชนะหรือความหมายตามตัวอักษร
แต่ความหมายในเชิงอรรถในวิชาบริหาร หมายถึง การมีสายตายาวไกลมองเห็นสิ่งที่ไม่เกิดในปัจจุบัน และยังไม่มีเหตุบ่งบอกใดๆ ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต และให้การมองเห็นในทำนองนี้มาใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายเพื่อการบริหารองค์กรให้เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวม
ดังนั้น การมีวิสัยทัศน์จึงเป็นคุณสมบัติที่ผู้นำองค์กรทุกคนจำเป็นต้องมี
ทำไมผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ และถ้ามีแล้วได้อะไร ในทำนองกลับกัน ถ้าไม่มีจะเสียอะไร?
เพื่อให้ท่านผู้อ่านมองเห็นประเด็นแห่งปัญหาดังกล่าวข้างต้นชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านย้อนไปดูหลักการแห่งการบริหารบุคคลก็จะพบว่า ได้มีการแบ่งผู้บริหารออกเป็น 3 ระดับ และแต่ละระดับมีหน้าที่และความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
1. ผู้บริหารระดับสูง มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการกำหนดนโยบายในแต่ละด้านที่องค์กรรับผิดชอบภายใต้พันธกิจ (Mission) ตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อนำไปเป็นหัวใจในการวางแผนการดำเนินงานทั้งระยะยาว ระยะปานกลาง และระยะสั้น รวมไปถึงแผนกลยุทธ์ด้วย
2. ผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการจัดทำแผนภายใต้นโยบายที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
3. ผู้บริหารระดับต้น มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการนำแผนมาปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในแผน และรายงานผลที่ได้รับให้ผู้บริหารโดยเหนือขึ้นไปได้รับทราบตามลำดับชั้น
จากการที่มีผู้บริหารถึง 3 ระดับ และแต่ละระดับมีหน้าที่และความรับผิดชอบตามภารกิจของตนเอง
ดังนั้น การกำหนดคุณสมบัติผู้บริหารในแต่ละระดับก็จะต้องแตกต่างกันออกไปตามภารกิจที่ได้รับ และการมีวิสัยทัศน์เป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรจะต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำประเทศ เพราะในการกำหนดนโยบายสิ่งแรกที่จะต้องคิดคำนึงถึงก็คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งในแง่บวกและลบ ในแต่ละด้านไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง มิฉะนั้นแล้วนโยบายที่กำหนดขึ้นจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควรจะเป็น
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วงการเมืองไทยได้มีการวิพากษ์เกี่ยวกับภาวะผู้นำของคนในระดับหัวหน้าพรรคการเมือง 2 ท่าน คือ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ว่าใครมีภาวะผู้นำเหนือกว่าใครในด้านใด และการวิพากษ์เช่นนี้เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากการทำโพลของสำนักหนึ่งที่ระบุว่า ผู้นำพรรคไทยรักไทยเด่นกว่าผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ในแง่ของการกล้าคิด กล้าทำ และการมีวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ ส่วนผู้นำพรรคประชาธิปัตย์เด่นในด้านเป็นคนสุขุมรอบคอบ และความเป็นคนสุภาพ ดังมีรายละเอียดตามที่สื่อนำเสนอไปแล้ว
