พลังประชาชนกว่าครึ่งแสน รวมกลุ่มเดินเท้าจากสวนลุมพินีเข้าทำเนียบรัฐบาล กดดันนายก ให้ลาออก ตลอดเส้นทางมีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง ประกาศจะต่อสู้จนกว่าจะได้ชัยชนะ หลัง“สนธิ” แฉบนเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ฯ สุดทนรัฐบาลขายชาติ ประกาศขอเป็น “หมาที่ซื่อสัตย์” คอยเฝ้าสมบัติชาติไม่ให้โจรเข้ามาปล้น โดยไม่ทรยศต่อเจ้าของประเทศ ยัน “ทักษิณ”ปราบโกงแค่เบี่ยงเบนความสนใจ ท้าถ้าจริงใจทำไมไม่ปราบญาติพี่น้องคนใกล้ชิดที่ทุจริตก่อน ระบุเคยตั้งคำถามไปถึง 35 ข้อ แต่ไม่เคยชี้แจงตอบคำถาม แฉทำเอฟทีเอเพื่อพวกพ้องขณะที่เกษตรกรทั่วประเทศต้องเจ๊งยับ
วานนี้(13 ม.ค.) รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 14 ที่สวนลุมพินี ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความสนใจของประชาชนอย่างล้นหลามเช่นเดิม แม้ว่าจะมีการม็อบที่ถูกระดมมาจากภาคเหนือเข้ามาก่อกวนจำนวนหนึ่งก็ตาม
ก่อนเข้ารายการ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ได้เริ่มเปิดโปงถึงการระดมม็อบในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ โดยเฉพาะมีการระดมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทั้งที่เป็นลูกจ้าง และเป็นข้าราชการ รวมทั้งกลุ่มเครือข่ายเหล้าพื้นบ้านนับพันคนรวมตัวที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วกระจายกันขึ้นรถบัส รถปิกอัพหลายสิบคันลงมากรุงเทพฯมุ่งไปที่สวนลุมพินีในตอนเช้าวันนี้ โดยระหว่างที่พูดอยู่นั้นก็ได้มีการเปิดเทปบันทึกภาพหลักฐานการระดมคนเอาไว้อย่างละเอียด
นายสนธิ ยังระบุว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการระดมคนในครั้งนี้ นอกจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม แล้วยังมี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายกฯ ส.ส.เชียงใหม่ รวมทั้ง ส.ส.ภาคเหนือของพรรคไทยรักไทยอีกหลายคนร่วมลงขันกันสนับสนุน ขณะเดียวกันยังแฉพฤติกรรมพฤติกรรมทุจริตในอดีตของแกนนำม็อบที่มาก่อกวนในครั้งนี้ด้วย
นายสนธิ ได้เริ่มเปิดโปงพฤติกรรมความไม่ชอบมาพากลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยตั้งข้อสังเกตถึงคำประกาศในการปราบปรามการคอร์รัปชั่นว่าก่อนที่จะไปปราบปรามคนอื่นโกงต้องปราบพี่น้องของท่านก่อนเป็นอันดับแรก
ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ผู้นี้ยังตั้งคำถามในเรื่องการปราบปรามการทุจริตที่เคยตั้งคำถามก่อนหน้านี้ เช่น กรณีส่วนต่างของงบประมาณในการตั้งงบซื้อเครื่องบินขับไล่ ซู 30 เอ็มเคของรัสเซียจำนวนถึง 15,000 ล้านบาทเข้ากระเป๋าใคร ทุจริตกล้ายาง การทุจริตลำใยที่มีเพียงการดำเนินคดีข้าราชการรายเล็กรายน้อยเท่านั้น ไม่มีการสาวโยงไปถึงนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง กรณีการทุจริตโรงงานยาสูบที่เชียงใหม่ที่มีเจ๊คนหนึ่งในภาคเหนือรับเงินมัดจำจากบริษัทจีนไปแล้วจำนวน 200 ล้านเหรียญ
นายสนธิ ได้ยกกรณีการทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิกรณีรันเวย์ทางทิศตะวันตกไม่ได้คุณภาพต้องรื้อใหม่ กรณีการทุจริตซีทีเอ็กซ์ เป็นต้น โดยตั้งคำถามย้ำว่าต้องปราบทุจริตตรงนี้ก่อน ก่อนที่จะไปปราบคนอื่น
นายสนธิ ยังยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยยืนยันว่านายกฯโกหกคำโต โดยย้ำว่าคนที่ได้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา เพราท่านไม่เคยออกรบ ไม่เคยได้รับเหรียญกล้าหาญรามาธิบดี รวมทั้งทหารเสือราชินีเท่านั้น
“ผมเชื่อว่าถ้าท่านนายกฯดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาจริงป่านนี้ท่านคงตายด้วยคมหอกคมดาบไปแล้ว” ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ผู้นี้ระบุ พร้อมกันนี้ และว่าที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงพระเจ้าอยู่หัวด้วยความเทิดทูนแต่กลับถูกตำรวจดำเนินคดีทุกครั้ง แต่ที พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงพระเจ้าอยู่หัวด้วยการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม เช่น “ถ้าคนเป็นนายกฯไม่จงรักภักดีแล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” โดยนายสนธิกล่าวว่าคำพูดดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีที่ไม่เหมาะสมเมื่อพูดถึงพระเจ้าอยู่หัว แต่ทำไมตำรวจถึงไม่ดำเนินการใดๆ
นายสนธิยังได้กล่าวตอบโต้ นายกฯที่เคยกล่าวว่าเป็นหมาเห่าอยู่แถวสวนลุมฯโดยยอมรับว่าขอเป็นหมาคอยเฝ้าโจรที่เข้ามาปล้นแผ่นดิน เพราะหมาไม่เคยทรยศต่อเจ้าของ เปรียบเหมือนประชาชนที่ไม่เคยทรยศต่อแผ่นดิน
“การเป็นผู้นำต้องมีวุฒิภาวะ พูดจาต้องใช้ถ้อยคำสุภาพ ถ้าใช้คำหยาบถือว่าเป็นผู้นำถ่อย และต้องไม่ทุจริต และผมเคยตั้งคำถามเรื่องทุจริตจำนวน 28-35 ข้อแต่ทำไมถึงเวลาทำไมไม่ตอบคำถาม กลับเบี่ยงเบนไปพูดเรื่องอื่น”
ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ผู้นี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯมานานกว่า 5 ปี ไม่เคยมีคำขวัญวันเด็กที่บอกว่าให้ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม แม้แต่ครั้งเดียว
นายสนธิ ยังชี้ให้เห็นถึงผลเสียของการทำเอฟทีเอ ที่ทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ต้องเจ๊ง ต้องล้มละลายกันหมด ขณะที่มีเพียงกลุ่มทุนขนาดใหญ่เช่น โทรคมนาคม ชิ้นส่วนรถยนต์ บริษัทส่งออกรายใหญ่ที่ใกล้ชิดรัฐบาลไม่กี่คนเท่านั้น โดยได้ยกตัวอย่างกรณีการทำเอฟทีเอกับออสเตรเลีย จีน และล่าสุดกำลังจะทำกับสหรัฐ ที่ต่อไปจะทำให้คนไทยต้องซื้อยาแพงอีก 25 ปี เป็นต้น “รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลขายชาติอย่างแท้จริง”
