tavanron@yahoo.com
"ในบรรดาจอมเผด็จการในวงการเมืองของไทยที่ผ่านมานี้ ไม่มีเผด็จการคนไหนร้ายกาจเท่าจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เพียงแต่จะเอาแต่ใจตัวเองในเรื่องการเมืองเท่านั้น แม้แต่การขัดใจเรื่องส่วนตัวก็ทำไม่ได้"
อาจารย์เทพ สาริกบุตร โหรประจำตัวจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เล่าให้ผมฟังถึงนิสัยเผด็จการของเจ้านายของเขาที่ครั้งหนึ่งเขาถูกสั่งให้หาฤกษ์แต่งงานระหว่างเขากับคุณหญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ให้ด่วนที่สุดในระยะนั้น
อาจารย์เทพ สาริกบุตร ซึ่งเป็นโหรเชื้อสายนักโหราศาสตร์มาทั้งตระกูลข้างพ่อ และข้างแม่ที่พึ่งพากันมานานบอกว่า "รอไปก่อนเถอะท่าน วันสองวันนี้ไม่มีฤกษ์" "ฮึ!" จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พยักหน้าหงึกว่า "มึงไม่มีฤกษ์ แต่กูมี กูจะหาของกูเอง"
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หาเองอย่างที่พูด แต่เมื่อเตรียมงานเรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏว่าท่านต้องเลิกล้มวันแต่งงานที่ท่านต้องการที่ว่านี้ช้าไปอีกหลายวันหรือเป็นแรมเดือนเพราะปรากฏว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายในบ้านเมืองขึ้นมา ข่าวรายงานว่าจะมีผู้ทำการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล ต้องดูแลความพร้อมและเตรียมพร้อมไม่ใช่การแต่งงาน
ท่านเป็นยอดเผด็จการที่ร้ายแรงที่สุดคนหนึ่ง และคนเดียวในเมืองไทยในยุคของท่าน
ท่านสั่งห้ามกินฝิ่น สูบกัญชา และห้ามวางเพลิงวันตรุษจีนซึ่งมีคนขัดขวาง ท่านก็สั่งให้ลากมายิงทิ้งต่อหน้าเสียที่สนามหลวง
ไม่แคร์ใครทั้งนั้น
ในวงการหนังสือพิมพ์ก็ไม่มีอะไรสวยสดงดงามไปกว่านี้ เพราะนอกจากหนังสือ
พิมพ์ของท่านเองแล้วก็มีหนังสือพิมพ์นอกสังกัดของท่าน และนักเขียนนอกสังกัดอีกหลายคนที่พยายามก่อการร้าย และทำการกบฏด้วยวาจาเป็นประจำ ในบรรดาหนังสือพิมพ์กบฏเหล่านั้นน่าจะมีผมอยู่ด้วยคนหนึ่งซึ่งจะเขียนด่าเป็นประจำไป แต่ผมไม่ได้เขียนเป็นบทความธรรมดา ผมเขียนเป็นโคลงสี่สุภาพเป็นชุดในชื่อว่า "เพลงยาวยอเกียรติแผ่นดินไทย-มหากาพย์แห่งทุรยุค" ซึ่งอาจจะมีทั้งโคลงฉันท์ กาพย์กลอนลงไปพิมพ์เป็นรายวันไป เช่น โคลงสี่สุภาพชิ้นหนึ่งเขียนว่า
"อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
สิงหาสน์รัตนปรางบรร- เจิดจ้า
กรุงธนฯ กรุงเทพฯ ทัน - เสถียรสถิต
เจริญเมลืองรมย์โรจน์ล้ำ- เลิศล้น เลอสวรรค์-
โรงจำนำรับจำนองขนัดแน่น- หนักนคร นี้เฮย
คนยากคนจนเจียดใจจร- เจ็บช้ำ
จำนองจำนำครกสากสลอน- เสียดอก
อดอยากปากท้องช้ำ- แทรกเสี้ยวเศษสวรรค์
ลูกหลานบ้านแตกสิ้น- กระเซิงกระเซอะ
บากหน้าบากตาเบอะ- บิ่นบ้า
หาการหางานเขรอะ- ขอดไส้
เป็นตายหมายดาบหน้า- ดาบนั้นรอคอย
ลูกสาวลูกแส้สร้อย- สวาทสาย ใจเฮย
เป็นแสนเป็นล้านราย- หลีกเร้น
เข้ากรุงมุ่งเพียงขาย- กามกิจ กินอยู่
แทนไร่แทนนานเน้น- เนื้อน้องนาเดิม
เมื่อโคลงชุดนี้ถูกตีพิมพ์ลงไปในหน้าที่ผมเขียนประจำในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง คนข่าวการเมืองซึ่งเป็นเพื่อนรักของผมคือคุณสว่าง ลานเหลือก็เอาข่าวจากบ้านจอมพลสฤษดิ์มาบอกผม เขาว่า "ท่านจะปิดหนังสือพิมพ์ของมึงวันสองวันนี้แหละ โกรธฉิบหาย"
"เฮ้ย กูไม่ได้ว่าอะไรนี่....ท่านว่ายังไง?"