แต่ที่นำเรื่องนี้มาเขียนอีกครั้ง ก็ด้วยมีข้อกังขาในเรื่องการมีวิสัยทัศน์และไม่มีวิสัยทัศน์อันเป็นเหตุให้เกิดความสับสนขึ้น เมื่อดูจากผลของโพลและการทำงานของรัฐบาลภายใต้ภาวะผู้นำที่หลายท่านบอกมีวิสัยทัศน์ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ตลอดระยะเวลา 5 ปีของการที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ได้มีการออกนโยบายและมาตรการแก้ไขปัญหามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการประชุม ครม.สัญจรได้มีการอนุมัติโครงการต่างๆ นับไม่ถ้วน
แต่จากผลที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาพบว่ามีอยู่ไม่น้อยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ได้ประกาศไว้ ดังจะยกตัวอย่างพอเป็นสังเขปในแต่ละด้านดังต่อไปนี้
1.1 ในด้านเศรษฐกิจ เช่น การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศจีน ในขั้นต้นก่อนที่จะมีการลงนามข้อตกลง รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ได้ออกมาพูดถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับมากมายมหาศาลจากการส่งออกพืชพันธุ์ผลไม้ไปขายในจีน โดยใช้จำนวนประชากรพันกว่าล้านคนเป็นตัวตั้งว่าจะทำให้ประเทศไทยขายของได้มาก แต่ไม่ได้พูดถึงว่าประชากรจีนที่ว่านี้นอกจากเป็นผู้ซื้อแล้ว ก็จะเป็นผู้ผลิตและขายสินค้าแข่งกับผู้ประกอบการของไทยด้วย
ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งผลปรากฏว่า ผู้ประกอบการของไทยในหลายสาขาอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวไร่ชาวสวน และผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้รับความเดือดร้อนไปตามๆ กัน เนื่องจากสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาขายแข่ง และผู้ประกอบการไทยไม่อยู่ในฐานะแข่งขันได้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงกว่าจึงต้องขายในราคาแพงกว่า และถึงเวลานี้เชื่อว่าความเดือดร้อนที่ว่านี้รัฐบาลเองก็คงรู้แล้ว เมื่อผลปรากฏโดยรวมว่าประเทศไทยขาดดุลการค้าจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
1.2 ในด้านสังคมโครงการแก้ปัญหาความยากจนที่บอกว่าจะทำให้คนจนหมดไปภายใน 6 ปี และวันนี้เวลาผ่านไป 5 ปีแล้ว คงเหลือเวลาอีกปีเดียว ไม่ต้องบอกด้วยตัวเลขว่าคนจนกลายเป็นคนรวยแล้วเท่าไหร่
แต่ขอให้มองที่คนเคยมีพอกินก่อนที่โครงการนี้จะเกิดว่าวันนี้และเวลานี้คนกลุ่มนี้จนลง เนื่องจากรายได้เท่าเดิมแต่ต้องซื้อสินค้าราคาแพงขึ้นมีมากน้อยแค่ไหน และกำลังจะตกอยู่ในภาวะเช่นนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกจำนวนเท่าใดในเวลาที่เหลืออยู่อีกหนึ่งปี
ยิ่งกว่านี้ นโยบายปราบทุจริตในวงราชการที่เกิดจากข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมืองนับตั้งแต่รัฐบาลนี้ได้ประกาศนโยบายเอาจริงกับการโกงกิน จนบัดนี้การโกงกินได้พัฒนาไปเป็นการโกงเก็บแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ ทั้งนี้จะเห็นได้จากกรณีของซีทีเอ็กซ์ 9000 และกล้ายางพารา เป็นต้น
1.3 ด้านความมั่นคง ปรากฏว่าเหตุการณ์ก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดภาคใต้ตั้งแต่ต้นปี 2547 จนป่านนี้เกือบ 2 ปีแล้วยังไม่มีเค้าว่าจะจบลงได้แต่ประการใด ในทางตรงกันข้าม ยังมีการฆ่ารายวันอยู่จนถึงกับ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษต้องลงมาแก้ไขปัญหาร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ เองนั้น ก็เท่ากับบอกอย่างชัดเจนว่านโยบายและมาตรการของรัฐบาลไม่ได้ผล
