xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิวัติประชาธิปไตย..ก่อนชาติล่มสลาย

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจ ผมแค่ขอยืมหัวข้อบทความนี้มาจากหนังสือของขวัญปีใหม่เล่มหนึ่ง ผู้เขียนชื่อศาสตราจารย์ พันเอกชวติ พิสุทธิพันธุ์ ศิษย์เก่านายร้อยจปร. และธรรมศาสตร์ตอนที่ถูกปลดการเมืองออกแล้ว เขาเป็นมหาบัณฑิตทางการทูต ได้รางวัลศ.ดิเรก ชัยนาม

ไม่ต้องสงสัยในความรักชาติและความร้อนวิชา จนกระทั่งยศหยุดอยู่แค่พันเอกในดินแดนที่นายพลโหลเดินชนกัน แต่ทหารกี่คนได้เป็นศาสตราจารย์
พันเอกชวัติ พิสุทธิพันธุ์ เหล่าปืนใหญ่ เป็นต้นตำรับทหารประชาธิปไตยขนานแท้ เริ่มเมื่อเขามียศพันเอกเท่ากับลูกศิษย์คือพันเอกชวลิต ยงใจยุทธ ทั้งคู่เป็นก้นกุฏิของประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อักษรศาสตร์บัณฑิต อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากสุราษฎร์ธานี ผู้ตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อเอาใจโซเวียตมิให้วีโต้ไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ

ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร หรือ อาจารย์เสริฐ คือเจ้าทฤษฎีพรรคสหประชาไทย ของจอมพลถนอม กิตติขจร อาจารย์เสริฐมีลูกศิษย์ลูกหาเต็มกองทัพไล่ลงมาแต่พลเอกแสวง เสนาณรงค์ เลขาจอมพลถนอม ถึงนายทหารเล็กๆยศพันตรีพันโท

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยซึ่งเป็นพรรคนิยมจีนอยู่คนละขั้ว คนละพรรคกับอาจารย์เสริฐ และไม่พิสมัยอาจารย์เสริฐเลย เพราะอาจารย์เสริฐเป็นเจ้าตำรับใช้ประชาธิปไตยปราบคอมมิวนิสต์ คณะทหารประชาธิปไตยพากันเชื่ออาจารย์เสริฐว่าเผด็จการไม่มีทางชนะคอมมิวนิสต์ได้ จึงพากันต่อต้านเผด็จการในกองทัพและรัฐบาล

ผมขอสรรเสริญความพากเพียรและกล้าหาญชาญชัยของผู้เขียนอย่างจริงใจ หวังว่าท่านคงจะไม่โกรธที่ผมไม่เห็นด้วยกับชื่อครึ่งหลัง เพราะผมไม่เชื่อทฤษฎีสิ้นชาติของไทย ผมไม่เชื่อว่าชาติไทยจะล่มสลาย ยกเว้นอุกาบาตยักษ์มาชน

ทั้งนี้ เพราะไทยใหญ่เป็นลำดับที่ 16 ของโลก มีอายุเหยียบพันปี ยังไงๆประชา ชาติกว่า 60 ล้านคนก็จะต้องอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างคนกี่ส่วน และอยู่เหมือนกับไม่ใช่คนกี่ส่วน แต่ที่แน่ๆ ส่วนที่ฝืดเคืองเดือดร้อนคงจะเป็นคนส่วนใหญ่ บ้านเมืองอาจอยู่ไม่สุขลุกเป็นไฟ มีแต่ทุรยุคขุกเข็ญแร้นแค้น เกลียดขึ้งหึงสาฆ่าฟันแย่งชิงกันบัลลัย อาจเร็วกว่าที่คิดเสียด้วย ถ้าเจอรัฐบาลซูเปอร์ชั่วเป็นตัวเร่ง

นอกนั้น ผมอ่านแล้วเห็นด้วยเกือบทุกอย่าง อยากให้คนอื่นได้มีโอกาสอ่านบ้าง แต่หนังสือเล่มนี้ไม่มีวางจำหน่าย ดีแต่คอลัมน์ปลายนิ้ว”นายกำแหง”แห่งเดลีนิวส์ แนะหนังสือน่าอ่าน เขียนว่า “หากต้องการให้กำลังใจผู้เขียน ติดต่อได้ที่ โทร 0-1279-3661 โทรสาร 0-2513-8038 หรือจดหมายไปที่ 548 ถนนพหลโยธิน 30 แขวงจันทร์เกษม เขตจตุขักร กท. 10900”

