สาธารณรัฐประชาชนจีนกำลังเป็นที่กล่าวขวัญของคนทั่วโลกในฐานะที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า โอกาสของเศรษฐกิจจีนที่จะพัฒนาล้ำหน้าสหรัฐอเมริกาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ภายในสองทศวรรษ ในขณะนี้ประเทศต่างๆ ต่างพากันตื่นตัวพากันศึกษาภาษาจีนเพราะทราบว่าจะเป็นภาษาของมหาอำนาจในอนาคต แม้มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาคนก็เริ่มพากันศึกษาภาษาจีนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ประเทศไทยเองก็ตื่นตัวทางด้านนี้เป็นอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเห็นได้ชัดใน 4 ประการ คือ
1. ในทางเศรษฐกิจ สินค้าจีนกำลังครองตลาดในประเทศต่างๆ ตั้งแต่สมองกล เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า ผลไม้ ของเล่นเด็ก ฯลฯ สินค้าดังกล่าวนั้นจำนวนไม่น้อยเป็นของเลียนแบบ ราคาถูก แต่ก็ทำได้เหมือนของจริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงค่าแรงที่ต่ำกว่ารวมทั้งการผลิตที่มีจำนวนมหาศาลทำให้สามารถขายในราคาต่ำกว่าได้ เศรษฐกิจจีนเป็นเศรษฐกิจที่น่ากลัว เพราะนอกจากอำนาจการผลิตแล้วตลาดภายในยังใหญ่มหึมา ความจริงจีนไม่ใช่หนึ่งประเทศแต่ละมณฑลเท่ากับหนึ่งประเทศ จีนคือ 30 กว่าประเทศรวมกัน
2. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เห็นได้ชัดว่าเมืองเซี้ยงไฮ้ ปักกิ่ง และเมืองใหญ่อื่นๆ เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนจำไม่ได้ ตึกสูงเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น ถนนยกระดับมีอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะเซี้ยงไฮ้มีรถไฟที่วิ่งชั่วโมงละ 400-500 กิโลเมตรโดยไม่แตะรางเพราะใช้ระบบแม่เหล็ก นอกจากนั้นยังมีโรงไฟฟ้าปรมาณู ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวสะท้อนถึงการพัฒนาที่เกิดขึ้นในมณฑลใหญ่ๆ นอกจากนี้ในทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจีนยังก้าวไปถึงขั้นที่ส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปโคจรรอบโลกได้ถึงสองครั้ง
3. การเปลี่ยนแปลงในทางสังคม เห็นได้จากความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน เกิดนักธุรกิจรุ่นใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก รถราเต็มถนน การท่องเที่ยวต่างประเทศมีขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ประชาชนมีเสรีภาพในการจับจ่ายใช้สอยและการดำรงชีวิตอย่างเต็มที่ คนเข้ารับการศึกษามากขึ้น โลกทัศน์ของประชาชนจีนกว้างขวางขึ้นเนื่องจากการติดต่อกับโลกภายนอก การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ คนจีนยุคใหม่เป็นคนที่มิได้จมปรักอยู่กับความเก่าแก่แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่พยายามตามให้ทันโลกด้วย เห็นได้จากในรายการทางช่องโทรทัศน์ การแสดงออกทางดนตรี ภาพยนตร์ ฯลฯ
4. การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ผู้นำที่ปกครองประเทศอยู่ปัจจุบันนี้เป็นผู้นำยุคใหม่ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี โดยเข้าใจถึงปัญหาต่างๆ ภายในประเทศ รวมตลอดทั้งมีความชาญฉลาดในทางโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดต่อระหว่างประเทศ จะเห็นได้ว่าผู้นำจีนเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่นๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป สหรัฐอเมริกา โดยไม่แสดงความเคอะเขินออกมาให้เห็นเพราะได้รับข่าวสารข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวแปรใหญ่ๆ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงสังคมจีนและประเทศจีน สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้จีนฟื้นตัวจากความล้าหลังและการถูกดูถูกเหยียดหยามเป็นเวลาถึงหนึ่งศตวรรษเต็มตั้งแต่แพ้สงครามฝิ่น จนมาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปัจจุบัน อธิบายได้ด้วยตัวแปรต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ
ประการแรก คนจีนไม่มีปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ คนจีนรู้ว่าตัวคือคนจีน มีชนชาติส่วนน้อยอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ในความเป็นจริงไม่มีคำว่าเผ่าจีนในโลกนี้ จีนมาจากการใช้นามของจิ๋นซีฮ่องเต้ ฮั่นก็มาจากราชวงศ์ฮั่น ถังหรือตึ่งนั้งก็คือคนราชวงศ์ถัง ทั้งหมดคือชื่อของจักรพรรดิหรือราชวงศ์ไม่ใช่ชื่อของเผ่าพันธุ์ แต่ความเป็นจีนเกิดจากภาษาเขียน วัฒนธรรมจีน ลัทธิขงจื๊อและเล่าจื๊อ และการควบคุมโดยอยู่ภายใต้การปกครอง มีขุนนางจากการใช้ระบบสอบไล่เพื่อคัดเลือกเข้ารับราชการ คนจีนจึงเกิดจากคนที่มีวัฒนธรรมและนับถือลัทธิปรัชญาสังคมเดียวกันจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ร่วม
ประการที่สอง วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมจีนเป็นวัฒนธรรมที่เก่าแก่ 5,000 ปี เป็นวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับการพยายามมีชีวิตที่ดี มีการเน้นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในครอบครัว เน้นคุณธรรม และเน้นการทำความดี แต่ที่สำคัญก็คือวัฒนธรรมที่มีมาตลอด 5 พันปีนี้ทำให้มีบทเรียนจากประวัติศาสตร์มากมาย ในทุกสถานการณ์คนจีนสามารถหาคำตอบได้จากบทเรียนในอดีตได้เสมอ
ประการที่สาม เนื่องจากวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานตามที่กล่าวมา ทำให้ภูมิปัญญาของจีนนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นนามธรรม นามธรรมคือการสรุปเป็นความคิดรวบยอดจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม กลายเป็นแบบอย่างหรือแบบกระสวนที่จะใช้อธิบายปรากฏการณ์เฉพาะเจาะจงได้ การมีความคิดรวบยอดแบบนามธรรมทำให้จีนสามารถตีความ วิเคราะห์และเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง พร้อมกับหาคำตอบโดยโยงกลับไปสู่บทเรียนจากประวัติศาสตร์ การหาคำตอบด้วยการเปรียบเทียบหรือเทียบเคียง ทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ประชาชนจีนและผู้นำจีนจึงสามารถหาคำตอบให้กับปรากฏการณ์ทางสังคมได้ พร้อมทั้งมีทางออกในทางใดทางหนึ่ง
ประการที่สี่ ประชากร 1,300 ล้านคน ซึ่งมีคุณลักษณะดังกล่าวมาเบื้องต้นกลายเป็นพลังผลิตอย่างมหาศาล เมื่อผสมผสานกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่น่าสะพรึงกลัวในแง่การผลิตทางอุตสาหกรรม เกษตร บริการ ที่สำคัญที่สุด การผลิตดังกล่าวจะมีราคาย่อมเยาเนื่องจากผลิตด้วยจำนวนมหาศาล ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำเนื่องจากมีตลาดภายในที่ใหญ่โตมหึมา เช่น โทรศัพท์มือถือมีจำนวน 200 ล้านเลขหมาย และในกรณีของรถยนต์ขณะนี้ทราบว่ามีประมาณ 40 ล้านคัน ในอนาคตอาจจะมีรถยนต์เป็น 300-400 ล้านคัน นัยที่สำคัญคือจะมีการใช้ยางพาราอย่างมหาศาล ประเทศใดที่ปลูกยางก็จะมีอนาคต นอกจากนั้นจีนต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล และต้องการซื้อเครื่องบินโดยสารภายในประเทศจำนวนมาก ฯลฯ