2. จากการที่รัฐบาลประสบปัญหาการเมืองขาลง และเกิดกระแสต้านมากขึ้นในขณะนี้บ่งบอกได้ชัดเจนว่า การทำงานของรัฐบาลที่โพลระบุว่าเป็นที่พอใจนั้น แท้จริงแล้วสวนทางกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นเครื่องบ่งบอกว่า นโยบายภายใต้การนำของผู้นำที่โพลบอกว่ามีวิสัยทัศน์นั้น ไม่สอดคล้องกับผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือถ้ามองจากผลที่เกิดขึ้นในแต่ละด้านดังกล่าวแล้วข้างต้น ก็พูดได้ว่าเป็นผลงานของการมีวิสัยทัศน์หรือการเพ้อฝันได้อย่างชัดเจน
ด้วยเหตุดังกล่าวแล้วข้างต้น ผู้เขียนใคร่ขอเสนอนักทำโพลว่า ถ้าจะทำการสำรวจเกี่ยวกับภาวะผู้นำ และมีหัวข้อว่าการมีวิสัยทัศน์อีกครั้ง ขอให้มีคำอธิบายให้ชัดเจนเป็นที่เข้าใจของคนทั่วๆ ไปเกี่ยวกับความหมายของคำว่า มีวิสัยทัศน์ และอยากให้มีการนำเอาคำว่า เพ้อฝัน มาใส่ไว้ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้คนที่แสดงความคิดเห็นได้เลือกคำตอบที่ถูกต้อง และตรงกับความเป็นจริง จะได้ไม่ทำให้คนที่แสดงความเห็นตกเป็นเหยื่อทางวิชาการ และถูกนำจำนวนชื่อมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ควรจะเป็น
จริงอยู่ ในการทำโพลจำนวนคนที่ตอบคำถามมีอยู่กลุ่มเดียว และคนกลุ่มนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นตัวแทนความคิดคนส่วนใหญ่ได้ แต่เมื่อในทางวิชาการเห็นว่าเชื่อถือได้ผู้เขียนก็ไม่คัดค้านในจุดนี้ แต่ที่ต้องการก็คือ ให้เลือกคำหรือข้อความที่เข้าใจง่ายมาเป็นแบบสอบถาม และที่สำคัญผู้นำต้องยึดคุณธรรม และความเป็นกลางในทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม และเพื่อความน่าเชื่อถือของตัวนักวิชาการเอง ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะเท่าที่ผ่านมาในหลายๆ ครั้งที่โพลออกมาดูประหนึ่งเหมือนว่ามีวาระซ่อนเร้นในการนำผลมาเปิดเผย แต่ก็มิได้หมายความว่าคนทำโพลทุกคนจะเป็นเช่นนี้ด้วยการมีผลประโยชน์แอบแฝง แต่อาจเป็นเพราะเวลาและทุนในการทำจำกัดก็ได้ จึงทำให้ผลของโพลออกมาแล้วก่อให้เกิดข้อกังขา ดังเช่นการที่บอกว่า ผู้นำรัฐบาลในขณะนี้มีวิสัยทัศน์นั่นเอง
โดยนัยแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนา ความฝันเกิดจากเหตุ 4 ประการดังต่อไปนี้
1. ธาตุกำเริบ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า เลือดลมไม่ดี อันเกิดจากเหตุต่างๆ เป็นต้นว่า การรับประทานอาหารมากเกินไป น้อยเกินไป หรือรับประทานอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย แล้วทำให้ธาตุพิการ จนเป็นเหตุให้ฝันเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้
2. เทพนิมิตคือ มีเทวดามาเข้าฝันเพื่อแสดงให้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตนเองหรือคนใกล้ชิด โดยให้เหตุการณ์ที่ว่านี้ปรากฏในรูปของความฝันก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง
3. ลางสังหรณ์ คือความฝันอันเกิดจากการที่จิตได้รับรู้เกี่ยวกับสิ่งอันอาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาศัยพลังแห่งจิตที่ได้รับการฝึกจนเกิดเป็นอำนาจลึกลับสามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
4.กรรมบันดาล คือความฝันอันเกิดจากแรงบันดาลแห่งวิบากกรรมให้ปรากฏเป็นภาพเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต ในรูปของการเตือนสติให้รู้เกี่ยวกับผลกรรมที่ได้กระทำไปแล้ว หรือจะมีการกระทำในอนาคตอันใกล้
