การเมืองของประเทศไทย กำลังเคลื่อนเข้าสู่ระยะการเปลี่ยนแปลงในระดับ "ปฏิรูป" ครั้งใหญ่อีกครั้งอย่างแน่นอน อันเป็นผลจาก "ตัวเร่ง" สำคัญ คือการบริหารด้วยอำนาจทุนแบบเบ็ดเสร็จของพรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เพียง 5 ปี ก็สามารถให้คำตอบแก่สังคมไทยอย่างชัดเจนว่า การใช้อำนาจทุนแบบเบ็ดเสร็จ โดยไม่ยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง อีกนัยหนึ่ง ใช้อำนาจทุนบริหารประเทศแบบ "กูมาก่อน" ประเทศชาติและประชาชนมาทีหลัง ไม่สอดคล้องอย่างยิ่งกับลักษณะของยุคสมัยและความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทย
เพราะผลที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงของคนไทยทั่วไป ก็คือ สังคมไทยร้อนรุ่มไปทุกหย่อมหญ้า การพัฒนาไม่ก้าวหน้า ไม่สนองตอบความเรียกร้องต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนชาวไทยไม่ได้รับประโยชน์แท้จริง คนส่วนใหญ่ไม่เพียงดิ้นไม่หลุดจากวังวนของความเดือดร้อนเดิมๆ เท่านั้น แต่กลับตกเข้าสู่วังวนความเดือดร้อนแบบใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทย
คนยากจนก็ยังยากจน และกลับมีหนี้สินทับถมมากขึ้น สถานการณ์ไม่สงบภาคใต้ "แปรธาตุ" กลายเป็น "สงครามทำลายล้าง" ส่งผลกระทบอันเลวร้ายไปทั่ว ข้ามพ้นเขตแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานภาพทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวของประเทศไทยตกต่ำดำดิ่ง ตกเข้าสู่ภาวะ "ขาลง" ตามคะแนนนิยมของพรรคไทยรักไทย
ทว่า ในท่ามกลางความรุ่มร้อนของประชาชนชาวไทย กลับปรากฏว่ากลุ่มทุนแกนนำพรรคไทยรักไทยพากันร่ำรวยอื้อซ่าถ้วนหน้า สามารถเบ่งบารมีแผ่อำนาจครอบคลุมไปในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่จะ "กินรวบ" ประเทศไทยได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป สังคมไทยก็จะแตกออกเป็นสังคมของคนสองกลุ่มสองขั้วอย่างชัดเจน คือขั้วหนึ่ง กลุ่มรวยทรัพย์และอำนาจหยิบมือเดียว ผูกขาดอำนาจบริหารประเทศ ดำเนินการจัดสรรทรัพยากรของประเทศชาติและโอกาสของสังคมไทย กำหนดชะตากรรมของประชาชนชาวไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศได้แต่ฝ่ายเดียว
อีกฝ่ายหนึ่ง ก็คือประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ที่เป็นเป้ารับการใช้อำนาจ ถูกกำหนดชะตากรรมด้วยมาตรการต่างๆ ทั้งลัทธิบริโภคและเสรีภาพจำแลง ที่คอยกวาดต้อนผู้คนไปสู่เส้นทางของความเป็นทาสบริโภคนิยม และชีวิตเสพอย่างไม่สิ้นสุด เป็นองคาพยพของสังคมไทยที่นับวันเสื่อมทั้งคุณภาพและคุณธรรม ไม่อาจแสดงตนเป็นเจ้าของประเทศได้อย่างแท้จริง และมีแนวโน้มตกต่ำลงเป็นพลเมืองชั้นสองชั้นสามบนแผ่นดินเกิดของตนเองในระยะยาว
หมดสิทธิ์ใดๆ ที่จะเป็นอิสระ ทั้งในทางความคิดและการกระทำ!