"ปิด....ด่าฝากกูมาอีกแล้ว!"
"มึงไปจัดการให้กูก็แล้วกัน" ผมไม่รู้จะว่ายังไง
ผมบอกสว่าง ลานเหลือไปเท่านั้น ซึ่งผมก็รู้ดีว่าเขาจะไปจัดการอย่างไร เพียงแต่ผมบอกว่าผมจะไม่เขียนอีก เพราะเรารู้กันทุกคนว่าจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์นั้นเป็นที่รู้กันภายนอกทั่วไปว่าท่านเป็นยอดเผด็จการที่โหดร้ายที่สุดคนหนึ่งของชาติไทย แต่เป็นคนที่พูดกันง่ายและรู้เรื่องง่าย และที่สำคัญท่านรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก หรือใครผิดใครถูกระหว่างท่านกับโลกภายนอก ท่านเป็นลูกผู้ชายที่หน้าด้านน้อยที่สุดที่ผมเคยเห็น
สำหรับบทโคลงที่ผมเขียนก็เพราะบรรยากาศบ้านเมืองในสมัยนั้น มันไม่ได้ดีไปกว่านี้ทุกอย่างมันสกปรกเลอะเทอะ ความอยุติธรรมก็หนัก การคอร์รัปชันเท่าที่เรารู้กันก็ไม่ใช่ธรรมดา ความทุจริตคิดมิชอบในบ้านเมืองมีมาก มันน่าสับโขกไปเสียทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนอย่างผมและพรรคพวกบางคนจึงไม่ค่อยวางเฉย แต่สำหรับผมที่เขียนออกมาเป็นโคลงกลอนแบบนั้น เป็นเพราะความประมาทอย่างมากของผม ผมบอกสว่าง ลานเหลือไปว่าที่ผมเขียนไปอย่างนั้นโดยใช้บทกลอนแบบนั้น ผมนึกว่าท่านหรือนักการเมืองไม่มีปัญญาจะเข้าใจได้
ผมนึกว่าจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น เป็นเพียงทหารที่รู้เรื่องทางทหารคนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่รู้เรื่องโคลงฉันท์กาพย์กลอนที่พอจะเข้าใจความมุ่งหมายที่ผมเขียนได้ ผมจึงเขียนต่อมาเรื่อยๆ ตอนหลังผมมารู้ว่าท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะเก่งหรือไม่เก่งก็ตามไม่สำคัญ แต่ผมลืมไปอย่างหนึ่งคือจากสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะมีเจ้าหน้าที่ในแผนกเก็บข้อความนี้เสนอไว้ที่โต๊ะทำงานจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทุกชิ้น
แต่ที่เรื่องมันจบลงไปง่ายๆ ไม่อึกทึกครึกโครมเหมือนนักการเมืองไทยยุคนี้เพราะมันเป็นเรื่องกระจอกๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์นั้น เป็นคนประเภทที่เรียกว่า "ใจถึงคนหนึ่ง" หรือเป็นคนที่ชอบนำเอาความเป็นลูกผู้ชายแท้ๆ ของตัวเองติดตัวไปด้วยไม่ว่าจะไปไหน
"ทุกอย่างมันต้องพูดกันที่แน่ที่สุดก็คือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านจะชั่วอย่างไรเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ที่จะยอมทำสิ่งชั่วๆ ให้มันออกไปสู่สาธารณะนั้นท่านไม่ทำ ในชีวิตที่ท่านพูดคำหยาบกับนักการเมืองหรือประชาชนที่นี่มีข้อขัดแย้งกับท่าน จะใช้คำรุนแรงอย่างมากก็ตรงที่ใช้คำว่า "ลื๊อกับอั๊ว" เท่านั้น คำว่า "เห่าหรือแม่มึงหรืออ้ายอี" ท่านไม่เคยใช้ เห่าหรือกัดท่านก็ไม่เคยใช้ และท่านไม่เคยหน้าด้านที่จะยืนยันว่าการกระทำของท่านทุกอย่างถูกต้องหมดเพราะเป็นเจ้าของประเทศแต่ผู้เดียว"