ในเหตุปัจจัย 4 ประการที่ทำให้เกิดความฝันดังกล่าวแล้วข้างต้น ความฝันอันเกิดจากปัจจัยในข้อ 2 และข้อ 4 มีโอกาสเป็นความจริงมากที่สุด รองลงมาก็คือข้อ 3 ส่วนข้อ 1 นั้นไม่มีโอกาสที่จะกลายเป็นความจริงได้เลย เพราะเป็นความฝันที่เกิดจากความผิดปกติในระบบการทำงานของร่างกายเท่านั้น
นอกเหนือจากความฝันในความหมายดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้คนในสังคมไทยยังมีการพูดถึงอีกด้านหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ฝัน คำนั้นก็คือ เพ้อฝัน ซึ่งเกิดจากการนำคำว่า เพ้อ และคำว่า ฝัน มาต่อกันแล้วทำให้มีความหมายต่างไปจากเดิม
โดยปกติคำว่า เพ้อ หมายถึงอาการที่คนตกอยู่ในภาวะขาดสติสัมปชัญญะ เนื่องจากอาการเจ็บป่วย เช่น ไข้ขึ้นสูงถึงขั้นพูดจาไม่รู้เรื่อง เป็นต้น และเมื่อนำคำนี้มารวมกับคำว่า ฝัน ก็จะมีความหมายว่า คิดและพูดในสิ่งที่ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง จึงทำให้คนฟังแล้วขาดความเชื่อถือ
นอกจากคำว่า เพ้อฝัน ซึ่งมีความหมายในทางลบแล้ว ในขณะนี้สังคมไทยได้นำเข้าคำว่า วิสัยทัศน์จากโลกตะวันตก โดยที่คำนี้มีความหมายในทางบวก เมื่อนำมาเป็นคำอธิบายบุคลิกภาพของความเป็นผู้นำตามความหมายของคำว่า Vision ในภาษาอังกฤษที่หมายถึงอำนาจในการมองเห็น (Power of Seeing) หรืออาจตรงกับคำว่า ญาณในภาษาบาลีก็ได้ และนี่คือความหมายตามพยัญชนะหรือความหมายตามตัวอักษร
แต่ความหมายในเชิงอรรถในวิชาบริหาร หมายถึง การมีสายตายาวไกลมองเห็นสิ่งที่ไม่เกิดในปัจจุบัน และยังไม่มีเหตุบ่งบอกใดๆ ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต และให้การมองเห็นในทำนองนี้มาใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายเพื่อการบริหารองค์กรให้เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวม
ดังนั้น การมีวิสัยทัศน์จึงเป็นคุณสมบัติที่ผู้นำองค์กรทุกคนจำเป็นต้องมี
ทำไมผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ และถ้ามีแล้วได้อะไร ในทำนองกลับกัน ถ้าไม่มีจะเสียอะไร?
เพื่อให้ท่านผู้อ่านมองเห็นประเด็นแห่งปัญหาดังกล่าวข้างต้นชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านย้อนไปดูหลักการแห่งการบริหารบุคคลก็จะพบว่า ได้มีการแบ่งผู้บริหารออกเป็น 3 ระดับ และแต่ละระดับมีหน้าที่และความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
1. ผู้บริหารระดับสูง มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการกำหนดนโยบายในแต่ละด้านที่องค์กรรับผิดชอบภายใต้พันธกิจ (Mission) ตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อนำไปเป็นหัวใจในการวางแผนการดำเนินงานทั้งระยะยาว ระยะปานกลาง และระยะสั้น รวมไปถึงแผนกลยุทธ์ด้วย
2. ผู้บริหารระดับกลาง มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการจัดทำแผนภายใต้นโยบายที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
3. ผู้บริหารระดับต้น มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการนำแผนมาปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในแผน และรายงานผลที่ได้รับให้ผู้บริหารโดยเหนือขึ้นไปได้รับทราบตามลำดับชั้น
จากการที่มีผู้บริหารถึง 3 ระดับ และแต่ละระดับมีหน้าที่และความรับผิดชอบตามภารกิจของตนเอง
