สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ให้ฉายาสภาผู้แทนราษฎร"ปลอกคอพันธุ์ชิน" ส่วนวุฒิสภา เป็น"สภาทาส" ขณะที่"ป๋าเหนาะ"เจ้าของวาทะแห่งปี"มันเอาอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไปล็อคเอาไว้เหมือนทาส" โภคิน รับฉายา"นิติกู" สุชน เป็น"สุ(ด)ทน" อภิสิทธิ์ เป็น"ขุนศึกไร้ดาบ"ชูวิทย์ คว้าดาวเด่นประจำสภา ส่วนตำแหน่งคนดีศรีสภาเป็นของ"ปู่สมคิด " ด้าน"ทักษิณ"กัดฟันรับฉายารัฐบาลและฉายานายกฯ บอกน่ารักดี
ถือเป็นประเพณีของทุกปีที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภา จะตั้งฉายานักการเมือง ผู้ที่ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกและการทำงานของสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติในรอบปีที่ผ่านมา ตามมุมมองของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา
ทั้งนี้เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นข้อมูลในการปรับปรุงตัวสำหรับฝ่ายนิติบัญญัติที่ได้รับฉายานั้นๆ โดยการตั้งฉายาทุกครั้งได้ใช้เหตุผล ความบริสุทธิ์ใจ และอารมณ์ขัน โดยพยายามหลีกเลี่ยงการใช้อคติ หรือตกเป็นเครื่องมือของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ถูกได้รับการตั้งฉายาถูกใจหรือไม่ถูกใจบ้าง
สำหรับผลการพิจารณาตั้งฉายาของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ในปีพ.ศ.2548 มีดังนี้
1.วาทะเด่นแห่งปี "มันเอาอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไปล็อคเอาไว้เหมือนทาส"
เป็นวาทะของ นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย เมื่อค่ำวันที่ 8 มิ.ย.48 ระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งตลอดการอภิปรายของนายเสนาะ ได้สะกดให้ส.ส.และนักข่าวต่างเงียบฟัง และรับรู้ตรงกันว่าเป็นการเปิดใจของนายเสนาะ ที่สะท้อนถึงความอึดอัดใจของส.ส.ในพรรคไทยรักไทยอีกหลายคน เพราะถูกกักขังด้วยรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 107(4) ที่ส.ส.ต้องสังกัดพรรคเป็นเวลา 90 วัน ทำให้ที่ไม่สามารถย้ายต้นสังกัดพรรคการเมืองได้ อีกทั้งยังจำกัดอิสระและเอกสิทธิของความเป็นส.ส.จึงถูกแทนที่ด้วยความเป็น "ทาส"เหมือนที่นายเสนาะ ได้สะท้อนออกมา
2. ฉายาสภาผู้แทนราษฎร "ปลอกคอพันธุ์ชิน"
นับเป็นภาพสะท้อนการทำงานของสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันได้ดีที่สุด นับจากที่พรรคไทยรักไทยได้เสียงข้างมากถึง 377 เสียง ทำให้การทำหน้าที่ในสภาเสมือนถูกชักจูงจากเจ้าของพรรค ปราศจากจุดยืน และความเห็นของตัวเอง ผิดวิสัยของการเป็นผู้แทน บ่อยครั้งการยกมือโหวตกฎหมายต่างๆในสภา หรือแม้แต่การอภิปราย ก็ไม่สามารถแสดงความเห็นที่แตกต่างไปจากมติพรรคที่สังกัดได้ เสมือนการมีปลอกคอที่แสดงความเป็นเจ้าของ โดยพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรค กอปรกับการที่ส.ส.ถูกมัดไว้จากการถูกล็อคในรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 (4) ที่ส.ส.ต้องสังกัดพรรคภายใน 90 วัน เหมือนเป็นการจำกัดการทำหน้าที่ส.ส.ไม่สามารถแสดงความเห็นที่แตกต่าง
3. ฉายาวุฒิสภา "สภาทาส"
ใครบอกว่าเวลานี้ประชาชนคนไทยไม่มีทาสอีกแล้ว แต่คนบางกลุ่มที่เป็นผู้ทรงเกียรติยังเลือกหนทางที่จะอยู่ในวังวน และยอมตกเป็นทาส เห็นได้จากวุฒิสภาชุดปัจจุบันซึ่งถือเป็นชุดแรก ที่เกิดจากผลพวงของการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ถูกสังคมคาดหวังเรื่องการทำงาน การถ่วงดุล ตรวจสอบฝ่ายบริหาร กลั่นกรองกฎหมาย และแต่งตั้งบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ โดยความเป็นตัวของตัวเอง เพราะที่มาของวุฒิสภาคือ ไม่สังกัดพรรคการเมือง แต่จากการทำหน้าที่ของวุฒิสภาชุดปัจจุบัน แสดงให้ประชาชนเห็นว่าการทำงานไม่ได้มีอิสระ บ่อยครั้งมีข่าวว่าการลงมติของวุฒิสภาเป็นไปตามโผและโพย อุปมาเหมือนทาส ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายเงิน ซึ่งในยุคปัจจุบันมีการกล่าวกันหนาหูว่า นายเงินของวุฒิสภา ก็คือฝ่ายบริหารนั่นเอง