ทั้งหมดนั้น เป็นผลจากความพยายามบริหารประเทศด้วยอำนาจทุนเบ็ดเสร็จ เป็นผลของความหลงใหล มัวเมาในอำนาจทุนแบบโงหัวไม่ขึ้นของผู้นำพรรคไทยรักไทย ซึ่งไม่สอดคล้องอย่างยิ่งกับลักษณะแห่งยุคสมัย ที่ผู้นำประเทศจะต้องใช้ปัญญาชี้นำการใช้อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทุน อำนาจราชการ หรืออำนาจข่าวสารและองค์ความรู้ยุคใหม่ไร้พรมแดน
สะท้อนชัดถึงความขาด "จิตใจ" ที่จะใช้อำนาจบริหารประเทศ สร้างประโยชน์ที่แท้จริงให้แก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย
เมื่อขาดจิตใจ จึงไม่มีปัญญา เมื่อไม่มีปัญญา จึงตกเป็นทาสของความโลภ เมื่อตกเป็นทาสของความโลภ ทุกอย่างจึงเริ่มต้นจาก "ตัวกู ของกู" ยิ่งทำมากตนก็ยิ่งได้มาก ประเทศชาติและประชาชนก็ยิ่งเสียหายมาก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "วิน-วิน" เพราะมัน (วิน-วิน) จะเกิดขึ้นได้ด้วยการใช้สติปัญญาชี้นำ สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรควรเอา อะไรควรให้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการใช้ความโลภชี้นำ ที่มักจะคิดเอามากกว่าให้ หรือกระทั่งเอาหมดแบบรวบหัวรวบหาง
ดังนั้น มิไยที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จะอ้างถึงคะแนนเสียง 19 ล้าน หรือนำเสนอ "ไอเดีย" เฉียบทุกวี่วัน ก็ไม่สามารถลบล้างภาพลักษณ์ของผู้ใช้อำนาจเพื่อบรรลุผลประโยชน์ส่วนตน เป็นผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของความโลภ ขาดซึ่งจิตใจและปัญญา อีกนัยหนึ่ง ขาดแล้วซึ่งความชอบธรรมที่จะใช้อำนาจบริหารประเทศอีกต่อไป
ตรงนี้ มิใช่เป็นข้อสรุปของผู้เขียนคนเดียว แต่มันเป็น "ความรับรู้ร่วมกัน" ของสังคมไทยวันนี้ เป็น "สัจธรรม" ด้านกลับที่ไม่มีใครอาจบิดเบือนหรือปฏิเสธได้ ส่วนเหตุการณ์จะพัฒนาไปอย่างไร พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะยังยืนกรานใน "ความชอบธรรม" ตามการตีความของตนเอง หรือยอมรับในความบกพร่องของการใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างมีสำนึก ยินดี "ปล่อยวาง" อำนาจ และ "หลีกทาง" ให้แก่การขับเคลื่อนทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปทางการเมืองอีกครั้ง สำหรับแผ้วทางไปสู่ความเป็นการเมืองที่สอดคล้องกับลักษณะยุคสมัย และความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชนชาวไทยหรือไม่ ในทางปฏิบัติจะปรากฏออกมารูปไหน กำลังเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายกำลังคิดกันอยู่ ประชาชนชาวไทยก็กำลัง "เพ่งใจ" ติดตามกันอยู่
สำหรับผู้เขียนในฐานะคอลัมนิสต์ที่ชอบคิดเรื่องใหญ่ๆ ระดับประเทศและระดับโลก (รวมทั้งชีวิต) มุ่งหมายที่จะใช้เวทีเล็กๆ นี้ นำเสนอแนวคิดที่ (คิดว่า) สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์โดยรวมต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ในทุกขั้นตอนของพัฒนาการของสังคมโลกและสังคมไทย ด้วยวิถีทางที่ดีและถูกต้อง นั่นคือสอดคล้องกับผลประโยชน์อย่างแท้จริงของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย พยายามอย่างยิ่งที่จะเริ่มจากความเป็นจริงของประเทศไทย และความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย ตามหลักการ "หาสัจจะจากความเป็นจริง" และกฎธรรมชาติหรือ "ธรรมะ" แห่งพุทธธรรม
อีกนัยหนึ่ง (อีกนิดหนึ่งเกี่ยวกับตัวเอง) ผู้เขียนขอยึดมั่นใน "จิตใจ" ที่พร้อมจะคิดและทำทุกอย่างเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ (สังคมโลกโดยรวม) ความอยู่ดีกินดีมีสุขของประชาชนชาวไทย (ประชาชนชาวโลกโดยรวม) และ "ปัญญารู้แจ้ง" (การเข้าถึงกฎเกณฑ์พัฒนาการของสิ่ง จับปมปัญหาได้ และมองเห็นช่องทางในการขจัดปมปัญหาที่ขัดขวางกระบวนการพัฒนานั้นๆ ให้ตกไป) ที่จะชี้นำให้เราสามารถคิดและปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างสอดคล้องกับลักษณะแห่งยุคสมัย และความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทย รวมถึงชาวโลกด้วย
ทั้งนี้ "จิตใจ" และ "ปัญญารู้แจ้ง" เช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่พรรคการเมืองยุคใหม่ของประเทศไทยจะต้องมี
ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าพรรคการเมืองไทยยุคใหม่จะต้องคิดตามผู้เขียน เพียงแต่จะบอกว่า สิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอมา เป็นจิตใจและปัญญาร่วมกันของมวลมนุษยชาติยุคปัจจุบันสอดคล้องกับลักษณะยุคสมัยและความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทยและชาวโลกโดยรวม มันมีความเป็น "กฎธรรมชาติ" หรือ "ธรรม" อยู่ในตัว ที่เมื่อใคร "เข้าถึง" แล้วก็จะ "พบเห็น" ความจริงแบบเดียวกัน สามารถคิดและปฏิบัติไปในทางเดียวกัน
หมายความว่า เมื่อใดที่พรรคการเมืองยึดกุมจิตใจและปัญญาชี้นำเช่นนี้ได้ ก็จะสามารถสามัคคีจิตใจและปัญญาของมวลชนชาวไทยได้ สามารถระดมความอัจฉริยะของมวลชนชาวไทย ให้เข้าร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาชีวิตและสังคมโดยรวมได้อย่างไม่สิ้นสุด ในฐานะ "ผู้สร้าง" เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่แท้จริง ที่จะขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่มิติใหม่ หลุดพ้นจากวัฏฏะแห่งความชั่วร้าย พาประชาชนชาวไทยก้าวเข้าสู่ชีวิตใหม่ ที่สุขสันติบนฐานของความเจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้าน ทั้งทางวัตถุและจิตใจ
ด้วยพรรคการเมืองที่พร้อมด้วย "จิตใจ" และ "ปัญญา" เช่นนี้ จึงจะสร้างความหวังที่สามารถทำให้เป็นจริงแก่ประชาชนชาวไทยได้
ถึงตรงนี้ ก็ต้องอธิบายต่อไปว่า การที่ผู้เขียนเน้นความสำคัญของ "จิตใจ" และ "ปัญญา" ของพรรคการเมือง ในกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นนี้ ก็เพราะเห็นว่า การปฏิรูปทางการเมืองของประเทศไทยดำเนินมาเป็นระยะๆ ได้ให้ความสำคัญในเรื่องระบบโครงสร้างและกลไกทางการเมืองมาเป็นลำดับ มีการศึกษาและนำเอาแบบอย่างที่ดีของกฎหมายรัฐธรรมนูญในต่างประเทศมาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็เกิดผลเพียงบางส่วนบางด้าน ยังไม่รอบด้าน ทำให้การเมืองของประเทศไทย ทันสมัยแต่เปลือก คือเที่ยวบอกใครต่อใครได้ว่า มีความเป็นมาตรฐานสากลไม่แพ้ประเทศอื่นใด แต่ผลดีสุดท้ายไม่ตกแก่ประเทศชาติและประชาชน การปฏิรูปแต่ละครั้ง กลับกลายเป็นการ "ทอด" สะพานหรือสร้างโอกาสให้กลุ่มก๊กหรือ "มุ้ง" "วัง" การเมืองต่างๆฉกฉวยผลประโยชน์ใส่ตัว เสริมสร้างโครงข่ายอำนาจเหนือสังคมไทย ขันชะเนาะ มัดตราสังประเทศไทยและประชาชนไทยให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขาตลอดชั่วนาตาปี
นั่นคือการแก้ไขปัญหาเพียงด้านเดียว ที่เป็นเพียง "เงื่อนไขแวดล้อม" มิได้แก้ไขปัญหา "ธาตุแท้" หรือ "หัวใจ" ของการเมืองไทย
ที่ผ่านมาเราจึงได้แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ดี แต่ไม่ได้พรรคการเมืองที่ดี สามารถใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างถูกต้องมีประสิทธิผล สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชน ตรงกันข้าม กลับเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดวิกฤตร้ายแรงระดับประเทศ สร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย เช่น วิกฤตค่าเงินบาทในสมัยรัฐบาลชุดก่อนๆ และวิกฤตสามจังหวัดภาคใต้ ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน มีผลต่อเนื่องและขยายตัว บ่อนทำลายโอกาสการพัฒนาประเทศ ขัดขวางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยโดยรวม
อีกนัยหนึ่ง การขับเคลื่อนของกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองของประเทศไทย เป็นไปแบบ "ด้านเดียว" ตามวิถี "จากบนลงล่าง" ประชาชนได้แต่ "รอคอย"การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นผู้ตามหรือผู้ถูกกระทำ ไม่มีการจัดตั้งกันเข้ามาดำเนินการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นฝ่ายกระทำ อย่างเป็นตัวของตัวเอง
ณ วันนี้ เราไม่ควรปล่อยให้การปฏิรูปการเมืองของประเทศไทยดำเนินไปในรูปเดิมอีกต่อไป แต่ควรและจำเป็นต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กันทั้งด้วยการปรับปรุงกฎกติกาสูงสุดหรือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้เอื้ออย่างยิ่งต่อการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ที่พร้อมทั้ง "จิตใจ" และ "ปัญญา" ที่จะนำพาประชาชนร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาประเทศ ขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ประเทศไทยไปสู่อนาคต
อีกด้านหนึ่ง ประชาชาวไทยจำเป็นต้องรวมตัวกันเข้าอย่างเป็นฝ่ายกระทำ จัดตั้งกันเข้าเป็นพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ประกาศจิตใจและเชิดชูปัญญาพร้อมสำหรับการแสดงบทบาทเป็น "แกนนำ" และ "กองหน้า" ประชาชนชาวไทย ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งอย่างแท้จริง
ยุคสมัยกำลังเรียกร้องต้องการพรรคการเมืองเช่นนี้ ประเทศใดที่มีพรรคการเมืองเช่นนี้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ก็ประสบความสำเร็จนำพาประเทศชาติและประชาชนหลุดพ้นจากวังวนของความล้าหลังยากจน และความทุกข์ระทมในรูปแบบต่างๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น
ตัวอย่างของความสำเร็จอันเนื่องจากมีพรรคบริหารประเทศที่ดี สอดคล้องกับลักษณะแห่งยุคสมัย ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ปัจจุบันมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ทั้งในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบทุนนิยมและสังคมนิยม
นั่นหมายความว่า การปฏิรูปทางการเมืองของประเทศไทยที่กำลังก่อตัวกันอยู่นี้ จะต้องมีผลลงเอยที่เป็นรูปธรรมในภาคประชาชน เกิดพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ประกาศจิตใจและเจตนารมณ์ที่จะยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ถือเอาผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนเป็นตัวตั้ง ระดมจัดตั้งมวลชนทั่วประเทศ เคลื่อนไหวด้วยการใช้ "ปัญญา" ชี้นำ ก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองประเทศไทยในฐานะพรรคการเมืองรู้แจ้งรู้ทัน อย่างสอดคล้องกับลักษณะยุคสมัยและความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย
โดยนัยดังกล่าว การปฏิรูปทางการเมืองของประเทศไทยครั้งนี้ จะต้องทำให้ได้ถึงขั้นนำไปสู่การ "ปฏิวัติ" พรรคการเมืองไทยเลยทีเดียว
นั่นคือ จะต้องนำไปสู่การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง จากนี้เป็นเหตุปัจจัยโน้มนำให้ทุกพรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ ต้องพัฒนาตนเองไปในทิศทางเดียวกัน เสริมสร้างจิตใจแบบเดียวกัน มีปัญญาไล่เลี่ยกัน
เพื่อประเทศไทยจะไปรอด ประชาชนชาวไทยจะลืมตาอ้าปากได้ ทั้งในสังคมโลกยุคนี้และยุคหน้า!
เพียง 5 ปี ก็สามารถให้คำตอบแก่สังคมไทยอย่างชัดเจนว่า การใช้อำนาจทุนแบบเบ็ดเสร็จ โดยไม่ยึดเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง อีกนัยหนึ่ง ใช้อำนาจทุนบริหารประเทศแบบ "กูมาก่อน" ประเทศชาติและประชาชนมาทีหลัง ไม่สอดคล้องอย่างยิ่งกับลักษณะของยุคสมัยและความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทย
เพราะผลที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงของคนไทยทั่วไป ก็คือ สังคมไทยร้อนรุ่มไปทุกหย่อมหญ้า การพัฒนาไม่ก้าวหน้า ไม่สนองตอบความเรียกร้องต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนชาวไทยไม่ได้รับประโยชน์แท้จริง คนส่วนใหญ่ไม่เพียงดิ้นไม่หลุดจากวังวนของความเดือดร้อนเดิมๆ เท่านั้น แต่กลับตกเข้าสู่วังวนความเดือดร้อนแบบใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทย
คนยากจนก็ยังยากจน และกลับมีหนี้สินทับถมมากขึ้น สถานการณ์ไม่สงบภาคใต้ "แปรธาตุ" กลายเป็น "สงครามทำลายล้าง" ส่งผลกระทบอันเลวร้ายไปทั่ว ข้ามพ้นเขตแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานภาพทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวของประเทศไทยตกต่ำดำดิ่ง ตกเข้าสู่ภาวะ "ขาลง" ตามคะแนนนิยมของพรรคไทยรักไทย
ทว่า ในท่ามกลางความรุ่มร้อนของประชาชนชาวไทย กลับปรากฏว่ากลุ่มทุนแกนนำพรรคไทยรักไทยพากันร่ำรวยอื้อซ่าถ้วนหน้า สามารถเบ่งบารมีแผ่อำนาจครอบคลุมไปในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่จะ "กินรวบ" ประเทศไทยได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป สังคมไทยก็จะแตกออกเป็นสังคมของคนสองกลุ่มสองขั้วอย่างชัดเจน คือขั้วหนึ่ง กลุ่มรวยทรัพย์และอำนาจหยิบมือเดียว ผูกขาดอำนาจบริหารประเทศ ดำเนินการจัดสรรทรัพยากรของประเทศชาติและโอกาสของสังคมไทย กำหนดชะตากรรมของประชาชนชาวไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศได้แต่ฝ่ายเดียว
อีกฝ่ายหนึ่ง ก็คือประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ที่เป็นเป้ารับการใช้อำนาจ ถูกกำหนดชะตากรรมด้วยมาตรการต่างๆ ทั้งลัทธิบริโภคและเสรีภาพจำแลง ที่คอยกวาดต้อนผู้คนไปสู่เส้นทางของความเป็นทาสบริโภคนิยม และชีวิตเสพอย่างไม่สิ้นสุด เป็นองคาพยพของสังคมไทยที่นับวันเสื่อมทั้งคุณภาพและคุณธรรม ไม่อาจแสดงตนเป็นเจ้าของประเทศได้อย่างแท้จริง และมีแนวโน้มตกต่ำลงเป็นพลเมืองชั้นสองชั้นสามบนแผ่นดินเกิดของตนเองในระยะยาว
หมดสิทธิ์ใดๆ ที่จะเป็นอิสระ ทั้งในทางความคิดและการกระทำ!
ทั้งหมดนั้น เป็นผลจากความพยายามบริหารประเทศด้วยอำนาจทุนเบ็ดเสร็จ เป็นผลของความหลงใหล มัวเมาในอำนาจทุนแบบโงหัวไม่ขึ้นของผู้นำพรรคไทยรักไทย ซึ่งไม่สอดคล้องอย่างยิ่งกับลักษณะแห่งยุคสมัย ที่ผู้นำประเทศจะต้องใช้ปัญญาชี้นำการใช้อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทุน อำนาจราชการ หรืออำนาจข่าวสารและองค์ความรู้ยุคใหม่ไร้พรมแดน
สะท้อนชัดถึงความขาด "จิตใจ" ที่จะใช้อำนาจบริหารประเทศ สร้างประโยชน์ที่แท้จริงให้แก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย
เมื่อขาดจิตใจ จึงไม่มีปัญญา เมื่อไม่มีปัญญา จึงตกเป็นทาสของความโลภ เมื่อตกเป็นทาสของความโลภ ทุกอย่างจึงเริ่มต้นจาก "ตัวกู ของกู" ยิ่งทำมากตนก็ยิ่งได้มาก ประเทศชาติและประชาชนก็ยิ่งเสียหายมาก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "วิน-วิน" เพราะมัน (วิน-วิน) จะเกิดขึ้นได้ด้วยการใช้สติปัญญาชี้นำ สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรควรเอา อะไรควรให้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการใช้ความโลภชี้นำ ที่มักจะคิดเอามากกว่าให้ หรือกระทั่งเอาหมดแบบรวบหัวรวบหาง
ดังนั้น มิไยที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จะอ้างถึงคะแนนเสียง 19 ล้าน หรือนำเสนอ "ไอเดีย" เฉียบทุกวี่วัน ก็ไม่สามารถลบล้างภาพลักษณ์ของผู้ใช้อำนาจเพื่อบรรลุผลประโยชน์ส่วนตน เป็นผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของความโลภ ขาดซึ่งจิตใจและปัญญา อีกนัยหนึ่ง ขาดแล้วซึ่งความชอบธรรมที่จะใช้อำนาจบริหารประเทศอีกต่อไป
ตรงนี้ มิใช่เป็นข้อสรุปของผู้เขียนคนเดียว แต่มันเป็น "ความรับรู้ร่วมกัน" ของสังคมไทยวันนี้ เป็น "สัจธรรม" ด้านกลับที่ไม่มีใครอาจบิดเบือนหรือปฏิเสธได้ ส่วนเหตุการณ์จะพัฒนาไปอย่างไร พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะยังยืนกรานใน "ความชอบธรรม" ตามการตีความของตนเอง หรือยอมรับในความบกพร่องของการใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างมีสำนึก ยินดี "ปล่อยวาง" อำนาจ และ "หลีกทาง" ให้แก่การขับเคลื่อนทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปทางการเมืองอีกครั้ง สำหรับแผ้วทางไปสู่ความเป็นการเมืองที่สอดคล้องกับลักษณะยุคสมัย และความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชนชาวไทยหรือไม่ ในทางปฏิบัติจะปรากฏออกมารูปไหน กำลังเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายกำลังคิดกันอยู่ ประชาชนชาวไทยก็กำลัง "เพ่งใจ" ติดตามกันอยู่
สำหรับผู้เขียนในฐานะคอลัมนิสต์ที่ชอบคิดเรื่องใหญ่ๆ ระดับประเทศและระดับโลก (รวมทั้งชีวิต) มุ่งหมายที่จะใช้เวทีเล็กๆ นี้ นำเสนอแนวคิดที่ (คิดว่า) สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์โดยรวมต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ในทุกขั้นตอนของพัฒนาการของสังคมโลกและสังคมไทย ด้วยวิถีทางที่ดีและถูกต้อง นั่นคือสอดคล้องกับผลประโยชน์อย่างแท้จริงของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย พยายามอย่างยิ่งที่จะเริ่มจากความเป็นจริงของประเทศไทย และความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย ตามหลักการ "หาสัจจะจากความเป็นจริง" และกฎธรรมชาติหรือ "ธรรมะ" แห่งพุทธธรรม
อีกนัยหนึ่ง (อีกนิดหนึ่งเกี่ยวกับตัวเอง) ผู้เขียนขอยึดมั่นใน "จิตใจ" ที่พร้อมจะคิดและทำทุกอย่างเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ (สังคมโลกโดยรวม) ความอยู่ดีกินดีมีสุขของประชาชนชาวไทย (ประชาชนชาวโลกโดยรวม) และ "ปัญญารู้แจ้ง" (การเข้าถึงกฎเกณฑ์พัฒนาการของสิ่ง จับปมปัญหาได้ และมองเห็นช่องทางในการขจัดปมปัญหาที่ขัดขวางกระบวนการพัฒนานั้นๆ ให้ตกไป) ที่จะชี้นำให้เราสามารถคิดและปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างสอดคล้องกับลักษณะแห่งยุคสมัย และความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทย รวมถึงชาวโลกด้วย
ทั้งนี้ "จิตใจ" และ "ปัญญารู้แจ้ง" เช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่พรรคการเมืองยุคใหม่ของประเทศไทยจะต้องมี
ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าพรรคการเมืองไทยยุคใหม่จะต้องคิดตามผู้เขียน เพียงแต่จะบอกว่า สิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอมา เป็นจิตใจและปัญญาร่วมกันของมวลมนุษยชาติยุคปัจจุบันสอดคล้องกับลักษณะยุคสมัยและความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทยและชาวโลกโดยรวม มันมีความเป็น "กฎธรรมชาติ" หรือ "ธรรม" อยู่ในตัว ที่เมื่อใคร "เข้าถึง" แล้วก็จะ "พบเห็น" ความจริงแบบเดียวกัน สามารถคิดและปฏิบัติไปในทางเดียวกัน
หมายความว่า เมื่อใดที่พรรคการเมืองยึดกุมจิตใจและปัญญาชี้นำเช่นนี้ได้ ก็จะสามารถสามัคคีจิตใจและปัญญาของมวลชนชาวไทยได้ สามารถระดมความอัจฉริยะของมวลชนชาวไทย ให้เข้าร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาชีวิตและสังคมโดยรวมได้อย่างไม่สิ้นสุด ในฐานะ "ผู้สร้าง" เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่แท้จริง ที่จะขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่มิติใหม่ หลุดพ้นจากวัฏฏะแห่งความชั่วร้าย พาประชาชนชาวไทยก้าวเข้าสู่ชีวิตใหม่ ที่สุขสันติบนฐานของความเจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้าน ทั้งทางวัตถุและจิตใจ
ด้วยพรรคการเมืองที่พร้อมด้วย "จิตใจ" และ "ปัญญา" เช่นนี้ จึงจะสร้างความหวังที่สามารถทำให้เป็นจริงแก่ประชาชนชาวไทยได้
ถึงตรงนี้ ก็ต้องอธิบายต่อไปว่า การที่ผู้เขียนเน้นความสำคัญของ "จิตใจ" และ "ปัญญา" ของพรรคการเมือง ในกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นนี้ ก็เพราะเห็นว่า การปฏิรูปทางการเมืองของประเทศไทยดำเนินมาเป็นระยะๆ ได้ให้ความสำคัญในเรื่องระบบโครงสร้างและกลไกทางการเมืองมาเป็นลำดับ มีการศึกษาและนำเอาแบบอย่างที่ดีของกฎหมายรัฐธรรมนูญในต่างประเทศมาปรับใช้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็เกิดผลเพียงบางส่วนบางด้าน ยังไม่รอบด้าน ทำให้การเมืองของประเทศไทย ทันสมัยแต่เปลือก คือเที่ยวบอกใครต่อใครได้ว่า มีความเป็นมาตรฐานสากลไม่แพ้ประเทศอื่นใด แต่ผลดีสุดท้ายไม่ตกแก่ประเทศชาติและประชาชน การปฏิรูปแต่ละครั้ง กลับกลายเป็นการ "ทอด" สะพานหรือสร้างโอกาสให้กลุ่มก๊กหรือ "มุ้ง" "วัง" การเมืองต่างๆฉกฉวยผลประโยชน์ใส่ตัว เสริมสร้างโครงข่ายอำนาจเหนือสังคมไทย ขันชะเนาะ มัดตราสังประเทศไทยและประชาชนไทยให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขาตลอดชั่วนาตาปี
นั่นคือการแก้ไขปัญหาเพียงด้านเดียว ที่เป็นเพียง "เงื่อนไขแวดล้อม" มิได้แก้ไขปัญหา "ธาตุแท้" หรือ "หัวใจ" ของการเมืองไทย
ที่ผ่านมาเราจึงได้แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ดี แต่ไม่ได้พรรคการเมืองที่ดี สามารถใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างถูกต้องมีประสิทธิผล สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชน ตรงกันข้าม กลับเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดวิกฤตร้ายแรงระดับประเทศ สร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทย เช่น วิกฤตค่าเงินบาทในสมัยรัฐบาลชุดก่อนๆ และวิกฤตสามจังหวัดภาคใต้ ในรัฐบาลชุดปัจจุบัน มีผลต่อเนื่องและขยายตัว บ่อนทำลายโอกาสการพัฒนาประเทศ ขัดขวางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยโดยรวม
อีกนัยหนึ่ง การขับเคลื่อนของกระบวนการปฏิรูปทางการเมืองของประเทศไทย เป็นไปแบบ "ด้านเดียว" ตามวิถี "จากบนลงล่าง" ประชาชนได้แต่ "รอคอย"การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นผู้ตามหรือผู้ถูกกระทำ ไม่มีการจัดตั้งกันเข้ามาดำเนินการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นฝ่ายกระทำ อย่างเป็นตัวของตัวเอง
ณ วันนี้ เราไม่ควรปล่อยให้การปฏิรูปการเมืองของประเทศไทยดำเนินไปในรูปเดิมอีกต่อไป แต่ควรและจำเป็นต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กันทั้งด้วยการปรับปรุงกฎกติกาสูงสุดหรือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้เอื้ออย่างยิ่งต่อการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ที่พร้อมทั้ง "จิตใจ" และ "ปัญญา" ที่จะนำพาประชาชนร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาประเทศ ขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ประเทศไทยไปสู่อนาคต
อีกด้านหนึ่ง ประชาชาวไทยจำเป็นต้องรวมตัวกันเข้าอย่างเป็นฝ่ายกระทำ จัดตั้งกันเข้าเป็นพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ประกาศจิตใจและเชิดชูปัญญาพร้อมสำหรับการแสดงบทบาทเป็น "แกนนำ" และ "กองหน้า" ประชาชนชาวไทย ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งอย่างแท้จริง
ยุคสมัยกำลังเรียกร้องต้องการพรรคการเมืองเช่นนี้ ประเทศใดที่มีพรรคการเมืองเช่นนี้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ก็ประสบความสำเร็จนำพาประเทศชาติและประชาชนหลุดพ้นจากวังวนของความล้าหลังยากจน และความทุกข์ระทมในรูปแบบต่างๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้น
ตัวอย่างของความสำเร็จอันเนื่องจากมีพรรคบริหารประเทศที่ดี สอดคล้องกับลักษณะแห่งยุคสมัย ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ปัจจุบันมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ทั้งในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบทุนนิยมและสังคมนิยม
นั่นหมายความว่า การปฏิรูปทางการเมืองของประเทศไทยที่กำลังก่อตัวกันอยู่นี้ จะต้องมีผลลงเอยที่เป็นรูปธรรมในภาคประชาชน เกิดพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ประกาศจิตใจและเจตนารมณ์ที่จะยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ถือเอาผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนเป็นตัวตั้ง ระดมจัดตั้งมวลชนทั่วประเทศ เคลื่อนไหวด้วยการใช้ "ปัญญา" ชี้นำ ก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองประเทศไทยในฐานะพรรคการเมืองรู้แจ้งรู้ทัน อย่างสอดคล้องกับลักษณะยุคสมัยและความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย
โดยนัยดังกล่าว การปฏิรูปทางการเมืองของประเทศไทยครั้งนี้ จะต้องทำให้ได้ถึงขั้นนำไปสู่การ "ปฏิวัติ" พรรคการเมืองไทยเลยทีเดียว
นั่นคือ จะต้องนำไปสู่การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง จากนี้เป็นเหตุปัจจัยโน้มนำให้ทุกพรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ ต้องพัฒนาตนเองไปในทิศทางเดียวกัน เสริมสร้างจิตใจแบบเดียวกัน มีปัญญาไล่เลี่ยกัน
เพื่อประเทศไทยจะไปรอด ประชาชนชาวไทยจะลืมตาอ้าปากได้ ทั้งในสังคมโลกยุคนี้และยุคหน้า!