สมัยนั้น นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งตั้งฉายาให้ท่าน และเรียกท่านว่า "อ้ายม้ามแตก"
จนกระทั่งท่านตายเพราะม้ามแตกหรือเพราะอาการประเภทนั้นไปจริงๆ ท่านไม่เคยตะโกนคำสถุลใดๆ กับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นหรือโต้ตอบกับหนังสือพิมพ์ที่ทำกันเหมือนในสมัยนี้
ข้อเขียนของผมชิ้นนี้ผมจึงอยากจะเขียนยันลงไปโดยไม่ยอมกลับสัจวาจาใดๆ ที่ว่านักการเมืองทุกวันนี้กำลังอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมที่สุด นอกจากพฤติกรรมและความสามารถเลวๆ ในการปกครองบ้านเมืองแล้ว แม้แต่นิสัยสันดานส่วนตัวที่แสดงถึงความรู้สึกชั่วดีก็ไม่มีเอาด้วย
จะมองเห็นคนอื่นและการกระทำของคนอื่นไม่ถูกต้อง และเลวร้ายไปหมด
เห็นผู้คนอื่นๆ ในคณะนายกรัฐมนตรีหรือคนที่ไม่เป็นรัฐมนตรีชั่วไปหมด ยกเว้นแต่เพียงสุนัขไม่กี่ตัวที่จูงจมูกไว้กัดไว้เห่าเพื่อแสดงอภินิหารให้เป็นที่หวั่นเกรงแก่หมาอื่นๆ เท่านั้น
คงไม่มีความเป็นจริงอะไรอื่นนอกจากเราคนไทยทุกคนจะต้องยอมรับว่าการเมืองของเราเลวลง และนักการเมืองของเราก็เลวลงอย่างถึงที่สุดไปแล้ว
หรือนักการเมืองของเราไม่อยู่ในสภาพที่จะหวังพึ่งได้หรือเป็นที่เคารพนับถือ และเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนต่อไปอีก!!!
มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ดูเหมือนเราจะไม่ยอมโทษการเมือง และนักการเมืองเลวๆ ของเราที่พากันมาปล้นกินขโมยกินบ้านเมืองของเราด้วยวิธีการของโจรสลัดทุกๆ ประเภท แต่เรามานั่งโทษกันอย่างจริงจังในเรื่องดวงดาวจากปฏิทินโหราศาสตร์ ที่บอกกล่าวว่าที่บ้านเมืองเป็นเช่นนี้เพราะดวงดาวในดวงชะตาผู้นำโคจรวิปริต
แต่เราไม่โทษกันว่านักการเมืองของเราเป็นนักการเมืองที่วิปริตทรยศหรือพูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ เรามีแต่นักการเมืองชั่วชาติเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
"ทักษิณรูดซิป รับมือดาวพุธ โหรแนะให้หยุดพูดยาวจนกว่าถึงวันที่ 7 ธันวา เป็นการปรับดวง" พาดหัวหนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าเห็นใจนักการเมืองไทยเพราะการกระทำของดวงดาวต่อไปว่า "พ.ต.ท.ทักษิณยังปิดปากงดสัมภาษณ์อ้างว่าดาวพุธถอยหลัง โหรบุญเลิศชี้ว่ามีดาวราหูสองดวงซ้อนทับดวงนายกฯ ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่อยู่แล้วทรุดหนักยิ่งขึ้น แถมดาวพุธเดินวิปริต พูดอะไรออกไปก็เข้าใจผิด" (ไทยรัฐ 18 พฤศจิกายน 2548)