ประการที่ห้า เนื่องจากการมีพื้นฐานทางนามธรรมและความคิดรวบยอดแบบนามธรรม การศึกษาวิทยาศาสตร์และการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนจึงสามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมีพื้นฐานที่มั่นคง ง่ายต่อการเข้าใจ เมื่อมีการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ ผนวกกับจำนวนประชากรมหาศาล การผลิตทางเศรษฐกิจจึงเกิดขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเมื่อประชาชนมีอำนาจซื้อก็จะมีตลาดภายในที่ระบายสินค้าได้ นำไปสู่ความพลวัตของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตและการบริการ เช่น อาหารการกินและภัตตาคาร เป็นต้น
ประการที่หก วัฒนธรรมจีนเน้นที่การศึกษา จีนมีประเพณีปัญญาการ (intellectual tradition) อันเนื่องมาจากการสอบเพื่อรับราชการ คนส่วนใหญ่จึงให้น้ำหนักต่อการศึกษามาก ซึ่งใกล้เคียงกับคนเชื้อสายยิว การศึกษาย่อมนำไปสู่ข้อมูลความรู้และการเปิดกว้างของโลกทัศน์ รวมทั้งการนำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ประการที่เจ็ด ระบบการเมืองเป็นระบบที่มีเสถียรภาพ โดยสามารถผลิตตัวผู้นำทางการเมืองที่มีความสามารถในการบริหาร มีอุดมการณ์ มีความภูมิใจในความเป็นชาติเก่าแก่ และเชื่อมั่นในศักยภาพที่จะใช้เวลาอีกสามทศวรรษพัฒนาประเทศจีนไปสู่อีกระดับหนึ่งของการพัฒนาในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ ตัวแปรทางการเมืองนี้มีความได้เปรียบประเทศที่ขาดความมั่นคงเป็นอย่างมาก
ประการที่แปด จีนมีความชาญฉลาดในการรับเทคโนโลยีเข้ามาปรับประยุกต์ แทนที่จะเป็นการวิจัยและการพัฒนา (R&D - Research and Development) จีนใช้วิธี Copy and Development กล่าวคือ เลียนแบบและพัฒนา โดยการเลียนแบบจะต้องวิจัยว่าจะใช้วิธีเลียนแบบอย่างไร ก็ใช้วิธีการถอดออกมาเป็นชิ้นๆ ซึ่งได้แก่ Research and Copy จนถึงจุดที่จะพัฒนาวิจัยเองและพัฒนาเองได้ (Research and Development) เมื่อใดก็ตามที่จีนถึงจุดนี้ก็จะมีการก้าวข้าม (break through) ในด้านเทคโนโลยี จากนั้นคงไม่มีอะไรหยุดยั้งประเทศจีนได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จีนจะต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นต่อไปมีอยู่ 7 ประการดังต่อไปนี้ คือ
1. จีนต้องสร้างมาตรฐานสินค้า ISO ของตนเอง มิฉะนั้นจีนจะต้องใช้มาตรฐานสินค้าของต่างประเทศ จีนอยู่ในฐานะที่จะสร้างมาตรฐานสินค้าของตนเองให้เป็นที่ยอมรับของทั่วโลกได้
2. การเปิดกว้างไปสู่โลกภายนอกของจีนยังจำกัดเฉพาะกลุ่ม จีนต้องเร่งเรียนภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็วเพราะนั่นคือหน้าต่างไปสู่โลกภายนอก ทั้งในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ในกลุ่มธุรกิจ จนถึงกลุ่มประชาชนทั่วๆ ไป
3. การบริหารบรรษัทใหญ่ๆ ยังขาดมืออาชีพในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ศึกษาจากสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป บริษัทเอกชนของจีนส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก บริษัทข้ามชาติในระดับ โตโยต้า นิสสัน ซีเมนส์ เจนเนอรัล มอเตอร์ ยังมีไม่มากนัก
