เพราะชีวิตของผมตั้งแต่เล็กคุ้นเคยอยู่กับพระเช่นนี้ ผมจึงนับถือพระเถระที่ทรงพรรษาสูง เรืองวิทยาคม เป็นที่ประจักษ์ เป็นที่นับถือศรัทธาของผู้คนทั้งปวง เป็นครูบาอาจารย์ ได้ร่ำเรียนวิทยาการและอาคม ตลอดจนศาสตร์ทั้งหลายที่บรรดานักเลงรุ่นนั้นจะพึงเล่าเรียน
ในพื้นบ้านนั้นมีพระมหาเถระที่มากด้วยพรรษา ทรงศีล ทรงธรรม ทรงวินัย มีวิชาและจรณะอันงดงามในพระพุทธศาสนา เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนอยู่หลายรูป พระมหาเถระเหล่านี้เรืองวิทยาคม ทรงอิทธิปาฏิหาริย์มาก จึงมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ตั้งแต่ผมจำความได้ก็ได้รู้ได้เห็นกิตติศัพท์และการประพฤติปฏิบัติของพระมหาเถระเหล่านี้ แม้ยังไม่ประสาในพระศาสนาเท่าใดนัก แต่ก็รู้สึกเลื่อมใสศรัทธาและในขณะนั้นก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าพระมหาเถระเหล่านั้นราวกับเป็นเทพที่ประชาชนในย่านนั้นสามารถพึ่งพาอาศัยได้ในแทบทุกเรื่องราว
เด็กเกิดมาใหม่ ๆ ก็พึ่งพระ ทำขวัญเด็ก ตั้งชื่อเด็ก แม้กระทั่งขอผ้ายันต์หรือตะกรุดหรือชานหมากเพื่อคุ้มครองป้องกันเด็กให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
เด็กโตขึ้นหน่อยหนึ่งก็พึ่งพระให้อบรมสั่งสอน แม้กระทั่งฝากเรียนในโรงเรียนวัด บ้างก็ฝากเป็นเด็กวัด อาศัยกินข้าวก้นบาตรพระอยู่กับวัด
คนที่ว่างงานไม่มีอะไรทำก็ไปกินอยู่กับวัด ช่วยเหลือการงานของวัด
ใครจะแต่งงานก็พึ่งพระขอฤกษ์ผานาทีอันเป็นมงคลในการครองเรือน พึ่งพระในการทำพิธีซึ่งส่วนใหญ่ในสมัยนั้นพระสงฆ์เป็นผู้ทำพิธีในการแต่งงาน ต่างกับทุกวันนี้ที่แทบไม่มีพิธีสงฆ์เหลือหลออยู่อีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ซึ่งเป็นห้วงเวลาสำคัญที่สุดห้วงหนึ่งของความเป็นคน
ใครจะขึ้นบ้านใหม่ก็ไปพึ่งพระขอให้เขียนยันต์กันภูตผีและเพื่อความเป็นสิริมงคล ตลอดจนงานมงคลทำบุญบ้าน
ใครป่วยเจ็บหรือถูกสัตว์ร้ายกัดต่อยก็จะไปขอให้พระช่วยรักษา
ใครเจ็บหนักก็ไปพึ่งพระให้มาสวดพระพุทธมนต์ โดยเฉพาะการสวดโพชฌงค์ซึ่งถือว่าเป็นการเจริญพระปริตรเพื่อต่ออายุให้กับคนเจ็บหรือผู้ป่วย และถือกันว่าแม้จะต้องตายก็จะได้ไปสู่สุคติ
พอถึงงานตายเข้าจริง ๆ ก็ยิ่งต้องพึ่งพระ นิมนต์พระมาสวดกันวันละหลายชุด แต่ละชุดเรียกว่าเตียงเพราะสมัยก่อนนั้นจะนิมนต์พระนั่งสวดบนเตียง ซึ่งโดยทั่วไปก็จะเป็นเตียงผู้ตายนั่นแหละ งานศพบางงานสวดตั้งแต่หัวค่ำยันดึก ต่างกับทุกวันนี้พระสวดน้อยแต่เล่นการพนันหน้าศพกันมากกว่า
ใครอยากเล่าเรียนวิชาการต่าง ๆ ไม่ว่าด้านหนังสือ ด้านศิลปะ ด้านวัฒนธรรมก็ไปขอเรียนกับพระ