ต่อมาอีกเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2549 ก็โหรอีกนั่นแหละที่อ้างดวงดาวบนท้องฟ้าขึ้นมาอีกว่า "4 โหรทำนายปีจออันตราย-อุบัติภัยจ่อคิวถล่มดวงผู้นำ ระวังปาก" โดยการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" หน้า 1 โดยให้รายละเอียดต่อไปว่า "4 โหราจารย์ชั้นนำของเมืองไทยทำนายทายทักดวงเมืองไทยปี 2549 ซินแสชื่อดัง" ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล กับโหรดังๆ อีก 3 ท่านก็กล่าวถึงความร้ายแรงของดวงเมืองอีกทำนองเดียวกัน โดยไม่ได้เน้นความผิดพลาด ความเลวร้าย ความไม่เอาไหนของนักการเมืองไทย และระบบการเมืองของไทยซึ่งมีความขัดแย้งกันทุกจุดทุกพวก เพราะต่างคนต่างแย่งอำนาจ และการเมืองทำมาหากินกัน
สาเหตุของการเห่าและกัดของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลที่ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นประวัติการณ์เท่าที่ผ่านมาไม่กี่ครั้งนี้ ไม่ว่าใครที่เติบโตมาเป็นคนไทยจะต้องยอมรับว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ประการแรกประการเดียวที่พูดได้เต็มปากที่สุดก็คือ (1) การตื่นตัวของประชาชนทั้งในประเทศ และนอกประเทศที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกันและพร้อมที่จะเป็นผู้รับฟังความคิดเห็นของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล โดยไม่มีการนัดหมาย (2) แตกต่างจาก 14 ตุลาคมที่เคยเปลี่ยนแปลง และการรวมตัวของประชาชนครั้งนี้เท่าที่ปรากฏไม่จะมีคนหนุ่มคนสาวหรือวัยรุ่นมากนัก แต่จะเป็นคนมีอายุหรือพ่อบ้านแม่เรือนหรือคนไทยที่กำลังรอการแก้ปัญหาอยู่ทั่วประเทศหรือเรียกว่าผู้ใหญ่ทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าหมาอีกฝ่ายหนึ่งพอได้ยินหมาหอนแล้วก็ออกมาเห่าตอบโต้นั้น น่าจะไปไม่รอด
นั่นเป็นความคาดหมายหรือจากประสบการณ์ของผม
ใครก็ไม่ต้องโต้แย้งหรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ผมไม่สนใจเพราะผมคิดของผมเอง จะเอาเป็นเอาตายยังไงกับผม ผมก็ไม่แคร์ จะเกิดอะไรก็ให้มันเกิด
และเรื่องที่คุณสนธินำมาพูดและเสนอต่อผู้ฟังทั่วโลกนั้น เป็นเรื่องของบ้านเมืองที่ใครๆ ที่เป็นคนไทยไม่สามารถจะคัดค้านได้นอกจากสัตว์เดียรัจฉานเท่านั้นที่จะทำได้เช่น
(1) การกระทำที่มีลักษณะเป็นการละเมิด และท้าทายพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่การไปทำพิธีแสดงตัวเป็นกษัตริย์ในโบสถ์วัดพระแก้วที่ไม่บังควรทำ ไม่ว่าจะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตหรือไม่ก็ตาม เป็นหน้าที่ของไพร่ฟ้าประชาชนจะต้องให้ความเคารพและเทิดทูน
(2) การบริหารและการปกครองบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชันที่ใหญ่หลวง และเลวทรามที่สุดตั้งแต่การสร้างระบบครอบครัวโคตรเหง้าบริวารขึ้นมาแสวงหาประโยชน์ (Neoptism) อย่างไม่มีคนไทยคนไหนหรือกลุ่มใดบังอาจจะกระทำการที่ว่านี้มาก่อน!!
(3) การนำรัฐวิสาหกิจและทรัพย์สินของชาติและประชาชนที่มีค่ามากกว่า 8 ล้านล้านบาทไปขายให้ต่างชาติ และเรื่องในหัวข้อที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลนำมาพูดถึงทั้งหมด!!