4. จีนจำเป็นต้องมีศูนย์กลางมหาวิทยาลัยนานาชาติ เพื่อให้ทั่วโลกมาศึกษาและวิจัยที่ประเทศจีน ซึ่งจะสร้างบรรยากาศของความเป็นนานาชาติและความเป็นวิทยาการสากล โดยจีนจะได้ประโยชน์
5. กฎหมายทางแพ่งและพาณิชย์ของจีนรวมทั้งกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อาจต้องมีการปรับปรุงให้เข้ากับระดับสากลมากกว่าที่เป็นอยู่ กระบวนการยุติธรรมทางศาล การวินิจฉัยของผู้พิพากษา ระบบกฎหมายแบบตะวันตกยังอยู่ในขั้นที่ต้องมีการปรับปรุงอย่างขนานใหญ่
6. การปกครองส่วนท้องถิ่นและกระบวนการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะได้เกิดขึ้นแล้วในฮ่องกงและมาเก๊า และมองเห็นชัดที่สุดที่ไต้หวัน จีนจะเฉยเมยต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคตเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และแรงกดดันจากโลกยุคโลกาภิวัตน์ไม่ได้เป็นอันขาด
7. ในฐานะมหาอำนาจในโลกยุคใหม่จีนจะต้องมีภารกิจในการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองในภูมิภาค และสันติภาพในโลกเช่นเดียวกับมหาอำนาจอื่นๆ การกระทำอันใดก็ตามที่ไม่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อประเทศอื่นๆ จะถูกมองด้วยสายตาที่เป็นลบซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเกียรติภูมิของจีนในฐานะมหาอำนาจ ตัวอย่างเช่น การสร้างเขื่อนของจีนที่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำโขง ทำให้ประเทศที่อยู่แม่น้ำโขงตอนล่างประสบปัญหา นอกจากนั้นยังมีผลกระทบต่อนิเวศวิทยาและสัตว์น้ำเช่นปลาบึก
นโปเลียนเคยกล่าวว่า จีนคือยักษ์หลับ เมื่อยักษ์ตื่นโลกจะรู้สึกถึงผลกระทบ บัดนี้ยักษ์ได้ตื่นขึ้นแล้ว ส่วนผลกระทบจะเป็นบวกหรือเป็นลบนั้นขึ้นอยู่กับประเทศต่างๆ ที่สัมพันธ์กับจีน โดยเฉพาะจีนจะต้องร่วมมือกันให้เกิดผลในทางบวกเพื่อเสถียรภาพของภูมิภาค และเพื่อสันติภาพของโลก โดยเฉพาะความไพบูลย์ร่วมกัน
ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน
ราชบัณฑิต
www.dhiravegin.com
e-mail: likhit@dhiravegin.com
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเห็นได้ชัดใน 4 ประการ คือ
1. ในทางเศรษฐกิจ สินค้าจีนกำลังครองตลาดในประเทศต่างๆ ตั้งแต่สมองกล เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า ผลไม้ ของเล่นเด็ก ฯลฯ สินค้าดังกล่าวนั้นจำนวนไม่น้อยเป็นของเลียนแบบ ราคาถูก แต่ก็ทำได้เหมือนของจริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงค่าแรงที่ต่ำกว่ารวมทั้งการผลิตที่มีจำนวนมหาศาลทำให้สามารถขายในราคาต่ำกว่าได้ เศรษฐกิจจีนเป็นเศรษฐกิจที่น่ากลัว เพราะนอกจากอำนาจการผลิตแล้วตลาดภายในยังใหญ่มหึมา ความจริงจีนไม่ใช่หนึ่งประเทศแต่ละมณฑลเท่ากับหนึ่งประเทศ จีนคือ 30 กว่าประเทศรวมกัน
2. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เห็นได้ชัดว่าเมืองเซี้ยงไฮ้ ปักกิ่ง และเมืองใหญ่อื่นๆ เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนจำไม่ได้ ตึกสูงเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น ถนนยกระดับมีอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะเซี้ยงไฮ้มีรถไฟที่วิ่งชั่วโมงละ 400-500 กิโลเมตรโดยไม่แตะรางเพราะใช้ระบบแม่เหล็ก นอกจากนั้นยังมีโรงไฟฟ้าปรมาณู ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวสะท้อนถึงการพัฒนาที่เกิดขึ้นในมณฑลใหญ่ๆ นอกจากนี้ในทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจีนยังก้าวไปถึงขั้นที่ส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปโคจรรอบโลกได้ถึงสองครั้ง