ดังนั้น การกำหนดคุณสมบัติผู้บริหารในแต่ละระดับก็จะต้องแตกต่างกันออกไปตามภารกิจที่ได้รับ และการมีวิสัยทัศน์เป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรจะต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำประเทศ เพราะในการกำหนดนโยบายสิ่งแรกที่จะต้องคิดคำนึงถึงก็คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งในแง่บวกและลบ ในแต่ละด้านไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง มิฉะนั้นแล้วนโยบายที่กำหนดขึ้นจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควรจะเป็น
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วงการเมืองไทยได้มีการวิพากษ์เกี่ยวกับภาวะผู้นำของคนในระดับหัวหน้าพรรคการเมือง 2 ท่าน คือ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ว่าใครมีภาวะผู้นำเหนือกว่าใครในด้านใด และการวิพากษ์เช่นนี้เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากการทำโพลของสำนักหนึ่งที่ระบุว่า ผู้นำพรรคไทยรักไทยเด่นกว่าผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ในแง่ของการกล้าคิด กล้าทำ และการมีวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ ส่วนผู้นำพรรคประชาธิปัตย์เด่นในด้านเป็นคนสุขุมรอบคอบ และความเป็นคนสุภาพ ดังมีรายละเอียดตามที่สื่อนำเสนอไปแล้ว
แต่ที่นำเรื่องนี้มาเขียนอีกครั้ง ก็ด้วยมีข้อกังขาในเรื่องการมีวิสัยทัศน์และไม่มีวิสัยทัศน์อันเป็นเหตุให้เกิดความสับสนขึ้น เมื่อดูจากผลของโพลและการทำงานของรัฐบาลภายใต้ภาวะผู้นำที่หลายท่านบอกมีวิสัยทัศน์ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ตลอดระยะเวลา 5 ปีของการที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ได้มีการออกนโยบายและมาตรการแก้ไขปัญหามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการประชุม ครม.สัญจรได้มีการอนุมัติโครงการต่างๆ นับไม่ถ้วน
แต่จากผลที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาพบว่ามีอยู่ไม่น้อยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ตามที่ได้ประกาศไว้ ดังจะยกตัวอย่างพอเป็นสังเขปในแต่ละด้านดังต่อไปนี้
1.1 ในด้านเศรษฐกิจ เช่น การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศจีน ในขั้นต้นก่อนที่จะมีการลงนามข้อตกลง รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ได้ออกมาพูดถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับมากมายมหาศาลจากการส่งออกพืชพันธุ์ผลไม้ไปขายในจีน โดยใช้จำนวนประชากรพันกว่าล้านคนเป็นตัวตั้งว่าจะทำให้ประเทศไทยขายของได้มาก แต่ไม่ได้พูดถึงว่าประชากรจีนที่ว่านี้นอกจากเป็นผู้ซื้อแล้ว ก็จะเป็นผู้ผลิตและขายสินค้าแข่งกับผู้ประกอบการของไทยด้วย
ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งผลปรากฏว่า ผู้ประกอบการของไทยในหลายสาขาอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวไร่ชาวสวน และผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้รับความเดือดร้อนไปตามๆ กัน เนื่องจากสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาขายแข่ง และผู้ประกอบการไทยไม่อยู่ในฐานะแข่งขันได้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงกว่าจึงต้องขายในราคาแพงกว่า และถึงเวลานี้เชื่อว่าความเดือดร้อนที่ว่านี้รัฐบาลเองก็คงรู้แล้ว เมื่อผลปรากฏโดยรวมว่าประเทศไทยขาดดุลการค้าจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
1.2 ในด้านสังคมโครงการแก้ปัญหาความยากจนที่บอกว่าจะทำให้คนจนหมดไปภายใน 6 ปี และวันนี้เวลาผ่านไป 5 ปีแล้ว คงเหลือเวลาอีกปีเดียว ไม่ต้องบอกด้วยตัวเลขว่าคนจนกลายเป็นคนรวยแล้วเท่าไหร่