"ในบรรดาจอมเผด็จการในวงการเมืองของไทยที่ผ่านมานี้ ไม่มีเผด็จการคนไหนร้ายกาจเท่าจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไม่เพียงแต่จะเอาแต่ใจตัวเองในเรื่องการเมืองเท่านั้น แม้แต่การขัดใจเรื่องส่วนตัวก็ทำไม่ได้"
อาจารย์เทพ สาริกบุตร โหรประจำตัวจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เล่าให้ผมฟังถึงนิสัยเผด็จการของเจ้านายของเขาที่ครั้งหนึ่งเขาถูกสั่งให้หาฤกษ์แต่งงานระหว่างเขากับคุณหญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ให้ด่วนที่สุดในระยะนั้น
อาจารย์เทพ สาริกบุตร ซึ่งเป็นโหรเชื้อสายนักโหราศาสตร์มาทั้งตระกูลข้างพ่อ และข้างแม่ที่พึ่งพากันมานานบอกว่า "รอไปก่อนเถอะท่าน วันสองวันนี้ไม่มีฤกษ์" "ฮึ!" จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พยักหน้าหงึกว่า "มึงไม่มีฤกษ์ แต่กูมี กูจะหาของกูเอง"
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หาเองอย่างที่พูด แต่เมื่อเตรียมงานเรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏว่าท่านต้องเลิกล้มวันแต่งงานที่ท่านต้องการที่ว่านี้ช้าไปอีกหลายวันหรือเป็นแรมเดือนเพราะปรากฏว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายในบ้านเมืองขึ้นมา ข่าวรายงานว่าจะมีผู้ทำการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล ต้องดูแลความพร้อมและเตรียมพร้อมไม่ใช่การแต่งงาน
ท่านเป็นยอดเผด็จการที่ร้ายแรงที่สุดคนหนึ่ง และคนเดียวในเมืองไทยในยุคของท่าน
ท่านสั่งห้ามกินฝิ่น สูบกัญชา และห้ามวางเพลิงวันตรุษจีนซึ่งมีคนขัดขวาง ท่านก็สั่งให้ลากมายิงทิ้งต่อหน้าเสียที่สนามหลวง
ไม่แคร์ใครทั้งนั้น
ในวงการหนังสือพิมพ์ก็ไม่มีอะไรสวยสดงดงามไปกว่านี้ เพราะนอกจากหนังสือ
พิมพ์ของท่านเองแล้วก็มีหนังสือพิมพ์นอกสังกัดของท่าน และนักเขียนนอกสังกัดอีกหลายคนที่พยายามก่อการร้าย และทำการกบฏด้วยวาจาเป็นประจำ ในบรรดาหนังสือพิมพ์กบฏเหล่านั้นน่าจะมีผมอยู่ด้วยคนหนึ่งซึ่งจะเขียนด่าเป็นประจำไป แต่ผมไม่ได้เขียนเป็นบทความธรรมดา ผมเขียนเป็นโคลงสี่สุภาพเป็นชุดในชื่อว่า "เพลงยาวยอเกียรติแผ่นดินไทย-มหากาพย์แห่งทุรยุค" ซึ่งอาจจะมีทั้งโคลงฉันท์ กาพย์กลอนลงไปพิมพ์เป็นรายวันไป เช่น โคลงสี่สุภาพชิ้นหนึ่งเขียนว่า
"อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
สิงหาสน์รัตนปรางบรร- เจิดจ้า
กรุงธนฯ กรุงเทพฯ ทัน - เสถียรสถิต
เจริญเมลืองรมย์โรจน์ล้ำ- เลิศล้น เลอสวรรค์-
โรงจำนำรับจำนองขนัดแน่น- หนักนคร นี้เฮย
คนยากคนจนเจียดใจจร- เจ็บช้ำ
จำนองจำนำครกสากสลอน- เสียดอก
อดอยากปากท้องช้ำ- แทรกเสี้ยวเศษสวรรค์
ลูกหลานบ้านแตกสิ้น- กระเซิงกระเซอะ
บากหน้าบากตาเบอะ- บิ่นบ้า
หาการหางานเขรอะ- ขอดไส้
เป็นตายหมายดาบหน้า- ดาบนั้นรอคอย
ลูกสาวลูกแส้สร้อย- สวาทสาย ใจเฮย
เป็นแสนเป็นล้านราย- หลีกเร้น
เข้ากรุงมุ่งเพียงขาย- กามกิจ กินอยู่
แทนไร่แทนนานเน้น- เนื้อน้องนาเดิม
เมื่อโคลงชุดนี้ถูกตีพิมพ์ลงไปในหน้าที่ผมเขียนประจำในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง คนข่าวการเมืองซึ่งเป็นเพื่อนรักของผมคือคุณสว่าง ลานเหลือก็เอาข่าวจากบ้านจอมพลสฤษดิ์มาบอกผม เขาว่า "ท่านจะปิดหนังสือพิมพ์ของมึงวันสองวันนี้แหละ โกรธฉิบหาย"
"เฮ้ย กูไม่ได้ว่าอะไรนี่....ท่านว่ายังไง?"