3. การเปลี่ยนแปลงในทางสังคม เห็นได้จากความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน เกิดนักธุรกิจรุ่นใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก รถราเต็มถนน การท่องเที่ยวต่างประเทศมีขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ประชาชนมีเสรีภาพในการจับจ่ายใช้สอยและการดำรงชีวิตอย่างเต็มที่ คนเข้ารับการศึกษามากขึ้น โลกทัศน์ของประชาชนจีนกว้างขวางขึ้นเนื่องจากการติดต่อกับโลกภายนอก การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ คนจีนยุคใหม่เป็นคนที่มิได้จมปรักอยู่กับความเก่าแก่แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่พยายามตามให้ทันโลกด้วย เห็นได้จากในรายการทางช่องโทรทัศน์ การแสดงออกทางดนตรี ภาพยนตร์ ฯลฯ
4. การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ผู้นำที่ปกครองประเทศอยู่ปัจจุบันนี้เป็นผู้นำยุคใหม่ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี โดยเข้าใจถึงปัญหาต่างๆ ภายในประเทศ รวมตลอดทั้งมีความชาญฉลาดในทางโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดต่อระหว่างประเทศ จะเห็นได้ว่าผู้นำจีนเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่นๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป สหรัฐอเมริกา โดยไม่แสดงความเคอะเขินออกมาให้เห็นเพราะได้รับข่าวสารข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวแปรใหญ่ๆ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงสังคมจีนและประเทศจีน สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้จีนฟื้นตัวจากความล้าหลังและการถูกดูถูกเหยียดหยามเป็นเวลาถึงหนึ่งศตวรรษเต็มตั้งแต่แพ้สงครามฝิ่น จนมาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปัจจุบัน อธิบายได้ด้วยตัวแปรต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ
ประการแรก คนจีนไม่มีปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ คนจีนรู้ว่าตัวคือคนจีน มีชนชาติส่วนน้อยอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ในความเป็นจริงไม่มีคำว่าเผ่าจีนในโลกนี้ จีนมาจากการใช้นามของจิ๋นซีฮ่องเต้ ฮั่นก็มาจากราชวงศ์ฮั่น ถังหรือตึ่งนั้งก็คือคนราชวงศ์ถัง ทั้งหมดคือชื่อของจักรพรรดิหรือราชวงศ์ไม่ใช่ชื่อของเผ่าพันธุ์ แต่ความเป็นจีนเกิดจากภาษาเขียน วัฒนธรรมจีน ลัทธิขงจื๊อและเล่าจื๊อ และการควบคุมโดยอยู่ภายใต้การปกครอง มีขุนนางจากการใช้ระบบสอบไล่เพื่อคัดเลือกเข้ารับราชการ คนจีนจึงเกิดจากคนที่มีวัฒนธรรมและนับถือลัทธิปรัชญาสังคมเดียวกันจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ร่วม
ประการที่สอง วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมจีนเป็นวัฒนธรรมที่เก่าแก่ 5,000 ปี เป็นวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับการพยายามมีชีวิตที่ดี มีการเน้นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในครอบครัว เน้นคุณธรรม และเน้นการทำความดี แต่ที่สำคัญก็คือวัฒนธรรมที่มีมาตลอด 5 พันปีนี้ทำให้มีบทเรียนจากประวัติศาสตร์มากมาย ในทุกสถานการณ์คนจีนสามารถหาคำตอบได้จากบทเรียนในอดีตได้เสมอ