ต่อมานายสนธิ ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาลชุดนี้ว่า ไม่เป็นไปตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของในหลวง เพราะในหลวงไม่ได้ตั้งเป้าว่า จีดีพี จะโตกี่เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นการหันมาดูตัวเองว่ามีอยู่เท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น เริ่มจากการสำรวจว่าเราใช้น้ำมันหรือใช้พลังงานอยู่เท่าไหร่ก็หยุดอยู่เท่านั้น และยึดเป็นตัวตั้งว่า เราต้องเติบโตภายใต้ความสามารถในการจัดหาพลังงานที่เรามีอยู่ นี่คือแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
นายสนธิย้ำว่า การที่รัฐบาล ทำเมกะโปรเจกต์ 6-7 แสนล้าน เป็นกระบวนการที่จะรุมทึ้งประเทศไทย พำราะโครงการที่ใช้งบประมาณมากขนาดนี้ต้องเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน หลังจากนั้น ก็จะมีการคิดค่าบริการราคาแพงกับคนไทย
หลังจากนั้น นายสนธิ ได้กล่าวถึงการขายหุ้นชินคอร์ป ของคนในตระกูลชินวัตร ซึ่งเป็นประเด็นที่เขาเคยพูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เมื่อราว 2 เดือนก่อน ว่า การขายหุ้นชินคอร์ป อาจเป็นการดำเนินตามกลยุทธ์ที่ 36 ของซูนหวู่ นั่นคือ “การหนีคือสุดยอดกลยุทธ์”
นายสนธิ กล่าวยืนยันว่า คนในตระกูลชินวัตรกำลังจะขายหุ้นชินคอร์ปฯ จริง แต่เหตุที่การขายหุ้น ยังหยุดชะงักในขณะนี้ เนื่องจากยังตกลงกันไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะชินคอร์ป มีหุ้นในบริษัทลูกหลายกิจการ ทั้ง เอไอเอส ที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ไอทีวี ไทยแอร์เอเชีย
ดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นต้น แต่ทางสิงเทล ที่สนใจเข้ามาซื้อ ต้องการเฉพาะ เอไอเอส และกิจการดาวเทียม หรืออาจจะมีไอทีวี แต่ไม่ต้องการแอร์ เอเชีย ที่เป็นสายการบินโลว์คอสต์
ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ กล่าวว่า ความจริงแล้ว หากไม่ติดเงื่อนไขดังกล่าว การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ น่าจะลงตัวตั้งแต่ครั้งที่นายกรัฐมนตรีกับครอบครัวเดินทางไปเที่ยวสิงคโปร์เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา เพราะคนที่มีอำนาจเซ็น เดินทางไปพร้อมกันหมด และอยู่สิงคโปร์นานถึง 4 วัน
นายสนธิ ได้ยกตัวอย่างให้เห็นถึงความร่ำรวยของตระกูลชินวัตร นับตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี มูลค่าหุ้นในเครือชินคอร์ปในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งหมดมีประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เมื่อปลายปี 2546 แต่ล่าสุด ต้นปี 2549 มูลค่าหุ้นในเครือชินคอร์ป มีทั้งหมด 134,619 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 352 เปอร์เซ็นต์
“ขายยาบ้ายังไม่ได้รวยขนาดนี้เลย เอาล่ะ ท่านรวยขึ้นมาได้อย่างไร อันนั้นเป็นภาคผนวก ผลประโยชน์ทับซ้อน ท่านรวยขึ้นมาได้อย่างไร ลาภอันมิควรจะได้ของท่าน”
นายสนธิ ชี้แจงให้เห็นถึงที่มาของลาภไม่ควรได้ของคนในตระกูลชินวัตรว่า เริ่มจาก เอไอเอส ซึ่งหลังจากพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการแปรสภาพคู่สัญญาและคู่แข่งของเอไอเอสอย่างองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย มาเป็นบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รายได้อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงลงทุนโครงข่ายที่ไม่คุ้มทุนเพื่อประชานิยม และรัฐบาลที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ทำหน้าที่กำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างและการสัมปทานที่ไม่คุ้มค่าและทำให้การแข่งขันของ ทศท.อ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ
ต่อมา รัฐบาลได้การสื่อสารแห่งประเทศไทย ซึ่งแปรสภาพมาเป็นบริษัทกสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ยกเลิกการประมูลสัมปทานเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ CDMA เฟส 2 ที่นายลี กาชิง มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง เจ้าของบริษัทฮัทชิสัน ชนะประมูล แล้วกลับมาให้ กสทฯ ลงทุนเอง ทั้งนี้เพราะ ถ้าให้ลี กาชิง ทำ จะกลายเป็นคู่แข็งที่เอาชนะเอไอเอสได้ เนื่องจากลี กาชิง มีเงินทุนมากกว่า และเมื่อให้ กสท ทำเอง รัฐบาลก็กำกับเองอีก จนรายได้ของ กสทฯ ก็ลดลงและอ่อนแอลงอีกเช่นกัน
หลังจากนั้น ในปี 2546 รัฐบาลตรา พ.ร.ก. ให้กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ โดยไม่ให้กระทบรายได้สัมปทานของผู้ประกอบการรายเดิม กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ จนไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันได้
นอกจากนั้น ยังให้บริษัท เอไอเอส แก้สัญญาร่วมงานกับบริษัท ทศท. ในการจ่ายเงินชดเชยของโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบพรีเพด วันทูคอลให้ลดลงจาก 25 เปอร์เซ็นต์เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ รัฐสูญเสียรายได้ไป 1,600 ล้านบาท