"ปิด....ด่าฝากกูมาอีกแล้ว!"
"มึงไปจัดการให้กูก็แล้วกัน" ผมไม่รู้จะว่ายังไง
ผมบอกสว่าง ลานเหลือไปเท่านั้น ซึ่งผมก็รู้ดีว่าเขาจะไปจัดการอย่างไร เพียงแต่ผมบอกว่าผมจะไม่เขียนอีก เพราะเรารู้กันทุกคนว่าจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์นั้นเป็นที่รู้กันภายนอกทั่วไปว่าท่านเป็นยอดเผด็จการที่โหดร้ายที่สุดคนหนึ่งของชาติไทย แต่เป็นคนที่พูดกันง่ายและรู้เรื่องง่าย และที่สำคัญท่านรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก หรือใครผิดใครถูกระหว่างท่านกับโลกภายนอก ท่านเป็นลูกผู้ชายที่หน้าด้านน้อยที่สุดที่ผมเคยเห็น
สำหรับบทโคลงที่ผมเขียนก็เพราะบรรยากาศบ้านเมืองในสมัยนั้น มันไม่ได้ดีไปกว่านี้ทุกอย่างมันสกปรกเลอะเทอะ ความอยุติธรรมก็หนัก การคอร์รัปชันเท่าที่เรารู้กันก็ไม่ใช่ธรรมดา ความทุจริตคิดมิชอบในบ้านเมืองมีมาก มันน่าสับโขกไปเสียทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนอย่างผมและพรรคพวกบางคนจึงไม่ค่อยวางเฉย แต่สำหรับผมที่เขียนออกมาเป็นโคลงกลอนแบบนั้น เป็นเพราะความประมาทอย่างมากของผม ผมบอกสว่าง ลานเหลือไปว่าที่ผมเขียนไปอย่างนั้นโดยใช้บทกลอนแบบนั้น ผมนึกว่าท่านหรือนักการเมืองไม่มีปัญญาจะเข้าใจได้
ผมนึกว่าจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น เป็นเพียงทหารที่รู้เรื่องทางทหารคนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่รู้เรื่องโคลงฉันท์กาพย์กลอนที่พอจะเข้าใจความมุ่งหมายที่ผมเขียนได้ ผมจึงเขียนต่อมาเรื่อยๆ ตอนหลังผมมารู้ว่าท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะเก่งหรือไม่เก่งก็ตามไม่สำคัญ แต่ผมลืมไปอย่างหนึ่งคือจากสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะมีเจ้าหน้าที่ในแผนกเก็บข้อความนี้เสนอไว้ที่โต๊ะทำงานจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทุกชิ้น
แต่ที่เรื่องมันจบลงไปง่ายๆ ไม่อึกทึกครึกโครมเหมือนนักการเมืองไทยยุคนี้เพราะมันเป็นเรื่องกระจอกๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์นั้น เป็นคนประเภทที่เรียกว่า "ใจถึงคนหนึ่ง" หรือเป็นคนที่ชอบนำเอาความเป็นลูกผู้ชายแท้ๆ ของตัวเองติดตัวไปด้วยไม่ว่าจะไปไหน
"ทุกอย่างมันต้องพูดกันที่แน่ที่สุดก็คือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ท่านจะชั่วอย่างไรเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ที่จะยอมทำสิ่งชั่วๆ ให้มันออกไปสู่สาธารณะนั้นท่านไม่ทำ ในชีวิตที่ท่านพูดคำหยาบกับนักการเมืองหรือประชาชนที่นี่มีข้อขัดแย้งกับท่าน จะใช้คำรุนแรงอย่างมากก็ตรงที่ใช้คำว่า "ลื๊อกับอั๊ว" เท่านั้น คำว่า "เห่าหรือแม่มึงหรืออ้ายอี" ท่านไม่เคยใช้ เห่าหรือกัดท่านก็ไม่เคยใช้ และท่านไม่เคยหน้าด้านที่จะยืนยันว่าการกระทำของท่านทุกอย่างถูกต้องหมดเพราะเป็นเจ้าของประเทศแต่ผู้เดียว"