หันกลับมาที่ชื่อครึ่งต้นของหนังสือ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ผมล้อในใจหยาบๆว่า ก็สันดานทหารนี่ เอะอะก็จะปฏิวัติลูกเดียว

แต่การปฏิวัติของพันเอกชวัติไม่เหมือนกับการปฏิวัติของทหารทั่วไปหรอก ปฏิวัติของทหารทั่วไปเป็นสิ่งที่ท่านต่อต้าน เพราะ ถือว่าเป็นการคุมกำเนิดหรือทำแท้งมิให้ประชาธิป ไตยได้ผุดเกิด ประชาธิปไตยเมืองไทยมิได้ถูกทำลาย เพราะประชาธิปไตยยังไม่เกิด ข้อนี้ผมคิดเหมือนท่าน เมืองไทยมีแต่การเพาะและแพร่เชื้อเผด็จการอยู่ตลอดกาลอันยาวนานหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ไม่ว่าจะเป็นในรัฐบาล ในระบบราชการ ในระบบการศึกษา หรือชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ความรู้เรื่องประชาธิปไตยที่เผยแพร่กันก็เป็นความรู้ผิดๆ เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เกิดประชาธิปไตยก็ต้องทำลายเผด็จการเสียก่อน ขุดรากถอนโคนทีเดียว แล้วพัฒนาประชาธิปไตยทั้งระบบ นี่ล่ะครับ คือความหมายของคำว่าปฏิวัติของท่าน

ขอนอกเรื่องไปหาการปฏิวัติของทหารธรรมดาเสียก่อน เร็วๆนี้มีข่าวเกรียวกราวว่ามีทหารไปชวนนักวิชาการปฏิวัติ เป็นอาจารย์ชั้นแนวหน้าของธรรมศาสตร์ ชื่อดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ ผมรู้จักอาจารย์กิตติศักดิ์ตั้งแต่ครั้งเรียนอยู่ในเยอรมัน จนจบปริญญาเอกทางกฎหมายแพ่งด้วยเกียรตินิยมสูงสุด อาจารย์กิตติศักดิ์เป็นอาจารย์แท้ๆที่สนใจการเมืองแต่ไม่วิ่งเข้าหานักการเมือง จึงไม่ต้องแปลกใจว่ามีทหารที่เคารพนับถือในศักดิ์ศรีสติปัญญาของอาจารย์กิตติศักดิ์ เมื่ออาจารย์เปิดเผยข่าวนี้ บรรดาลิ่วล้อของรัฐบาลถึงกะ เรียกร้องให้ตำรวจจับอาจารย์มาดำเนินคดี ฐานรู้ว่าจะมีคนจะใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลแล้วไม่มาแจ้ง

ผมเองก็กลัว เพราะผมก็ถูกทหารมาปรึกษาเรื่องปฏิวัติเหมือนกัน ทั้งที่ใครๆก็รู้ว่าผมแอนตี้การปฏิวัติรัฐประหาร ปีที่แล้ว 2 นายพลโทนอกราชการ มาเยี่ยมกินข้าวด้วย หนึ่งเคยเป็นไข่แดงของการยึดอำนาจ อีกหนึ่งเป็นทหารประชาธิปไตย ทั้งคู่ยืนยันว่า กองทัพยังมีขีดความสามารถที่จะยึดอำนาจล้มรัฐบาลได้สบายๆ แต่ติดปัญหา 2 เรื่องให้ผมช่วยคิดด้วย นั่นก็คือ จะทำอย่างไรกับเสียงตั้งกว่า 19 ล้าน และในหลวงจะโปรดว่าอย่างไร ผมตอบว่า ไม่ทราบ และอย่าเลย

ที่ผมเล่าเรื่องของตัวเองและดร.กิตติศักดิ์ให้ฟังนี้ ก็เพื่อจะส่งสัญญาณว่า ทหารเริ่มจะเป็นห่วงบ้านเมือง และเห็นว่ารัฐบาลของนายกฯทักษิณชักจะไปไม่หยุดฉุดไม่อยู่เสียแล้ว ถ้าปล่อยไว้นานก็จะยิ่งเสียหายกับบ้านเมือง จะจัดการกับรัฐบาลด้วยวิธีอย่างอื่นเห็นจะไม่มีทาง นอกจากใช้กำลัง