ดังนั้นในยุคนั้นชาวบ้านกับพระจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่เหินห่างกัน หรือถึงขนาดที่ตั้งข้อรังเกียจกันหรือเบียดเบียนกัน ถึงขนาดที่พระเองก็ต้องระวังความปลอดภัยจนต้องทำรั้วกุฏิอย่างแน่นหนา กระทั่งทำลูกกรงเหล็กดัดตามประตูหน้าต่างกุฏิกันแล้ว
สภาพดังกล่าวนั้นมาถึงปัจจุบันนี้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว เพราะเมื่อบ้านเมืองเจริญในทางวัตถุมากขึ้น ลัทธิบริโภคนิยมแพร่ขยายเกร่อเกลื่อนไปทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว สิ่งที่เคยพบเห็นมาแต่อดีตก็สูญสิ้นสลายไปหมด และได้ยินแต่ข่าวคราวที่เป็นเรื่องสลดใจและหม่นหมองใจเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในพื้นที่นั้น หรือนั่นเป็นเพราะว่าความเจริญทางวัตถุเป็นเครื่องทำลายหรือเป็นศัตรูของการประพฤติปฏิบัติธรรมอันประเสริฐ
พอผมรู้ความมากขึ้นก็ไปขลุกคุ้นเคยอยู่กับวัด นับถือพระมหาเถระผู้ทรงภูมิธรรมอันสูงในพระศาสนาเป็นครูบาอาจารย์ถึง 3 รูป และคงเป็นเพราะวาสนาแต่ปางก่อนหรือเพราะบุญที่พ่อแม่บุพการีมีมาในพระศาสนา จึงทำให้ได้รับความเมตตาจากพระมหาเถระเหล่านั้นเป็นพิเศษ
ดังนั้นแม้ในวัยเด็กผมจะเป็นเด็กเกเรซึ่งความเกเรนั้นหนักไปในทางซุกซนตามประสาเด็กมากกว่าที่จะเป็นการเกเรแบบอันธพาล ที่สำคัญเป็นความเกเรแบบศิษย์มีครูมาตั้งแต่น้อย แต่ผมก็ได้รับความเมตตาจากพระมหาเถระมาก และผมก็ไม่ทำให้ความเมตตานั้นเป็นหมันเพราะได้หมั่นเพียรเล่าเรียนสรรพศาสตร์ที่พระมหาเถระพร่ำสอน ทำให้ได้วิชาที่ไม่มีใครใคร่อยากจะเรียนรู้ติดตัวแต่นั้นมา
ไม่ว่าการทำผง ทำน้ำมัน ทำยันต์ สัก มนตรา และพิธีไสย ฤกษ์ผานาที ตลอดจนอักขรวิธี ภาษาขอม หรือยาแผนโบราณ ตลอดจนวิชานวดเฟ้น ผมก็เล่าเรียนจนสิ้น เพราะเหตุนี้ผมจึงออกจะเป็นเด็กที่แปลกและพิเศษกว่าเด็ก ๆ ในรุ่นเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่กลัวพระ ไม่ยอมเข้าใกล้พระ และไม่สนใจที่จะร่ำเรียนในสิ่งเหล่านี้
อย่าพูดถึงเรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อ จริงหรือไม่จริง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนคน หนึ่งอาจจะเหมือนหรืออาจจะต่างกับคนอื่น ๆ ก็ได้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ผมมีชีวิตยามเด็กอยู่กับครอบครัวที่ใกล้ชิดพระศาสนา ใกล้ชิดกับผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งญาติฝ่ายพ่อและญาติฝ่ายแม่ และใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่ในวัดจนราวกับว่าเป็นเด็กวัด จนกระทั่งมีชีวิตเข้าสู่วัยรุ่น
ตัวผมเองไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะต้องจากบ้านไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เพราะผมไม่รู้จักกรุงเทพฯ ผมเคยเรียนหนังสือด้วยตะเกียงไข่ไก่เพราะพื้นที่นั้นไม่มีไฟฟ้าใช้ มามีไฟฟ้าใช้เอาก็ช่วงกึ่งพุทธกาลแล้ว ถนนลาดยางก็ไม่รู้จัก รถจักรยานก็ไม่รู้จัก ตู้เย็นก็ไม่รู้จัก รวมความว่าผมไม่รู้จักอะไรที่เป็นความศิวิไลซ์แม้แต่สักอย่างเดียว
ในขณะที่ผมอายุ 15 ปีนั้นก็ไม่เคยไปไกลจากบ้าน ยกเว้นก็แต่การไปเข้าค่ายพักแรมลูกเสือวันหรือสองวัน อายุขนาดนั้นแล้วเคยไปตัวจังหวัดเพียง 2 ครั้ง ที่สำคัญไม่คุ้นเคยกับตัวจังหวัดหรือความเจริญใด ๆ จึงทำให้อัชฌาสัยโน้มไปในทางกลัวความ ศิวิไลซ์เหมือนกับเด็กบ้านนอกโดยทั่วไป
ในปีที่ใกล้จะสอบไล่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตรแผนใหม่ในขณะนั้น เหตุการณ์ไม่นึกฝันก็เกิดขึ้น เพราะวันดีคืนดีแม่ผมก็บอกว่าผมจะต้องเดินทางไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ผมได้แต่ตะลึงงันและงุนงงเพราะไม่เคยนึกฝันมาก่อน ไม่เคยรู้จักกรุงเทพฯ ไม่รู้ว่าจะไปเรียนที่ไหน และไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน
พ่อแม่ผมแม้เป็นคนบ้านนอก การศึกษาไม่สูง แต่รักการศึกษาเช่นเดียวกันกับผู้คนในพื้นที่นั้น ผมเองเป็นลูกชายคนโต พ่อแม่จึงต้องการให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี เหมือนกับครอบครัวอื่น ๆ อะไรที่เกี่ยวกับการศึกษาหากผมมีความต้องการแล้วก็ไม่เคยเลยสักครั้งเดียวที่จะไม่ได้รับการตอบสนองจากพ่อแม่ การที่จู่ ๆ แม่มาบอกผมเช่นนี้ผมก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่ผมได้รับคำแนะนำจากใครจึงต้องการให้ผมไปเรียนที่กรุงเทพฯ
ผมนั้นอยู่กับก๋งและยายซึ่งเป็นคนเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนมาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ายามนั้นพ่อแม่ผมยากลำบากมาก พ่อเพิ่งพ้นฐานะทหารที่ถูกเกณฑ์ไปสงครามมาไม่กี่ปี ยังตั้งตัวไม่ได้ พอผมเกิดมาก็มีพวกซินแสซึ่งคุ้นเคยกับก๋งทางพ่อและไปมาหาสู่กันอยู่เสมอมาเที่ยวทักทายว่าผมเป็นคนดวงประหลาด พ่อแม่เลี้ยงเองไม่ได้ จะต้องยกให้คนที่มีดวงแข็งกว่าเป็นผู้เลี้ยงดูจึงจะมีความเจริญ พ่อแม่ผมจึงยกผมให้กับก๋ง เพราะก๋งเป็นคนเกิดวันเสาร์ ถือกันว่าเป็นคนดวงแข็งที่สามารถเลี้ยงดูอุ้มชูผมได้
ก๋งและยายเลี้ยงดูผมเหมือนกับลูก ทะนุถนอมเอาใจใส่ราวกับแก้วตา เพราะก๋งและยายมีลูกเป็นผู้หญิงทั้งสองคน ครั้นได้หลานหัวปีเป็นผู้ชายก็มีความรักตามค่านิยมของคนจีน ผมจำได้ว่าการที่ก๋งและยายเลี้ยงดูผมและโอ๋เอาอกเอาใจถึงปานนั้นได้ถูกบางคนท้วงเตือนว่าจะทำให้ผมกลายเป็นเด็กเหลิงและเสียคน แต่ทั้งก๋งและยายก็มิได้โต้แย้งประการใด และไม่ได้เปลี่ยนความเมตตาอาทรต่อผมไปแต่อย่างใด