สมัยนั้น นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งตั้งฉายาให้ท่าน และเรียกท่านว่า "อ้ายม้ามแตก"
จนกระทั่งท่านตายเพราะม้ามแตกหรือเพราะอาการประเภทนั้นไปจริงๆ ท่านไม่เคยตะโกนคำสถุลใดๆ กับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นหรือโต้ตอบกับหนังสือพิมพ์ที่ทำกันเหมือนในสมัยนี้
ข้อเขียนของผมชิ้นนี้ผมจึงอยากจะเขียนยันลงไปโดยไม่ยอมกลับสัจวาจาใดๆ ที่ว่านักการเมืองทุกวันนี้กำลังอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมที่สุด นอกจากพฤติกรรมและความสามารถเลวๆ ในการปกครองบ้านเมืองแล้ว แม้แต่นิสัยสันดานส่วนตัวที่แสดงถึงความรู้สึกชั่วดีก็ไม่มีเอาด้วย
จะมองเห็นคนอื่นและการกระทำของคนอื่นไม่ถูกต้อง และเลวร้ายไปหมด
เห็นผู้คนอื่นๆ ในคณะนายกรัฐมนตรีหรือคนที่ไม่เป็นรัฐมนตรีชั่วไปหมด ยกเว้นแต่เพียงสุนัขไม่กี่ตัวที่จูงจมูกไว้กัดไว้เห่าเพื่อแสดงอภินิหารให้เป็นที่หวั่นเกรงแก่หมาอื่นๆ เท่านั้น
คงไม่มีความเป็นจริงอะไรอื่นนอกจากเราคนไทยทุกคนจะต้องยอมรับว่าการเมืองของเราเลวลง และนักการเมืองของเราก็เลวลงอย่างถึงที่สุดไปแล้ว
หรือนักการเมืองของเราไม่อยู่ในสภาพที่จะหวังพึ่งได้หรือเป็นที่เคารพนับถือ และเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนต่อไปอีก!!!
มันเกิดขึ้นเพราะอะไร ดูเหมือนเราจะไม่ยอมโทษการเมือง และนักการเมืองเลวๆ ของเราที่พากันมาปล้นกินขโมยกินบ้านเมืองของเราด้วยวิธีการของโจรสลัดทุกๆ ประเภท แต่เรามานั่งโทษกันอย่างจริงจังในเรื่องดวงดาวจากปฏิทินโหราศาสตร์ ที่บอกกล่าวว่าที่บ้านเมืองเป็นเช่นนี้เพราะดวงดาวในดวงชะตาผู้นำโคจรวิปริต
แต่เราไม่โทษกันว่านักการเมืองของเราเป็นนักการเมืองที่วิปริตทรยศหรือพูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ เรามีแต่นักการเมืองชั่วชาติเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
"ทักษิณรูดซิป รับมือดาวพุธ โหรแนะให้หยุดพูดยาวจนกว่าถึงวันที่ 7 ธันวา เป็นการปรับดวง" พาดหัวหนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าเห็นใจนักการเมืองไทยเพราะการกระทำของดวงดาวต่อไปว่า "พ.ต.ท.ทักษิณยังปิดปากงดสัมภาษณ์อ้างว่าดาวพุธถอยหลัง โหรบุญเลิศชี้ว่ามีดาวราหูสองดวงซ้อนทับดวงนายกฯ ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่อยู่แล้วทรุดหนักยิ่งขึ้น แถมดาวพุธเดินวิปริต พูดอะไรออกไปก็เข้าใจผิด" (ไทยรัฐ 18 พฤศจิกายน 2548)