กลับมาที่หนังสือ ผมทึ่งมากหลายๆเรื่อง จะขอยกเพียง 3 ตัวอย่างสั้นๆ 1. เริ่มจากปกหลังหัวข้อของบทที่ 10 สภาวะอนาธิปไตย 4 จังหวัดภาคใต้ เป็น“ผลิตผลของระบบเผด็จการ” และขบวนการแก้ก็ยังเป็นแบบเผด็จการ ไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง และไม่รู้จักพัฒนา ผู้เขียนสรุปว่า “การสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหา กษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐปรากฏเป็นจริงเมื่อใด เมื่อนั้นก็ยังความสงบสุขร่มเย็นไปทั้งแผ่นดินของราชอาณาจักร เป็นการแก้ไขแบบเบ็ดเสร็จไปทั้งแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองโดยแท้ “ ท่านให้เหตุผลว่า “เหตุจากระบอบประชาธิปไตยเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของทุกศาสนา” พันเอกชวัติเป็นพุทธ แต่แวดล้อมด้วยหมู่มุสลิม เพราะเกิดและเติบโตในปัตตานี

2. หัวข้อของบทที่ 1 ชื่อ “เหตุปัจจัย 19 ข้อทำให้เกิด “มหันตภัยมืด” ในราชอาณาจักรไทย” ผู้เขียนได้บรรยายเหตุปัจจัยทั้งหมดที่ทำให้เกิดความระทมทุกข์ คือการกดขี่ข่มเหง ใช้อิทธิพลทำมาหากิน ทำลายศีลธรรมและความยุติธรรมทั้งสิ้นในสังคม ซึ่งสาเหตุพื้นฐานของมหันตภัยมืดคือระบอบเผด็จการหลายรูปแบบคู่กับสภาวะอนาธิปไตย ตัวการสำคัญคือโจรในเครื่องแบบโครงข่าย “มาเฟีย” รวมพล “สีเขียว-เทา-กากี” คุมธุรกิจมืด นอกจากนั้นคือพ่อค้ายุคดิจิตอลที่เข้ามาครอบการเมืองแบบทักษิณ ผู้มี”สัญชาติญาณอำนาจนิยม” “อาศัยผลลัพธ์สร้างความชอบธรรมให้กับวิธีการ: The end justifies the mean….ผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติด 2,500 คนถูกสังหารนอกกระบวนยุติ ธรรม” รวมทั้งมาตรการประชานิยมซึ่งยังผลให้กวาดโภคทรัพย์ของแผ่นดินทั้งหลายรวมทั้งหยาดเหงื่อของคนจนเข้ากระเป๋าตนเองละญาติมิตรบริวาร เป็นการดูดอย่างเลือดเย็นโดยเหยื่อไม่รู้ตัว

3. ผู้เขียนได้วิจารณ์ระบอบการปกครองของไทยจนกระทั่งถึงปัจจุบันว่าเกิดจาก”การปฏิวัติครึ่งเดียว” ซึ่งตามความคิดของกุสตาฟ เลอบองเห็นว่า”เป็นการฝังศพตัวเอง” และหลวงวิจิตรวาทการซ้ำให้ว่าเป็นการ “ฝังศพชาติทั้งชาติ ฝังศพประเทศทั้งประเทศ” การแก้ปัญหาของชาติโดยทักษิณก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆ ซ้ำจะร้ายยิ่งกว่า เพราะ“การแก้ปัญหาพื้นฐานของชาติ ถ้าไม่ถูกทางก็พาชาติล่มจม ถ้าถูกทางก็พาชาติ ไปสู่การพัฒนา พัฒนาการเมืองทั้งระบบพร้อมกัน เรียกตามภาษาสากลว่า “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ประเทศไทยเป็นประเทศตกยุค การโกหกหลอกลวงประชาชนว่าประเทศปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องผิดธรรมชาติอย่างร้ายแรงส่งผลให้ประชาชนทั้งประเทศยากจนเกิดความทุกข์ของแผ่นดินมานาน คนไทยชอบทำอะไรง่ายๆ สร้างสังคมด้วยโปสเตอร์ขนาดใหญ่ทั่วประเทศสิ้นงบประมาณไปหลายพันล้าน จนเป็นธรรมเนียมให้คนรุ่นหลังเอาอย่าง เพียงแต่เขียนหรือคำพูดเกิดผลทางการเมืองโดยไม่ลงมือกระทำและปฏิบัติ เป็นไปได้อย่างไร เป็นเรื่องตลกระดับโลก คนไทยไม่รู้ตัวว่าได้สร้างความอับอายไปทั่วโลกมานานแล้ว จนสุดท้ายของวันนี้ทั่วโลกต่างประณามไทยว่า ไทยไม่เคารพสิทธิมนุษยชนและไม่เป็นประชาธิปไตย”และอีกตอนหนึ่ง “จนทุกวันนี้ประชาชนทั้งแผ่นดินตกเป็นทาสของผู้ปกครองฯลฯ ร้ายแรงยิ่งกว่าความเป็นทาสสมัยพระพุทธเจ้าหลวงฯลฯการเป็นทาสปัจจุบันนอกจากเป็นทาสถาวรแล้ว รัฐบาลยังนำพาประชาชนให้หลงใหลในอบายมุขเพื่อไปสู่อบายภูมิในชาติหน้าต่อไปอีกด้วย”