ประการที่สาม เนื่องจากวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานตามที่กล่าวมา ทำให้ภูมิปัญญาของจีนนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นนามธรรม นามธรรมคือการสรุปเป็นความคิดรวบยอดจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม กลายเป็นแบบอย่างหรือแบบกระสวนที่จะใช้อธิบายปรากฏการณ์เฉพาะเจาะจงได้ การมีความคิดรวบยอดแบบนามธรรมทำให้จีนสามารถตีความ วิเคราะห์และเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง พร้อมกับหาคำตอบโดยโยงกลับไปสู่บทเรียนจากประวัติศาสตร์ การหาคำตอบด้วยการเปรียบเทียบหรือเทียบเคียง ทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ประชาชนจีนและผู้นำจีนจึงสามารถหาคำตอบให้กับปรากฏการณ์ทางสังคมได้ พร้อมทั้งมีทางออกในทางใดทางหนึ่ง
ประการที่สี่ ประชากร 1,300 ล้านคน ซึ่งมีคุณลักษณะดังกล่าวมาเบื้องต้นกลายเป็นพลังผลิตอย่างมหาศาล เมื่อผสมผสานกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่น่าสะพรึงกลัวในแง่การผลิตทางอุตสาหกรรม เกษตร บริการ ที่สำคัญที่สุด การผลิตดังกล่าวจะมีราคาย่อมเยาเนื่องจากผลิตด้วยจำนวนมหาศาล ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำเนื่องจากมีตลาดภายในที่ใหญ่โตมหึมา เช่น โทรศัพท์มือถือมีจำนวน 200 ล้านเลขหมาย และในกรณีของรถยนต์ขณะนี้ทราบว่ามีประมาณ 40 ล้านคัน ในอนาคตอาจจะมีรถยนต์เป็น 300-400 ล้านคัน นัยที่สำคัญคือจะมีการใช้ยางพาราอย่างมหาศาล ประเทศใดที่ปลูกยางก็จะมีอนาคต นอกจากนั้นจีนต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล และต้องการซื้อเครื่องบินโดยสารภายในประเทศจำนวนมาก ฯลฯ
ประการที่ห้า เนื่องจากการมีพื้นฐานทางนามธรรมและความคิดรวบยอดแบบนามธรรม การศึกษาวิทยาศาสตร์และการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนจึงสามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมีพื้นฐานที่มั่นคง ง่ายต่อการเข้าใจ เมื่อมีการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ ผนวกกับจำนวนประชากรมหาศาล การผลิตทางเศรษฐกิจจึงเกิดขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเมื่อประชาชนมีอำนาจซื้อก็จะมีตลาดภายในที่ระบายสินค้าได้ นำไปสู่ความพลวัตของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตและการบริการ เช่น อาหารการกินและภัตตาคาร เป็นต้น
ประการที่หก วัฒนธรรมจีนเน้นที่การศึกษา จีนมีประเพณีปัญญาการ (intellectual tradition) อันเนื่องมาจากการสอบเพื่อรับราชการ คนส่วนใหญ่จึงให้น้ำหนักต่อการศึกษามาก ซึ่งใกล้เคียงกับคนเชื้อสายยิว การศึกษาย่อมนำไปสู่ข้อมูลความรู้และการเปิดกว้างของโลกทัศน์ รวมทั้งการนำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ประการที่เจ็ด ระบบการเมืองเป็นระบบที่มีเสถียรภาพ โดยสามารถผลิตตัวผู้นำทางการเมืองที่มีความสามารถในการบริหาร มีอุดมการณ์ มีความภูมิใจในความเป็นชาติเก่าแก่ และเชื่อมั่นในศักยภาพที่จะใช้เวลาอีกสามทศวรรษพัฒนาประเทศจีนไปสู่อีกระดับหนึ่งของการพัฒนาในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ ตัวแปรทางการเมืองนี้มีความได้เปรียบประเทศที่ขาดความมั่นคงเป็นอย่างมาก