ต่อมาอีกเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2549 ก็โหรอีกนั่นแหละที่อ้างดวงดาวบนท้องฟ้าขึ้นมาอีกว่า "4 โหรทำนายปีจออันตราย-อุบัติภัยจ่อคิวถล่มดวงผู้นำ ระวังปาก" โดยการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" หน้า 1 โดยให้รายละเอียดต่อไปว่า "4 โหราจารย์ชั้นนำของเมืองไทยทำนายทายทักดวงเมืองไทยปี 2549 ซินแสชื่อดัง" ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล กับโหรดังๆ อีก 3 ท่านก็กล่าวถึงความร้ายแรงของดวงเมืองอีกทำนองเดียวกัน โดยไม่ได้เน้นความผิดพลาด ความเลวร้าย ความไม่เอาไหนของนักการเมืองไทย และระบบการเมืองของไทยซึ่งมีความขัดแย้งกันทุกจุดทุกพวก เพราะต่างคนต่างแย่งอำนาจ และการเมืองทำมาหากินกัน
สาเหตุของการเห่าและกัดของคุณสนธิ ลิ้มทองกุลที่ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นประวัติการณ์เท่าที่ผ่านมาไม่กี่ครั้งนี้ ไม่ว่าใครที่เติบโตมาเป็นคนไทยจะต้องยอมรับว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ประการแรกประการเดียวที่พูดได้เต็มปากที่สุดก็คือ (1) การตื่นตัวของประชาชนทั้งในประเทศ และนอกประเทศที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกันและพร้อมที่จะเป็นผู้รับฟังความคิดเห็นของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล โดยไม่มีการนัดหมาย (2) แตกต่างจาก 14 ตุลาคมที่เคยเปลี่ยนแปลง และการรวมตัวของประชาชนครั้งนี้เท่าที่ปรากฏไม่จะมีคนหนุ่มคนสาวหรือวัยรุ่นมากนัก แต่จะเป็นคนมีอายุหรือพ่อบ้านแม่เรือนหรือคนไทยที่กำลังรอการแก้ปัญหาอยู่ทั่วประเทศหรือเรียกว่าผู้ใหญ่ทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าหมาอีกฝ่ายหนึ่งพอได้ยินหมาหอนแล้วก็ออกมาเห่าตอบโต้นั้น น่าจะไปไม่รอด
นั่นเป็นความคาดหมายหรือจากประสบการณ์ของผม
ใครก็ไม่ต้องโต้แย้งหรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ผมไม่สนใจเพราะผมคิดของผมเอง จะเอาเป็นเอาตายยังไงกับผม ผมก็ไม่แคร์ จะเกิดอะไรก็ให้มันเกิด
และเรื่องที่คุณสนธินำมาพูดและเสนอต่อผู้ฟังทั่วโลกนั้น เป็นเรื่องของบ้านเมืองที่ใครๆ ที่เป็นคนไทยไม่สามารถจะคัดค้านได้นอกจากสัตว์เดียรัจฉานเท่านั้นที่จะทำได้เช่น
(1) การกระทำที่มีลักษณะเป็นการละเมิด และท้าทายพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่การไปทำพิธีแสดงตัวเป็นกษัตริย์ในโบสถ์วัดพระแก้วที่ไม่บังควรทำ ไม่ว่าจะได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตหรือไม่ก็ตาม เป็นหน้าที่ของไพร่ฟ้าประชาชนจะต้องให้ความเคารพและเทิดทูน
(2) การบริหารและการปกครองบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชันที่ใหญ่หลวง และเลวทรามที่สุดตั้งแต่การสร้างระบบครอบครัวโคตรเหง้าบริวารขึ้นมาแสวงหาประโยชน์ (Neoptism) อย่างไม่มีคนไทยคนไหนหรือกลุ่มใดบังอาจจะกระทำการที่ว่านี้มาก่อน!!
(3) การนำรัฐวิสาหกิจและทรัพย์สินของชาติและประชาชนที่มีค่ามากกว่า 8 ล้านล้านบาทไปขายให้ต่างชาติ และเรื่องในหัวข้อที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลนำมาพูดถึงทั้งหมด!!