xs
xsm
sm
md
lg

ส่ง18บลจ.ลุยตลาดกองทุนภูธรทุ่มงบ6ล้านบาท12เดือนวัดผล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - สมาคมบลจ.เปิดยุทธ์ศาสตร์เจาะตลาดภูธร ทุ่มงบ 6 ล้าน ส่ง 18 บลจ.ลุยพื้นที่ 6 ภาคๆ ละ 3 บลจ. โดยให้เวลา 12 เดือน ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพดูแลให้ความรู้ผู้ลงทุน ผ่านหน่วยงานราชการ-หอการค้า เผย ชูกองทุน "LTF" เป็นจุดขาย เหตุใกล้เคียงกับการลงทุนในหุ้น และได้สิทธิลดหย่อนภาษี ตั้งเป้าเพิ่มความชัดเจนผู้ลงทุนในภูมิภาค ก่อนเดินหน้าเต็มสูบ ขณะที่ตลาด กทม.-ปริมณฑล ไม่ทิ้ง จับมือตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินสายให้ความรู้แก่บริษัทจดทะเบียนถึงที่

นายวีรโชติ จิรบวรพงศา ผู้อำนวยการและเลขาธิการ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วนี้สมาคม บลจ. ได้หารือกับ บริษัท แฟมมิลี่ โนฮาว จำกัด ถึงแผนงานของสมาคมในการเจาะตลาดกองทุนรวมในต่างจังหวัด โดยในเบื้องต้นได้กำหนดแผนงานซึ่งจะใช้เป็นโมเดลหลักในการทำตลาดร่วมกันระหว่างสมาคมบลจ. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และมูลนิธิพัฒนาระบบตลาดทุนไทย ซึ่งหลังจากนี้ก็จะมีการหารือในรายละเดียดกันอีกครั้ง

โดยรูปแบบของการทำตลาดนั้น จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 ภาค ซึ่งประกอบด้วย ภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกและภาคใต้ โดยในแต่ละภาคนั้น จะกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เข้าไปดูแลภาคละ 3 ราย เพื่อทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลักในการให้ความรู้แก่นักลงทุน ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจะมีการกำหนดจังหวัดเป้าหมายภาคละ 3 จังหวัด โดยจะเน้นพื้นที่ในจังหวัดใหญ่ๆ ก่อน หลังจากนั้นจึงจะเริ่มขยายออกไปในจังหวัดอื่นๆ ต่อไป

สำหรับเนื้อหาหลักของโครงการนี้ จะเน้นการให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจกองทุนรวมเป็นหลัก โดยจะใช้กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เป็นจุดขาย เนื่องจากเป็นกองทุนที่สอดคล้องกับการลงทุนในหุ้นซึ่งผู้ลงทุนมีความเข้าใจอยู่บ้างแล้ว นอกจากนั้นยังได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษีด้วย อย่างไรก็ตาม จะเน้นกองทุนอื่นๆด้วย ทั้งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ

ส่วนช่องทางในการเข้าถึงผู้ลงทุนนั้น จะเน้นผ่านหน่วยงานราชการต่างๆ หอการค้าจังหวัด เพื่อให้เข้าถึงผู้ลงทุนได้มากขึ้น ขณะที่แผนงานหลักในการทำตลาดนั้น จะใช้โมเดลกลางที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งจะมีลักษณะเดียวกันทุกๆภาค แต่จะให้อิสระแต่ละบลจ.ในการเพิ่มเติมรายละเอียดหรือกลยุทธ์อื่นๆ ได้ตามความต้องการ

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 12 เดือนหรือตลอดทั้งปี 2549 นี้ โดยใช้งบประมาณทั้งหมด 6 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบกลางของโครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม โดยจะแบ่งงบดังกล่าวให้แต่ละภาคๆละ 1 ล้านบาท ส่วนที่อาจจะเพิ่มมานอกจากนั้น ก็จะเป็นงบประมาณของบลจ.เอง ที่ต้องการจะทำการตลาดเพิ่มเติม ส่วนจะกำหนดให้บลจ.ใดลงพื้นที่ภาคใดบ้างนั้น จะมีการจับสลากเพื่อเลือกลงพื้นที่อีกครั้งภาคละ 3 บลจ. แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้กำหนดตายตัวว่าบลจ.อื่นๆ จะไม่สามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมหรือทำการตลาดในแต่ละภาคได้ โดยจะมีการเปิดโอกาสให้บลจ.ได้ร่วมโครงการทุกภาค แต่จะมีการกำหนดเจ้าภาพหลักเพื่อทำหน้าที่ดูแลภาคนั้นๆ ไว้ 3 บลจ.

นายวีรโชติกล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะเสนอให้ที่ประชุมกรรมการสมาคมบลจ. พิจารณาในวันอังคารนี้ (17 ม.ค.) ซึ่งหลังจากคณะกรรมการเห็นชอบแล้ว ก็จะมีการประชุมร่วมกับระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสมาคมบลจ. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และมูลนิธิพัฒนาระบบตลาดทุนไทยถึงแผนทั้งหมดอีกครั้ง หลังจากนั้นก็จะประชุมร่วมกับบริษัทสมาชิกเพื่อทำความเข้าใจถึงโครงการดังกล่าว และคัดเลือกบลจ.ที่จะเข้าไปทำหน้าที่แต่ละภาค

สำหรับความคาดหวังที่จะได้จากโครงการนี้ คงจะเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นและกระจายออกไปตามต่างจังหวัด โดยเน้นการให้ความเข้าใจเกี่ยวกับกองทุนรวมมากขึ้น และหวังว่าการมีโอกาสได้พูดคุยกับบ่อยๆ ขึ้น ผู้ลงทุนเองก็จะเข้าใน ส่วนจะเลือกลงทุนหรือไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ลงทุนเอง

ส่วนมูลค่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน คงคาดการณ์ตอนนี้ไม่ได้ เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นและเป็นการเจาะตลาดต่างจังหวัดครั้งแรก แต่ในการทำการตลาดนั้นจะมีการประเมินผลในช่วงกล่างเดือนและช่วงปลายปี ว่ามีการลงทุนเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งในช่วง 1 ปีนี้ จะเก็บข้อมูลแต่ละภาคว่ามีความสนใจประเภทใด มากน้อยแค่ไหน และพฤติกรรมการลงทุนเป็นอย่างไร หลังจากนั้นก็จะวางแผนต่อและหาสินค้าที่ตรงตามความต้องการของผู้ลงทุนได้

นายวีรโชติกล่าวต่อว่า สำหรับการทำตลาดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จะร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเป็นแกนในการเจาะกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะมีการจัดสัมมนาให้ความรู้แก่พนักงานในการเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวม ในขณะที่มหกรรมลดภาษีกับกองทุน LTF และ RMF นั้น คงจะยังจัดต่อเนื่องปีละ 2 ครั้งเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ลงทุนส่วนใหญ่รับรู้และคุ้นเคยกับงานดังกล่าวเป็นอย่างดีแล้ว

นอกจากนี้ ในเรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุน LTF และ RMF ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังนั้น เชื่อว่าในที่สุดแล้วกระทรวงการคลังจะเพิ่มวงเงินจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาทตามที่สมาคมเสนอไป แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาอีกระยะ อย่างไรก็ตาม ยังเหลือระยะเวลาในการพิจารณาอีกหลายเดือนทั้งปีนี้ รวมทั้งอาจจะต้องมีการแก้ไขหลักเกณฑ์หรือกฏกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น