“เท่านั้นยังไม่พอให้กระทรวงการคลังยกเลิกโทรศัพท์มือถือ ภาษีเข้าจาก 10 เปอร์เซ็นต์ให้เหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ เบ็ดเสร็จนโยบายที่ท่านออกมาเพื่อชาติ เอไอเอสเคยกำไรในปี 2544 3,800 กว่าล้านบาท 2544 ปีแรกที่ท่านมาเป็นนายกฯ สิ้นปี 2544 กำไร 3,800 ล้านบาท หลังจากมีนโยบายเพื่อชาติของท่านออกมา ปี 2547 ท่านกำไรสุทธิ 20,258 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 426 เปอร์เซ็นต์ เห็นหรือยัง นี่คือลาภอันมิควรได้ที่ทำให้มูลค่าหุ้นท่านกำไรเอา กำไรเอา”นายสนธิกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีกรณีลดค่าสัมปทานไอทีวี ให้เหลือ 150 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 20 ปี ทำให้รัฐเสียรายได้ 17,430 ล้านบาท ที่สำคัญ เปลี่ยนเงื่อนไขไอทีวีให้เป็นโทรทัศน์ที่สามารถมีรายการบันเทิงเข้ามาได้ ลดค่าต๋งที่จ่ายให้รัฐลง 17,000 ล้าน เปลี่ยนเงื่อนไขรายการทำให้ไอทีวีสามารถจะกำไรเพิ่มขึ้นอีก 40,000 ล้าน ในตลอด 20 ปี รวมแล้วได้ไป 57,000 กว่าล้านบาท แอร์เอเชีย ปี 2546 ชินคอร์ป ลงทุนในสายการบินแอร์เอเชียให้มาเป็นคู่แข่งการบินไทย รัฐบาลส่งคนไปดูแลการบินไทย ไม่ได้ไปดูแล นะไปกระทืบการบินไทยให้อ่อนปวกเปียก แอร์เอเชียตั้งมาไม่กี่ปีบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 120 เที่ยวต่อเดือน ทับซ้อนเส้นทางสายการบินไทย ต่อมาปี 2547 พัฒนาสนามบินเชียงใหม่ให้เป็นฮับ แน่นอนเพราะแอร์เอเชียบินไปลงตั้ง 120 เที่ยวต่อเดือน ก็เอาเงินรัฐไปพัฒนาสนามบินเชียงใหม่ให้เป็นฮับ เพื่อจะได้ให้เชียงใหม่เป็นศูนย์การบินภูมิภาค
นอกจากนี้ เส้นทางบินที่มีกำไรหลายเส้นทางก็ถูกยกเลิกโดยมีแอร์เอเชีย เข้าไปเสียบแทน รวมทั้งกรณีการย้ายสนามบินจากดอนเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิ ก็จะมีการพัฒนาสนามบินดอนเมืองให้เป็นสนามบินของสายการบินในประเทศและโลว์คอสต์แอร์ไลน์ ทำให้แอร์เอเชียได้ประโยชน์ไปฟรีๆ
ต่อมา นายสนธิได้กล่าวถึง ดาวเทียมไอพีสตาร์ ที่ได้อานิสงส์จากการเจรจาเอฟทีเอหลายครั้งกับประเทศต่างๆ ทั้งนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย จีน และอินเดีย จากการประมาณการของนักวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ คาดว่า รายได้ชินแชทฯ จะก้าวกระโดดขึ้นมาทันทีที่จีนและอินเดียเข้ามารับสัญญาในปี 2549 คาดว่าอินเดียอย่างเดียวจะทำให้ชินแชทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 5,000 ล้านบาท จีนมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้าน
“พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ข้างนอกที่มาจากทางเหนือ นี่หละจีน จีนต้องจ่ายชินแชทฯ ไอพีสตาร์ เมื่อมาใช้เขาปีละหมื่นกว่าล้านเพื่อแลกกับเอฟทีเอ คือ ส่งผลไม้ ส่งผักมาขายเพื่อที่จะเหยียบพ่อแม่พี่น้องทางเหนือ พ่อแก่แม่แก่ให้ล้มหายตายจากไป”นายสนธิ กล่าว
ต่อมานายสนธิ ได้กล่าวถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ เข้าพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมาว่า ก่อนหน้านี้พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยสนใจพล.อ.เปรมเลย แต่ที่เข้าพบ เป็นเพราะหลังจากพล.อ.เปรม เดินทางลงไปภาคใต้ได้ทราบรายงานแล้วว่า ต้นเหตุปัญหาภาคใต้ทั้งหมดมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หลังจากนั้น นายสนธิ ได้เชิญ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสมาชิกวุฒิสภาขึ้นกล่าวบนเวที โดยพล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า ขอยกย่องและสรรเสริญนายสนธิ ที่เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ จิตใจเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ ในเรื่องที่จะให้ความรู้กับประชาชน ผมขอขอบคุณ
“คนดีในบ้านเมืองมีมากครับ แต่คนกล้ามีน้อย ผมต้องขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่อยู่ในห้องนี้และข้างนอก และที่กำลังรับฟังวิทยุ 92.25 ผมเรียนประชาชนได้เลยว่า ผมพร้อมที่จะร่วมมือกับประชาชนในการขจัดคนไม่ดี โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่ในการบริหารบ้านเมือง คนเหล่านี้รับอาสาเข้ามาเพื่อบริหารบ้านเมือง ต้องทำให้บ้านเมืองให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความเจริญ ไม่ใช่มาโกงบ้านโกงเมืองครับ เวลานี้ สิ่งที่ผมมีความคิดและเห็นว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยเรื่องสำคัญดังนี้ครับ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2548 ท่านได้พูดต่อหน้าแท็กซี่ประมาณ 7-8 พันคน ทุกคนคงได้ยินแล้ว นะครับ ในการเอาผีมาเปรียบเทียบกับ สถาบัน และพูดคำว่า "วะ" ต่อท้าย เป็นคำพูดที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง และไม่สมกับที่คนที่เป็นนายกฯ จะพูดอย่างนั้น ในหลวงของเรา เรารักและเทิดทูน ในหลวงของเราได้ทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากภยันตรายมากี่ครั้งแล้วครับ พระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรทั้งประเทศ ใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชดำรัสแล้ว ยังมีจิตใจที่ไม่จงรักภักดี จะต้องมีอันเป็นไปครับ คอยดู” พล.ต.อ.ประทิน กล่าว โดยมีเสียงคนดูตะโกน "ออกไปๆๆๆๆ ตามมา
“คำพูดของท่านนายกฯ ที่พูดต่อหน้าผู้ขับขี่แท็กซี่ในวันนั้น นายกฯ ต้องพิจารณาตนเองแล้วครับ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งครับ ผี เป็นสิ่งที่ต่ำช้ามาก เอามาเปรียบเทียบไม่ได้ การพูดอย่างนั้นเป็นการแสดงออกนะครับ เป็นการแสดงออกที่ไม่สมควรนะครับ ประชาชนในที่นี้และข้างนอก และผู้ที่รับฟังรายการคุณสนธิอยู่ ต้องการทำอะไรผมร่วมมือเต็มที่ครับ ท่านต้องการให้ทำอะไรขอให้บอกมาเลยครับ” อดีตส.ว.กล่าวย้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงท้ายของการดำเนินรายการ นายสนธิ ได้กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลโดยนายยงยุทธ ติยะไพรัช รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เกณฑ์ผู้ชุมนุมมาป่วนรายการ ตนในฐานะผู้ดำเนินรายการจึงต้องมอบของขวัญให้กับรัฐบาลกลับคืน ด้วยการเชิญชวนแฟนรายการเมืองไทย เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่รัฐบาล"ทักษิณ"โดยยึดหลักให้ผู้ร่วมการชุมนุมเคลื่อนขบวนไปชุมนุมอย่างสงบ และยึดหลักอหิงสา หลังจากนั้นได้เชิญพล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสว.กทม. ขึ้นกล่าวปราศรัยแสดงจุดยืนถึงความไม่เหมาะสมของพ.ต.ท.ทักษิณในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและพร้อม เป็นแกนนำในการขับไล่รัฐบาลด้วย
นอกจากแฟนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรหลายหมื่นคนในครั้งนี้ แกนนำประชาชนยังประกอบไปด้วยน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตคอลัมน์นิสต์นสพ.แนวหน้า นายการุญ ใสงาม สว.บุรีรัมย์ นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสสร.นายประพันธ์ คูณมี ทนายความและคุณหญิงกัลยา โสภณพานิช อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นแกนนำประชาชนเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของแฟนรายการ พร้อมกับได้เคลื่นขบวนออกจากสวนลุมพินีเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. โดยกลุ่มแฟนรายการได้ตะโกนคำว่าออกไปๆๆ ตลอดทางและมีเจ้าหน้าที่จากกองบัญชาการตำรวจนครบาลคอยอำนวยความสะดวกไปตลอดเส้นการเดินทาง
เมื่อเวลา 21.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากสวนลุมพินี ภายหลังเสร็จสิ้นจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 14 ณ อาคารลีลาศ สวนลุมพินี ว่า ภายหลังเสร็จสิ้นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร กลุ่มประชาชนที่มาเข้าร่วมรับฟังรายการได้ออกมาตั้งขบวนกันเพื่อเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อกดดันนายกรัฐมนตรี โดยแยกเป็น 2 ชุด ชุดแรกนำโดนนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร และพล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสว.กทม. ส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้คัดค้านการแปรรูป กฟผ. ซึ่งเดินทางออกจากสวนลุมพินีเป็น 2 เส้นทาง โดยมีจุดหมายอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล
กลุ่มแรกมีการจัดกลุ่มกันบริเวณด้านถนนพระราม 4 มีประชาชนที่มาเข้าร่วมการรับฟังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ประมาร 5 หมื่นคน ส่วนใหญ่จะสวมเสื้อเหลืองมีการโบกธงชาติไทยตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีประชาชนตลอด 2 ข้างทางที่สนใจต่างเข้าร่วมในขบวนอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเร่งอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ สำหรับผู้ชุมนุมต่างตะโกนว่า “ทักษิณออกไป” ตลอดเวลา
ด้านกลุ่มผู้คัดค้านการแปรรูป กฟผ. กว่า 3 พันคน ใช้รถยนต์กระบะ รถจักรยานยนต์ และเดินเท้า ใช้เส้นทางด้านหน้าสวนลุมพินี มุ่งหน้าแยกราชประสงค์ ผ่านด้านหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า และไปเลี้ยวซ้ายผ่านแยกประตูน้ำเข้าสู่ถนนเพชรบุรี ซึ่งในขบวนดังกล่าวกลุ่มผู้ชุมนุมต่างเดินโบกธงฟ้าและธงเหลืองตลอดเส้นทาง ซึ่งเมื่อขบวนเคลื่อนผ่านก็มีประชาชนที่สนใจต่างเข้าร่วมขบวนเพิ่มขึ้น ตลอดเส้นทาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมส่วนหนึ่งประมาณ 5พันคน ได้เดินทางล่วงหน้าไปรอยังด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยบริเวณด้านหน้าทำเนียบนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำแผงเหล็กมากั้นตลอดแนวเพื่อป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุม
ด้าน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากที่รับชมรายการ ‘เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 14 จบแล้วประชาชนกว่า 200 คน ที่มาชมรายการ ที่วิทยาลัยวันศุกร์ คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) ได้พร้อมใจกันเคลื่อนขบวนออกมา ณ ลานพระบรมรูปกรมหลวงสงขลานครินทร์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าสำนักอธิการบดี มอ.หาดใหญ่ และเป็นที่เคารพบูชาของนักศึกษา และคณาจารย์ชาว มอ.หาดใหญ่ รวมทั้งประชาชนทั่วไป
จากนั้นจึงมีการจุดเทียนพร้อมร่วมกันถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระบรมรูป มีใจความโดยสรุปว่าทุกคนจะร่วมมือร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อต่อต้านการบริหารประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศในหลายๆ เรื่อง เพื่อถวายคืนพระราชอำนาจ และทรงมอบแด่ปวงชน นำมาสู่การปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 เพื่อป้องกันการเข้ามาหาประโยชน์ของขบวนการคดโกงชาติ
จากนั้นประชาชนทั้งหมดจึงได้นำเทียนไปวางบริเวณหน้าแท่นบูชา พระบรมรูปกรมหลวงสงขลานครินทร์ แล้วจึงแยกย้ายกันเดินทางกลับบ้าน โดยก่อนกลับบ้านประชาชนทุกคนได้มีการหารือกันและตกลงกันว่า พร้อมที่จะสนับสนุนให้มีการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 จะเรียกร้องโดยอหิงสาและมีสติ ซึ่งหากองค์กรภาคประชาชนใน อ.หาดใหญ่ จะมีการเคลื่อนไหวใดๆ ภาคประชาชนก็พร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ได้ประกาศที่หน้าทำเนียบรัฐบาลว่า จะปักหลักเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก จนกว่าจะได้ชัยชนะ
วานนี้(13 ม.ค.) รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 14 ที่สวนลุมพินี ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความสนใจของประชาชนอย่างล้นหลามเช่นเดิม แม้ว่าจะมีการม็อบที่ถูกระดมมาจากภาคเหนือเข้ามาก่อกวนจำนวนหนึ่งก็ตาม
ก่อนเข้ารายการ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ได้เริ่มเปิดโปงถึงการระดมม็อบในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ โดยเฉพาะมีการระดมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทั้งที่เป็นลูกจ้าง และเป็นข้าราชการ รวมทั้งกลุ่มเครือข่ายเหล้าพื้นบ้านนับพันคนรวมตัวที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วกระจายกันขึ้นรถบัส รถปิกอัพหลายสิบคันลงมากรุงเทพฯมุ่งไปที่สวนลุมพินีในตอนเช้าวันนี้ โดยระหว่างที่พูดอยู่นั้นก็ได้มีการเปิดเทปบันทึกภาพหลักฐานการระดมคนเอาไว้อย่างละเอียด
นายสนธิ ยังระบุว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการระดมคนในครั้งนี้ นอกจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม แล้วยังมี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายกฯ ส.ส.เชียงใหม่ รวมทั้ง ส.ส.ภาคเหนือของพรรคไทยรักไทยอีกหลายคนร่วมลงขันกันสนับสนุน ขณะเดียวกันยังแฉพฤติกรรมพฤติกรรมทุจริตในอดีตของแกนนำม็อบที่มาก่อกวนในครั้งนี้ด้วย
นายสนธิ ได้เริ่มเปิดโปงพฤติกรรมความไม่ชอบมาพากลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยตั้งข้อสังเกตถึงคำประกาศในการปราบปรามการคอร์รัปชั่นว่าก่อนที่จะไปปราบปรามคนอื่นโกงต้องปราบพี่น้องของท่านก่อนเป็นอันดับแรก
ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ผู้นี้ยังตั้งคำถามในเรื่องการปราบปรามการทุจริตที่เคยตั้งคำถามก่อนหน้านี้ เช่น กรณีส่วนต่างของงบประมาณในการตั้งงบซื้อเครื่องบินขับไล่ ซู 30 เอ็มเคของรัสเซียจำนวนถึง 15,000 ล้านบาทเข้ากระเป๋าใคร ทุจริตกล้ายาง การทุจริตลำใยที่มีเพียงการดำเนินคดีข้าราชการรายเล็กรายน้อยเท่านั้น ไม่มีการสาวโยงไปถึงนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง กรณีการทุจริตโรงงานยาสูบที่เชียงใหม่ที่มีเจ๊คนหนึ่งในภาคเหนือรับเงินมัดจำจากบริษัทจีนไปแล้วจำนวน 200 ล้านเหรียญ
นายสนธิ ได้ยกกรณีการทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิกรณีรันเวย์ทางทิศตะวันตกไม่ได้คุณภาพต้องรื้อใหม่ กรณีการทุจริตซีทีเอ็กซ์ เป็นต้น โดยตั้งคำถามย้ำว่าต้องปราบทุจริตตรงนี้ก่อน ก่อนที่จะไปปราบคนอื่น
นายสนธิ ยังยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยยืนยันว่านายกฯโกหกคำโต โดยย้ำว่าคนที่ได้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา เพราท่านไม่เคยออกรบ ไม่เคยได้รับเหรียญกล้าหาญรามาธิบดี รวมทั้งทหารเสือราชินีเท่านั้น
“ผมเชื่อว่าถ้าท่านนายกฯดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาจริงป่านนี้ท่านคงตายด้วยคมหอกคมดาบไปแล้ว” ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ผู้นี้ระบุ พร้อมกันนี้ และว่าที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงพระเจ้าอยู่หัวด้วยความเทิดทูนแต่กลับถูกตำรวจดำเนินคดีทุกครั้ง แต่ที พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงพระเจ้าอยู่หัวด้วยการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม เช่น “ถ้าคนเป็นนายกฯไม่จงรักภักดีแล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ” โดยนายสนธิกล่าวว่าคำพูดดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีที่ไม่เหมาะสมเมื่อพูดถึงพระเจ้าอยู่หัว แต่ทำไมตำรวจถึงไม่ดำเนินการใดๆ
นายสนธิยังได้กล่าวตอบโต้ นายกฯที่เคยกล่าวว่าเป็นหมาเห่าอยู่แถวสวนลุมฯโดยยอมรับว่าขอเป็นหมาคอยเฝ้าโจรที่เข้ามาปล้นแผ่นดิน เพราะหมาไม่เคยทรยศต่อเจ้าของ เปรียบเหมือนประชาชนที่ไม่เคยทรยศต่อแผ่นดิน
“การเป็นผู้นำต้องมีวุฒิภาวะ พูดจาต้องใช้ถ้อยคำสุภาพ ถ้าใช้คำหยาบถือว่าเป็นผู้นำถ่อย และต้องไม่ทุจริต และผมเคยตั้งคำถามเรื่องทุจริตจำนวน 28-35 ข้อแต่ทำไมถึงเวลาทำไมไม่ตอบคำถาม กลับเบี่ยงเบนไปพูดเรื่องอื่น”
ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ผู้นี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯมานานกว่า 5 ปี ไม่เคยมีคำขวัญวันเด็กที่บอกว่าให้ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม แม้แต่ครั้งเดียว
นายสนธิ ยังชี้ให้เห็นถึงผลเสียของการทำเอฟทีเอ ที่ทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ต้องเจ๊ง ต้องล้มละลายกันหมด ขณะที่มีเพียงกลุ่มทุนขนาดใหญ่เช่น โทรคมนาคม ชิ้นส่วนรถยนต์ บริษัทส่งออกรายใหญ่ที่ใกล้ชิดรัฐบาลไม่กี่คนเท่านั้น โดยได้ยกตัวอย่างกรณีการทำเอฟทีเอกับออสเตรเลีย จีน และล่าสุดกำลังจะทำกับสหรัฐ ที่ต่อไปจะทำให้คนไทยต้องซื้อยาแพงอีก 25 ปี เป็นต้น “รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลขายชาติอย่างแท้จริง”
ต่อมานายสนธิ ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาลชุดนี้ว่า ไม่เป็นไปตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของในหลวง เพราะในหลวงไม่ได้ตั้งเป้าว่า จีดีพี จะโตกี่เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นการหันมาดูตัวเองว่ามีอยู่เท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น เริ่มจากการสำรวจว่าเราใช้น้ำมันหรือใช้พลังงานอยู่เท่าไหร่ก็หยุดอยู่เท่านั้น และยึดเป็นตัวตั้งว่า เราต้องเติบโตภายใต้ความสามารถในการจัดหาพลังงานที่เรามีอยู่ นี่คือแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
นายสนธิย้ำว่า การที่รัฐบาล ทำเมกะโปรเจกต์ 6-7 แสนล้าน เป็นกระบวนการที่จะรุมทึ้งประเทศไทย พำราะโครงการที่ใช้งบประมาณมากขนาดนี้ต้องเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน หลังจากนั้น ก็จะมีการคิดค่าบริการราคาแพงกับคนไทย
หลังจากนั้น นายสนธิ ได้กล่าวถึงการขายหุ้นชินคอร์ป ของคนในตระกูลชินวัตร ซึ่งเป็นประเด็นที่เขาเคยพูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เมื่อราว 2 เดือนก่อน ว่า การขายหุ้นชินคอร์ป อาจเป็นการดำเนินตามกลยุทธ์ที่ 36 ของซูนหวู่ นั่นคือ “การหนีคือสุดยอดกลยุทธ์”
นายสนธิ กล่าวยืนยันว่า คนในตระกูลชินวัตรกำลังจะขายหุ้นชินคอร์ปฯ จริง แต่เหตุที่การขายหุ้น ยังหยุดชะงักในขณะนี้ เนื่องจากยังตกลงกันไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะชินคอร์ป มีหุ้นในบริษัทลูกหลายกิจการ ทั้ง เอไอเอส ที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ไอทีวี ไทยแอร์เอเชีย
ดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นต้น แต่ทางสิงเทล ที่สนใจเข้ามาซื้อ ต้องการเฉพาะ เอไอเอส และกิจการดาวเทียม หรืออาจจะมีไอทีวี แต่ไม่ต้องการแอร์ เอเชีย ที่เป็นสายการบินโลว์คอสต์
ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ กล่าวว่า ความจริงแล้ว หากไม่ติดเงื่อนไขดังกล่าว การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ น่าจะลงตัวตั้งแต่ครั้งที่นายกรัฐมนตรีกับครอบครัวเดินทางไปเที่ยวสิงคโปร์เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา เพราะคนที่มีอำนาจเซ็น เดินทางไปพร้อมกันหมด และอยู่สิงคโปร์นานถึง 4 วัน
นายสนธิ ได้ยกตัวอย่างให้เห็นถึงความร่ำรวยของตระกูลชินวัตร นับตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี มูลค่าหุ้นในเครือชินคอร์ปในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งหมดมีประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เมื่อปลายปี 2546 แต่ล่าสุด ต้นปี 2549 มูลค่าหุ้นในเครือชินคอร์ป มีทั้งหมด 134,619 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 352 เปอร์เซ็นต์
“ขายยาบ้ายังไม่ได้รวยขนาดนี้เลย เอาล่ะ ท่านรวยขึ้นมาได้อย่างไร อันนั้นเป็นภาคผนวก ผลประโยชน์ทับซ้อน ท่านรวยขึ้นมาได้อย่างไร ลาภอันมิควรจะได้ของท่าน”
นายสนธิ ชี้แจงให้เห็นถึงที่มาของลาภไม่ควรได้ของคนในตระกูลชินวัตรว่า เริ่มจาก เอไอเอส ซึ่งหลังจากพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการแปรสภาพคู่สัญญาและคู่แข่งของเอไอเอสอย่างองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย มาเป็นบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รายได้อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงลงทุนโครงข่ายที่ไม่คุ้มทุนเพื่อประชานิยม และรัฐบาลที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ทำหน้าที่กำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างและการสัมปทานที่ไม่คุ้มค่าและทำให้การแข่งขันของ ทศท.อ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ
ต่อมา รัฐบาลได้การสื่อสารแห่งประเทศไทย ซึ่งแปรสภาพมาเป็นบริษัทกสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ยกเลิกการประมูลสัมปทานเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ CDMA เฟส 2 ที่นายลี กาชิง มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง เจ้าของบริษัทฮัทชิสัน ชนะประมูล แล้วกลับมาให้ กสทฯ ลงทุนเอง ทั้งนี้เพราะ ถ้าให้ลี กาชิง ทำ จะกลายเป็นคู่แข็งที่เอาชนะเอไอเอสได้ เนื่องจากลี กาชิง มีเงินทุนมากกว่า และเมื่อให้ กสท ทำเอง รัฐบาลก็กำกับเองอีก จนรายได้ของ กสทฯ ก็ลดลงและอ่อนแอลงอีกเช่นกัน
หลังจากนั้น ในปี 2546 รัฐบาลตรา พ.ร.ก. ให้กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ โดยไม่ให้กระทบรายได้สัมปทานของผู้ประกอบการรายเดิม กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ จนไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันได้
นอกจากนั้น ยังให้บริษัท เอไอเอส แก้สัญญาร่วมงานกับบริษัท ทศท. ในการจ่ายเงินชดเชยของโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบพรีเพด วันทูคอลให้ลดลงจาก 25 เปอร์เซ็นต์เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ รัฐสูญเสียรายได้ไป 1,600 ล้านบาท