มีคราวหนึ่งผมเล่นระเบิดทำเองจากดินประสิวจนไฟเกือบไหม้บ้าน ถูกก๋งลงโทษสถานหนักด้วยการเฆี่ยนตี ซึ่งน้อยครั้งที่ผมจะถูกก๋งเฆี่ยนตี การเฆี่ยนตีครั้งนั้นก๋งใช้ใบจากซึ่งบางราวกับกระดาษ ดังนั้นถึงจะถูกเฆี่ยนเท่าไหร่ผมกไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร แต่ก็ประจักษ์น้ำใจรักของก๋งว่ามีความรักหวงห่วงหลานถึงเพียงไหน และขณะเดียวกันก็ได้เห็นถึงน้ำใจที่ต้องการลงโทษตามความผิด พอรู้สึกและเห็นได้เช่นนั้นก็ได้คิดว่าชีวิตนี้จะไม่ซุกซนและทำความผิดแบบนี้อีก
ก๋งเฆี่ยนตีผมด้วยใบจากที่ใช้สูบบุหรี่ ต่างกับยายถ้าหากลงโทษผมก็จะเฆี่ยนด้วยใบพลูเพราะยายเป็นคนกินหมาก ดังนั้นการลงโทษของก๋งหรือยายจึงไม่ทำให้ผมเจ็บกายเลยสักครั้งเดียว แต่ผมก็รู้สึกลึก ๆ ได้ด้วยตนเองว่าการลงโทษด้วยความรักและความเมตตาเช่นนี้มีความกระเทือนใจ ซึ้งใจ และเป็นคติเตือนใจไม่ให้ทำความผิดซ้ำสองอีก
พ่อแม่หลายคนลงโทษบุตรหลานด้วยการเฆี่ยนตีด่าว่าอย่างเจ็บปวดรวดร้าวก็ด้วยความรักและปรารถนาให้ลูกจำความผิดได้และไม่กระทำความผิดอีก แต่หลายครั้งผลของการลงโทษเช่นนั้นกลับปรากฏตรงกันข้ามกับความปรารถนาเพราะลูกหลานเจ็บกายแล้วยังเจ็บใจสืบไป บางทีก็หนีออกจากบ้านไปเสียผู้เสียคน บางทีก็กลายเป็นปมด้อยติดตัวติดใจไปตลอดชีวิต
ผมไม่เคยถูกตีถูกเฆี่ยนด้วยไม้เรียวหนัก ๆ คงถูกตีถูกเฆี่ยนด้วยใบจากและใบพลูแต่ก็รู้ความผิดได้ดีและเป็นคติจำมั่นอยู่ในใจไม่ลืมเลย แม้กระทั่งผมมีลูกมีเต้าแล้วก็ได้ถือคตินี้มาปฏิบัติ ไม่เคยเฆี่ยนตี ด่าว่าลูกเลยแม้แต่สักครั้งเดียว ลูกทำผิดประการใดก็พยายามใช้การพูดจาทำความเข้าใจเพื่อไม่ให้ทำผิดซ้ำอีก และดูเหมือนว่าได้ผลดีเพราะแม้ลูกจะไม่เคยถูกเฆี่ยนตีแต่ก็เติบโตเป็นคนดีได้ดังใจ
ดังนั้นการที่คนซึ่งเป็นพ่อคนแม่คนจะลงโทษบุตรหลานให้หลาบจำด้วยวิธีเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงนั้นก็น่าที่จะลองเปรียบเทียบกันดูว่าความคิดที่จะให้ลูกหลานหลาบจำกับการทำให้ลูกหลานสำนึกไม่กระทำความผิดอีกนั้นอย่างไหนจะดีกว่ากัน
เกี่ยวกับการลงโทษเฆี่ยนตีบุตรหลานนี้ มีอยู่ครั้งหนึ่งมีภาพยนตร์เรื่องผู้ชนะสิบทิศออกฉาย พระมหาเถระสมภารวัดกุโสดอก็เคยลงโทษจเด็ดศิษย์รักซึ่งต้องโทษสถานหนักด้วยการเฆี่ยนตีและเจ้าขรัวก็ใช้ใบพลูเฆี่ยนเจ้าจเด็ด ผมดูหนังครั้งนั้นแล้วก็อดหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับตัวเองไม่ได้ และได้เห็นน้ำใจรักของสมภารเจ้ากุโสดอว่าช่างไม่ต่างอันใดกับน้ำใจรักที่ก๋งและยายให้กับผมในวัยเยาว์นั้นเลย
เพราะผมได้รับความรัก ความเอาอกเอาใจทะนุถนอมจากผู้เป็นบุพการีเช่นนี้ และเพราะความใกล้ชิดคุ้นเคยกับผู้คน ตลอดจนพื้นบ้าน จึงทำให้ผมในวัยเด็กติดพันผูกพันอยู่กับบ้านไม่อยากไปไหน เพราะติดเพื่อน ติดก๋ง ติดพื้นที่ ติดพระอาจารย์ และกลัวกรุงเทพฯ จึงได้แต่ถามแม่ว่าผมไม่ต้องการไปเรียนกรุงเทพฯ จะขอเรียนที่บ้านได้หรือไม่ ถ้าเรียนที่บ้านไม่ได้ก็ขอเรียนใกล้ ๆ หน่อย เอากันแค่ตัวจังหวัดจะได้หรือไม่
แม่ก็บอกว่าการศึกษาเล่าเรียนนั้นจะคิดอ่านกันแค่ปัจจุบันไม่ได้ แต่ต้องคิดให้ไกลออกไปข้างหน้า เพราะการศึกษาเป็นเรื่องต้องแข่งขันกัน เป็นเรื่องของอนาคต การจะเรียนต่อไปที่บ้านนั้นไม่ได้เพราะโตขึ้นแล้วจะเรียนไม่ทันเพื่อน เราเป็นคนบ้านนอกต้องมองอนาคตที่จะไปเติบใหญ่ในเมืองหลวงจึงจะควร ให้ดูตัวอย่างจากพ่อซึ่งกำเนิดที่หมู่บ้านห่างไกลแล้วมาเติบใหญ่ในตัวอำเภอ แล้วว่าผมเกิดในตัวอำเภอ ควรจะก้าวไกลออกไปถึงเมืองหลวงจึงจะควร
แม่บอกทางเลือกให้อีกทางหนึ่งว่าถ้าจะไม่ไปเรียนกรุงเทพฯ ก็ต้องไปเรียนที่ปีนังเพราะที่ปีนังเป็นพื้นเพที่คนจีนฮกเกี้ยนอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก มีระบบการศึกษาดี และพ่อผมก็มีสายเลือดฮกเกี้ยน เพราะก๋งฝ่ายพ่อมาจากเมืองจีน และพ่อผมก็มีพรรคพวกอยู่ที่ปีนัง พอที่จะฝากฝังให้เล่าเรียนที่ปีนังได้
ผมได้ยินคำว่าปีนังก็กลัว เพราะรู้ว่าเป็นเมืองนอกเมืองนาแต่ไม่รู้จักใครสักคนเดียว และไม่รู้ว่าเขาใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษามลายู หรือภาษาจีน และไม่ว่าภาษาไหนผมก็พูดไม่ได้ใช้ไม่เป็นทั้งนั้น
เมื่อไม่มีทางเลือกอย่างอื่น คงเหลือแต่ว่าจะเลือกไปเรียนกรุงเทพฯ หรือไปเรียนที่ปีนัง ผมก็จำเป็นจะต้องเลือกไปเรียนกรุงเทพฯ เพราะคิดเสียว่าอย่างไรเสียกรุงเทพฯ ก็เป็นเมืองไทย ภาษาไทยซึ่งแม้จะแตกต่างกันตามพื้นถิ่นของแต่ละภาคก็ยังเรียนรู้ได้ง่าย เข้าใจได้ง่ายกว่าที่จะไปเริ่มต้นเรียนภาษาจีน ภาษาอังกฤษ หรือภาษามลายู
ที่แม่สอนผมในครั้งนี้ มาถึงวันนี้จึงได้รู้ว่านี่คือการสอนมงคลข้อหนึ่งในเรื่องการตั้งถิ่นฐานที่อยู่ว่าต้องหาภูมิทำเลที่เหมาะแก่ตัว ดังที่พระท่านสอนว่าปะฏิรูปะเทสะวาโส ... คือการอยู่ในที่อันสมควรแก่ตนเป็นมงคลสูงสุด ซึ่งเปรียบเทียบได้ง่าย ๆ ว่าหากเป็นปลาก็ต้องอยู่ในน้ำ หากเป็นเสือก็ต้องอยู่ในป่า ถ้าสลับที่กันก็ไปไม่รอดดังนี้ นึกขึ้นมาแล้วก็ซึ้งถึงคำสอนของคนโบราณที่ว่าพ่อแม่นั่นแล้วคือครูอาจารย์คนแรกของคนเราว่าเป็นความจริงแท้