ประการที่แปด จีนมีความชาญฉลาดในการรับเทคโนโลยีเข้ามาปรับประยุกต์ แทนที่จะเป็นการวิจัยและการพัฒนา (R&D - Research and Development) จีนใช้วิธี Copy and Development กล่าวคือ เลียนแบบและพัฒนา โดยการเลียนแบบจะต้องวิจัยว่าจะใช้วิธีเลียนแบบอย่างไร ก็ใช้วิธีการถอดออกมาเป็นชิ้นๆ ซึ่งได้แก่ Research and Copy จนถึงจุดที่จะพัฒนาวิจัยเองและพัฒนาเองได้ (Research and Development) เมื่อใดก็ตามที่จีนถึงจุดนี้ก็จะมีการก้าวข้าม (break through) ในด้านเทคโนโลยี จากนั้นคงไม่มีอะไรหยุดยั้งประเทศจีนได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จีนจะต้องพัฒนาให้เกิดขึ้นต่อไปมีอยู่ 7 ประการดังต่อไปนี้ คือ
1. จีนต้องสร้างมาตรฐานสินค้า ISO ของตนเอง มิฉะนั้นจีนจะต้องใช้มาตรฐานสินค้าของต่างประเทศ จีนอยู่ในฐานะที่จะสร้างมาตรฐานสินค้าของตนเองให้เป็นที่ยอมรับของทั่วโลกได้
2. การเปิดกว้างไปสู่โลกภายนอกของจีนยังจำกัดเฉพาะกลุ่ม จีนต้องเร่งเรียนภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็วเพราะนั่นคือหน้าต่างไปสู่โลกภายนอก ทั้งในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ในกลุ่มธุรกิจ จนถึงกลุ่มประชาชนทั่วๆ ไป
3. การบริหารบรรษัทใหญ่ๆ ยังขาดมืออาชีพในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ศึกษาจากสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป บริษัทเอกชนของจีนส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก บริษัทข้ามชาติในระดับ โตโยต้า นิสสัน ซีเมนส์ เจนเนอรัล มอเตอร์ ยังมีไม่มากนัก
4. จีนจำเป็นต้องมีศูนย์กลางมหาวิทยาลัยนานาชาติ เพื่อให้ทั่วโลกมาศึกษาและวิจัยที่ประเทศจีน ซึ่งจะสร้างบรรยากาศของความเป็นนานาชาติและความเป็นวิทยาการสากล โดยจีนจะได้ประโยชน์
5. กฎหมายทางแพ่งและพาณิชย์ของจีนรวมทั้งกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อาจต้องมีการปรับปรุงให้เข้ากับระดับสากลมากกว่าที่เป็นอยู่ กระบวนการยุติธรรมทางศาล การวินิจฉัยของผู้พิพากษา ระบบกฎหมายแบบตะวันตกยังอยู่ในขั้นที่ต้องมีการปรับปรุงอย่างขนานใหญ่
6. การปกครองส่วนท้องถิ่นและกระบวนการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะได้เกิดขึ้นแล้วในฮ่องกงและมาเก๊า และมองเห็นชัดที่สุดที่ไต้หวัน จีนจะเฉยเมยต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคตเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และแรงกดดันจากโลกยุคโลกาภิวัตน์ไม่ได้เป็นอันขาด
7. ในฐานะมหาอำนาจในโลกยุคใหม่จีนจะต้องมีภารกิจในการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองในภูมิภาค และสันติภาพในโลกเช่นเดียวกับมหาอำนาจอื่นๆ การกระทำอันใดก็ตามที่ไม่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อประเทศอื่นๆ จะถูกมองด้วยสายตาที่เป็นลบซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเกียรติภูมิของจีนในฐานะมหาอำนาจ ตัวอย่างเช่น การสร้างเขื่อนของจีนที่ส่งผลกระทบต่อแม่น้ำโขง ทำให้ประเทศที่อยู่แม่น้ำโขงตอนล่างประสบปัญหา นอกจากนั้นยังมีผลกระทบต่อนิเวศวิทยาและสัตว์น้ำเช่นปลาบึก
นโปเลียนเคยกล่าวว่า จีนคือยักษ์หลับ เมื่อยักษ์ตื่นโลกจะรู้สึกถึงผลกระทบ บัดนี้ยักษ์ได้ตื่นขึ้นแล้ว ส่วนผลกระทบจะเป็นบวกหรือเป็นลบนั้นขึ้นอยู่กับประเทศต่างๆ ที่สัมพันธ์กับจีน โดยเฉพาะจีนจะต้องร่วมมือกันให้เกิดผลในทางบวกเพื่อเสถียรภาพของภูมิภาค และเพื่อสันติภาพของโลก โดยเฉพาะความไพบูลย์ร่วมกัน
ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน
ราชบัณฑิต
www.dhiravegin.com
e-mail: likhit@dhiravegin.com