“เท่านั้นยังไม่พอให้กระทรวงการคลังยกเลิกโทรศัพท์มือถือ ภาษีเข้าจาก 10 เปอร์เซ็นต์ให้เหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ เบ็ดเสร็จนโยบายที่ท่านออกมาเพื่อชาติ เอไอเอสเคยกำไรในปี 2544 3,800 กว่าล้านบาท 2544 ปีแรกที่ท่านมาเป็นนายกฯ สิ้นปี 2544 กำไร 3,800 ล้านบาท หลังจากมีนโยบายเพื่อชาติของท่านออกมา ปี 2547 ท่านกำไรสุทธิ 20,258 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้น 426 เปอร์เซ็นต์ เห็นหรือยัง นี่คือลาภอันมิควรได้ที่ทำให้มูลค่าหุ้นท่านกำไรเอา กำไรเอา”นายสนธิกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีกรณีลดค่าสัมปทานไอทีวี ให้เหลือ 150 ล้านบาทต่อปี เป็นเวลา 20 ปี ทำให้รัฐเสียรายได้ 17,430 ล้านบาท ที่สำคัญ เปลี่ยนเงื่อนไขไอทีวีให้เป็นโทรทัศน์ที่สามารถมีรายการบันเทิงเข้ามาได้ ลดค่าต๋งที่จ่ายให้รัฐลง 17,000 ล้าน เปลี่ยนเงื่อนไขรายการทำให้ไอทีวีสามารถจะกำไรเพิ่มขึ้นอีก 40,000 ล้าน ในตลอด 20 ปี รวมแล้วได้ไป 57,000 กว่าล้านบาท แอร์เอเชีย ปี 2546 ชินคอร์ป ลงทุนในสายการบินแอร์เอเชียให้มาเป็นคู่แข่งการบินไทย รัฐบาลส่งคนไปดูแลการบินไทย ไม่ได้ไปดูแล นะไปกระทืบการบินไทยให้อ่อนปวกเปียก แอร์เอเชียตั้งมาไม่กี่ปีบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 120 เที่ยวต่อเดือน ทับซ้อนเส้นทางสายการบินไทย ต่อมาปี 2547 พัฒนาสนามบินเชียงใหม่ให้เป็นฮับ แน่นอนเพราะแอร์เอเชียบินไปลงตั้ง 120 เที่ยวต่อเดือน ก็เอาเงินรัฐไปพัฒนาสนามบินเชียงใหม่ให้เป็นฮับ เพื่อจะได้ให้เชียงใหม่เป็นศูนย์การบินภูมิภาค
นอกจากนี้ เส้นทางบินที่มีกำไรหลายเส้นทางก็ถูกยกเลิกโดยมีแอร์เอเชีย เข้าไปเสียบแทน รวมทั้งกรณีการย้ายสนามบินจากดอนเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิ ก็จะมีการพัฒนาสนามบินดอนเมืองให้เป็นสนามบินของสายการบินในประเทศและโลว์คอสต์แอร์ไลน์ ทำให้แอร์เอเชียได้ประโยชน์ไปฟรีๆ
ต่อมา นายสนธิได้กล่าวถึง ดาวเทียมไอพีสตาร์ ที่ได้อานิสงส์จากการเจรจาเอฟทีเอหลายครั้งกับประเทศต่างๆ ทั้งนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย จีน และอินเดีย จากการประมาณการของนักวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์ คาดว่า รายได้ชินแชทฯ จะก้าวกระโดดขึ้นมาทันทีที่จีนและอินเดียเข้ามารับสัญญาในปี 2549 คาดว่าอินเดียอย่างเดียวจะทำให้ชินแชทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 5,000 ล้านบาท จีนมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้าน
“พ่อแม่พี่น้องที่อยู่ข้างนอกที่มาจากทางเหนือ นี่หละจีน จีนต้องจ่ายชินแชทฯ ไอพีสตาร์ เมื่อมาใช้เขาปีละหมื่นกว่าล้านเพื่อแลกกับเอฟทีเอ คือ ส่งผลไม้ ส่งผักมาขายเพื่อที่จะเหยียบพ่อแม่พี่น้องทางเหนือ พ่อแก่แม่แก่ให้ล้มหายตายจากไป”นายสนธิ กล่าว
ต่อมานายสนธิ ได้กล่าวถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ เข้าพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมาว่า ก่อนหน้านี้พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยสนใจพล.อ.เปรมเลย แต่ที่เข้าพบ เป็นเพราะหลังจากพล.อ.เปรม เดินทางลงไปภาคใต้ได้ทราบรายงานแล้วว่า ต้นเหตุปัญหาภาคใต้ทั้งหมดมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
หลังจากนั้น นายสนธิ ได้เชิญ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสมาชิกวุฒิสภาขึ้นกล่าวบนเวที โดยพล.ต.อ.ประทิน กล่าวว่า ขอยกย่องและสรรเสริญนายสนธิ ที่เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ จิตใจเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ ในเรื่องที่จะให้ความรู้กับประชาชน ผมขอขอบคุณ
“คนดีในบ้านเมืองมีมากครับ แต่คนกล้ามีน้อย ผมต้องขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่อยู่ในห้องนี้และข้างนอก และที่กำลังรับฟังวิทยุ 92.25 ผมเรียนประชาชนได้เลยว่า ผมพร้อมที่จะร่วมมือกับประชาชนในการขจัดคนไม่ดี โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่ในการบริหารบ้านเมือง คนเหล่านี้รับอาสาเข้ามาเพื่อบริหารบ้านเมือง ต้องทำให้บ้านเมืองให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความเจริญ ไม่ใช่มาโกงบ้านโกงเมืองครับ เวลานี้ สิ่งที่ผมมีความคิดและเห็นว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยเรื่องสำคัญดังนี้ครับ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2548 ท่านได้พูดต่อหน้าแท็กซี่ประมาณ 7-8 พันคน ทุกคนคงได้ยินแล้ว นะครับ ในการเอาผีมาเปรียบเทียบกับ สถาบัน และพูดคำว่า "วะ" ต่อท้าย เป็นคำพูดที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง และไม่สมกับที่คนที่เป็นนายกฯ จะพูดอย่างนั้น ในหลวงของเรา เรารักและเทิดทูน ในหลวงของเราได้ทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากภยันตรายมากี่ครั้งแล้วครับ พระองค์ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรทั้งประเทศ ใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามพระราชดำรัสแล้ว ยังมีจิตใจที่ไม่จงรักภักดี จะต้องมีอันเป็นไปครับ คอยดู” พล.ต.อ.ประทิน กล่าว โดยมีเสียงคนดูตะโกน "ออกไปๆๆๆๆ ตามมา
“คำพูดของท่านนายกฯ ที่พูดต่อหน้าผู้ขับขี่แท็กซี่ในวันนั้น นายกฯ ต้องพิจารณาตนเองแล้วครับ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งครับ ผี เป็นสิ่งที่ต่ำช้ามาก เอามาเปรียบเทียบไม่ได้ การพูดอย่างนั้นเป็นการแสดงออกนะครับ เป็นการแสดงออกที่ไม่สมควรนะครับ ประชาชนในที่นี้และข้างนอก และผู้ที่รับฟังรายการคุณสนธิอยู่ ต้องการทำอะไรผมร่วมมือเต็มที่ครับ ท่านต้องการให้ทำอะไรขอให้บอกมาเลยครับ” อดีตส.ว.กล่าวย้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงท้ายของการดำเนินรายการ นายสนธิ ได้กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลโดยนายยงยุทธ ติยะไพรัช รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เกณฑ์ผู้ชุมนุมมาป่วนรายการ ตนในฐานะผู้ดำเนินรายการจึงต้องมอบของขวัญให้กับรัฐบาลกลับคืน ด้วยการเชิญชวนแฟนรายการเมืองไทย เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่รัฐบาล"ทักษิณ"โดยยึดหลักให้ผู้ร่วมการชุมนุมเคลื่อนขบวนไปชุมนุมอย่างสงบ และยึดหลักอหิงสา หลังจากนั้นได้เชิญพล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสว.กทม. ขึ้นกล่าวปราศรัยแสดงจุดยืนถึงความไม่เหมาะสมของพ.ต.ท.ทักษิณในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและพร้อม เป็นแกนนำในการขับไล่รัฐบาลด้วย
นอกจากแฟนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรหลายหมื่นคนในครั้งนี้ แกนนำประชาชนยังประกอบไปด้วยน.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตคอลัมน์นิสต์นสพ.แนวหน้า นายการุญ ใสงาม สว.บุรีรัมย์ นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสสร.นายประพันธ์ คูณมี ทนายความและคุณหญิงกัลยา โสภณพานิช อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นแกนนำประชาชนเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของแฟนรายการ พร้อมกับได้เคลื่นขบวนออกจากสวนลุมพินีเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. โดยกลุ่มแฟนรายการได้ตะโกนคำว่าออกไปๆๆ ตลอดทางและมีเจ้าหน้าที่จากกองบัญชาการตำรวจนครบาลคอยอำนวยความสะดวกไปตลอดเส้นการเดินทาง
เมื่อเวลา 21.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากสวนลุมพินี ภายหลังเสร็จสิ้นจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งที่ 14 ณ อาคารลีลาศ สวนลุมพินี ว่า ภายหลังเสร็จสิ้นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร กลุ่มประชาชนที่มาเข้าร่วมรับฟังรายการได้ออกมาตั้งขบวนกันเพื่อเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อกดดันนายกรัฐมนตรี โดยแยกเป็น 2 ชุด ชุดแรกนำโดนนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร และพล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสว.กทม. ส่วนอีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้คัดค้านการแปรรูป กฟผ. ซึ่งเดินทางออกจากสวนลุมพินีเป็น 2 เส้นทาง โดยมีจุดหมายอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล
กลุ่มแรกมีการจัดกลุ่มกันบริเวณด้านถนนพระราม 4 มีประชาชนที่มาเข้าร่วมการรับฟังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ประมาร 5 หมื่นคน ส่วนใหญ่จะสวมเสื้อเหลืองมีการโบกธงชาติไทยตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ยังมีประชาชนตลอด 2 ข้างทางที่สนใจต่างเข้าร่วมในขบวนอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเร่งอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ สำหรับผู้ชุมนุมต่างตะโกนว่า “ทักษิณออกไป” ตลอดเวลา
ด้านกลุ่มผู้คัดค้านการแปรรูป กฟผ. กว่า 3 พันคน ใช้รถยนต์กระบะ รถจักรยานยนต์ และเดินเท้า ใช้เส้นทางด้านหน้าสวนลุมพินี มุ่งหน้าแยกราชประสงค์ ผ่านด้านหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า และไปเลี้ยวซ้ายผ่านแยกประตูน้ำเข้าสู่ถนนเพชรบุรี ซึ่งในขบวนดังกล่าวกลุ่มผู้ชุมนุมต่างเดินโบกธงฟ้าและธงเหลืองตลอดเส้นทาง ซึ่งเมื่อขบวนเคลื่อนผ่านก็มีประชาชนที่สนใจต่างเข้าร่วมขบวนเพิ่มขึ้น ตลอดเส้นทาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมส่วนหนึ่งประมาณ 5พันคน ได้เดินทางล่วงหน้าไปรอยังด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยบริเวณด้านหน้าทำเนียบนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำแผงเหล็กมากั้นตลอดแนวเพื่อป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุม
ด้าน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากที่รับชมรายการ ‘เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร ครั้งที่ 14 จบแล้วประชาชนกว่า 200 คน ที่มาชมรายการ ที่วิทยาลัยวันศุกร์ คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) ได้พร้อมใจกันเคลื่อนขบวนออกมา ณ ลานพระบรมรูปกรมหลวงสงขลานครินทร์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าสำนักอธิการบดี มอ.หาดใหญ่ และเป็นที่เคารพบูชาของนักศึกษา และคณาจารย์ชาว มอ.หาดใหญ่ รวมทั้งประชาชนทั่วไป
จากนั้นจึงมีการจุดเทียนพร้อมร่วมกันถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระบรมรูป มีใจความโดยสรุปว่าทุกคนจะร่วมมือร่วมใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อต่อต้านการบริหารประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศในหลายๆ เรื่อง เพื่อถวายคืนพระราชอำนาจ และทรงมอบแด่ปวงชน นำมาสู่การปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 เพื่อป้องกันการเข้ามาหาประโยชน์ของขบวนการคดโกงชาติ
จากนั้นประชาชนทั้งหมดจึงได้นำเทียนไปวางบริเวณหน้าแท่นบูชา พระบรมรูปกรมหลวงสงขลานครินทร์ แล้วจึงแยกย้ายกันเดินทางกลับบ้าน โดยก่อนกลับบ้านประชาชนทุกคนได้มีการหารือกันและตกลงกันว่า พร้อมที่จะสนับสนุนให้มีการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 จะเรียกร้องโดยอหิงสาและมีสติ ซึ่งหากองค์กรภาคประชาชนใน อ.หาดใหญ่ จะมีการเคลื่อนไหวใดๆ ภาคประชาชนก็พร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ได้ประกาศที่หน้าทำเนียบรัฐบาลว่า จะปักหลักเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก จนกว่าจะได้ชัยชนะ