ผมบอกผู้เขียนว่า ดีนะนี่ที่ทหารแท้ๆเป็นผู้เขียน และเป็นทหารที่เป็นธรรมยอมรับว่า กองทัพด้อยพัฒนา ทำให้บ้านเมืองด้อยพัฒนา เพราะคนจากเหล่าทัพที่งมงายขาดความรู้มาเป็นผู้ปกครอง บ้านเมืองจึงตกต่ำ พันเอกชวัติเป็นที่ปรึกษาการเมืองอย่างเป็นทางราชการของผู้บัญชาการทหารบกตั้งแต่พลเอกบุญชัยลงมา ท่านสรุปว่าแม้ผบ.ทบ. ก็ไม่รู้หน้าที่บทบาทและความผิดชอบของตนเองต่อกองทัพและชาติ ด้วยเหตุนี้กระมัง ความสัมพันธ์ระหว่างพันเอกชวัติกับพล เอกชวลิตจึงได้จืดจางลง

แต่ก็ยังไม่ร้ายเท่าสมัยที่เขาเป็นที่ปรึกษาจอมพลถนอมและพลเอกแสวง สมัยนั้นพันเอกชวัติถูกข้อหา”กบฏน้ำลาย”ถูกจับคุมขังอยู่ร้อยวัน แต่หัวหน้ากบฏคือพลอากาศโทนักรบ บินษรี ถูกจำคุก 12 ปี ทั้งคู่ไม่รู้จักและไม่เคยพูดกันเลย

พันเอกชวัติจบนายร้อยเทคนิค รุ่นเดียวกับพลเอกหาญ ลีนานนท์ ก่อนพลเอกอาทิตย์ 1 ปี พลเอกชวลิตเป็นศิษย์รุ่นแรกของอาจารย์ชวัติ ผมถามว่าทำไมเขาจึงได้ยศแค่พันเอก คำตอบกลั้วหัวเราะคือ “เขาว่าผมชอบพูดการเมืองเกินไป”

ในชีวิตส่วนตัวพันเอกชวัติเป็นนักรัก เป็นนักฝันโรแมนติก ข้อเขียนของเขาแสดงออกซึ่งความสัตย์ซื่อบริสุทธิ ฝันหาการเมืองที่ขาวสะอาด ประหนึ่งว่าเขาไม่รู้ว่าการเมืองคืออะไร เขาเป็นแม่น้ำคนละสายกับสนธิอย่างชัดๆ ถ้าบ้านเมืองไม่อาเพศ คงไม่มีเหตุได้พบกัน

Old soldiers never die, they just fade away คือคำกล่าวขานว่า ทหารเก่าไม่มีวันตาย เขาเพียงแต่หายหน้าหลบไปเงียบๆเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่พันเอกชวัติ ผู้ประกาศ”เจตนารมณ์อันสูงสุด” และ”เหตุผลคำขอขมา” บอกว่ามิได้มุ่งร้ายบุคคลใด ไม่ประสงค์อะไรอีกเพราะอายุ 82 ปีแล้ว แต่จะนอนตายตาไม่หลับถ้าไม่เห็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสถาปนาขึ้นอย่างสมบูรณ์ ผู้เขียนไม่อาจเสวยสุขเพราะมวลมหาชนยังเป็นทุกข์ จะต้องคอยวันที่ “สุขเพราะผ่านฟ้าสุข สมบูรณ์” นั่นก็คือ การคืนพระราชอำนาจตามระบอบประชาธิปไตย

ไม่พบกันกว่าสิบปี พันเอกชวัติยังหนุ่มเหมือนเดิม ผมขอยกนิ้ว และมอบของขวัญปีใหม่แด่พันเอกชวัติ พิสุทธิพันธุ์ ทหารของแผ่นดิน และคนอื่นๆในแม่น้ำทุกสายทีไหลมาบรรจบกัน ดังนี้

“ขอปากกา น้องพี่ มีอำนาจ ด้วยรักชาติ สัตย์จริง สุดนิ่งใบ้
เหล่ากระสือ ที่ซื้อขาย ทำลายไทย จงแพ้ภัย ปากกา เพื่อนข้าเทอญ “
กำลังโหลดความคิดเห็น