แต่ขอให้มองที่คนเคยมีพอกินก่อนที่โครงการนี้จะเกิดว่าวันนี้และเวลานี้คนกลุ่มนี้จนลง เนื่องจากรายได้เท่าเดิมแต่ต้องซื้อสินค้าราคาแพงขึ้นมีมากน้อยแค่ไหน และกำลังจะตกอยู่ในภาวะเช่นนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกจำนวนเท่าใดในเวลาที่เหลืออยู่อีกหนึ่งปี
ยิ่งกว่านี้ นโยบายปราบทุจริตในวงราชการที่เกิดจากข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมืองนับตั้งแต่รัฐบาลนี้ได้ประกาศนโยบายเอาจริงกับการโกงกิน จนบัดนี้การโกงกินได้พัฒนาไปเป็นการโกงเก็บแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ ทั้งนี้จะเห็นได้จากกรณีของซีทีเอ็กซ์ 9000 และกล้ายางพารา เป็นต้น
1.3 ด้านความมั่นคง ปรากฏว่าเหตุการณ์ก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดภาคใต้ตั้งแต่ต้นปี 2547 จนป่านนี้เกือบ 2 ปีแล้วยังไม่มีเค้าว่าจะจบลงได้แต่ประการใด ในทางตรงกันข้าม ยังมีการฆ่ารายวันอยู่จนถึงกับ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษต้องลงมาแก้ไขปัญหาร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ เองนั้น ก็เท่ากับบอกอย่างชัดเจนว่านโยบายและมาตรการของรัฐบาลไม่ได้ผล
2. จากการที่รัฐบาลประสบปัญหาการเมืองขาลง และเกิดกระแสต้านมากขึ้นในขณะนี้บ่งบอกได้ชัดเจนว่า การทำงานของรัฐบาลที่โพลระบุว่าเป็นที่พอใจนั้น แท้จริงแล้วสวนทางกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นเครื่องบ่งบอกว่า นโยบายภายใต้การนำของผู้นำที่โพลบอกว่ามีวิสัยทัศน์นั้น ไม่สอดคล้องกับผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือถ้ามองจากผลที่เกิดขึ้นในแต่ละด้านดังกล่าวแล้วข้างต้น ก็พูดได้ว่าเป็นผลงานของการมีวิสัยทัศน์หรือการเพ้อฝันได้อย่างชัดเจน
ด้วยเหตุดังกล่าวแล้วข้างต้น ผู้เขียนใคร่ขอเสนอนักทำโพลว่า ถ้าจะทำการสำรวจเกี่ยวกับภาวะผู้นำ และมีหัวข้อว่าการมีวิสัยทัศน์อีกครั้ง ขอให้มีคำอธิบายให้ชัดเจนเป็นที่เข้าใจของคนทั่วๆ ไปเกี่ยวกับความหมายของคำว่า มีวิสัยทัศน์ และอยากให้มีการนำเอาคำว่า เพ้อฝัน มาใส่ไว้ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้คนที่แสดงความคิดเห็นได้เลือกคำตอบที่ถูกต้อง และตรงกับความเป็นจริง จะได้ไม่ทำให้คนที่แสดงความเห็นตกเป็นเหยื่อทางวิชาการ และถูกนำจำนวนชื่อมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ควรจะเป็น
จริงอยู่ ในการทำโพลจำนวนคนที่ตอบคำถามมีอยู่กลุ่มเดียว และคนกลุ่มนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นตัวแทนความคิดคนส่วนใหญ่ได้ แต่เมื่อในทางวิชาการเห็นว่าเชื่อถือได้ผู้เขียนก็ไม่คัดค้านในจุดนี้ แต่ที่ต้องการก็คือ ให้เลือกคำหรือข้อความที่เข้าใจง่ายมาเป็นแบบสอบถาม และที่สำคัญผู้นำต้องยึดคุณธรรม และความเป็นกลางในทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม และเพื่อความน่าเชื่อถือของตัวนักวิชาการเอง ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะเท่าที่ผ่านมาในหลายๆ ครั้งที่โพลออกมาดูประหนึ่งเหมือนว่ามีวาระซ่อนเร้นในการนำผลมาเปิดเผย แต่ก็มิได้หมายความว่าคนทำโพลทุกคนจะเป็นเช่นนี้ด้วยการมีผลประโยชน์แอบแฝง แต่อาจเป็นเพราะเวลาและทุนในการทำจำกัดก็ได้ จึงทำให้ผลของโพลออกมาแล้วก่อให้เกิดข้อกังขา ดังเช่นการที่บอกว่า ผู้นำรัฐบาลในขณะนี้มีวิสัยทัศน์นั่นเอง