4.ฉายาประธานสภา "นิติกู"
ตั้งแต่ก่อนก้าวย่างสู่ถนนการเมือง นายโภคิน พลกุล มีภาพของความเป็นนักกฎหมาย เป็นอาจารย์ และนักวิชาการที่มีความเชียวชาญ ด้วยดีกรีดอกเตอร์จากฝรั่งเศส แต่เมื่อเวลาผ่านไป นายโภคิน เข้าสู่ถนนการเมือง โดยเฉพาะในตำแหน่งประธานรัฐสภา เป็นที่ประจักษ์ว่า ประธานสภา ที่ต้องวางตัวเป็นกลาง กลับไม่เป็นเช่นนั้น บ่อยครั้งที่มักใช้ความได้เปรียบในฐานะผู้รู้ทางกฎหมาย ตีความปกป้องคนในรัฐบาล โดยยึดความเห็นส่วนตัวเป็นหลัก และคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องแล้ว จึงที่มาแห่งฉายา ที่นายโภคิน ได้รับในปีนี้
5.ฉายาประธานวุฒิสภา "สุ(ด)ทน"
วลีนี้เป็นคำที่แวดวงในสภาสูง รวมถึงประชาชนทั่วไปใช้ เมื่อกล่าวถึงบทบาทและการทำงานของ นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ในรอบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีปัญหาการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่นายสุชน นำชื่อนายวิสุทธิ์ มนตริวัต ขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ แต่ไม่มีการโปรดเกล้าฯ กระทั่งนายวิสุทธิ์เองยังขอถอนรายชื่อ แต่นายสุชน กลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ทำให้ได้รับแรงเสียดทานอย่างหนัก ถึงขั้นเคยมีวุฒิสภาไล่ให้ลาออกกลางห้องประชุมบ่อยครั้ง แต่นายสุชน ก็ทนสุดๆจนฝ่ากระแสต่างๆมาได้ แม้กระทั่งบางคนก็ยังสุดทนกับนายสุชน เช่นกัน
6.ฉายาผู้นำฝ่ายค้าน "ขุนศึกไร้ดาบ"
แต่ไหนแต่ไร ในการรบและทำศึกสงคราม"อัศวิน"ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในการรบ เปรียบเหมือนฝ่ายค้านที่ย่อมต้องมีผู้นำในการตรวจสอบรัฐบาล แต่ด้วยพรรษาทางการเมืองและภาวะผู้นำ ทำให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นได้เพียง"ขุนศึก"ยังไม่ถึงชั้นอัศวิน และเมื่อฝ่ายค้านต้องมาประสบกับภาวะเสียงในสภา ที่มีเพียง 123 เสียงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งซ่อม ถือเป็นอุปสรรคในการตรวจสอบและถอดถอนรัฐมนตรี ทำให้ตกอยู่ในสภาวะ "ไร้ดาบ" ขุนศึกไร้ดาบจึงเป็นฉายาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในปัจจุบัน
7.ดาวเด่น-ดาวดับ...ดาวเด่น "นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์"
ดาวเด่น ในสภา ตำแหน่งนี้ผู้สื่อข่าวสภามอบให้แก่นักการเมืองที่มีความโดดเด่นในการทำตัวที่เป็นข่าว หรือมีพฤติกรรมสร้างความสนใจให้กับสังคม ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมา หากจะถามประชาชนทั่วไป คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย ที่มักสร้างสีสันในสภา ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่แตกต่าง กระทั่งมีการวิจารณ์ว่าส.ส.หลายสมัยบางคน ยังสร้างข่าวและกระแสได้ไม่เก่งเท่านายชูวิทย์ ที่เป็นส.ส.สมัยแรก เสียด้วยซ้ำ และด้วยความเป็นส.ส.สมัยแรก บทบาทในสภาของอดีตเจ้าพ่ออ่างทองคำจะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
ดาวดับในสภา นายประชา ประสพดี-นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล และนายสิทธิชัย กิตติธเนศวร
ดาวดับในสภาตำแหน่งนี้ ผู้สื่อข่าวสภามอบให้กับนักการเมืองที่ถูกมองว่ามีจังหวะก้าวทางการเมืองที่ผิดพลาด ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งในปีนี้ได้แก่ "สามเกลอ"หรือ 3 ส.ส.พรรคไทยรักไทย คือ นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายสิทธิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก ที่ออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ขัดแย้งกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กระทั่ง 3 ส.ส.ถูกมองป้องนาย หวังบำเหน็จ และกลายเป็นดาวดับในที่สุด
8.คู่กัดแห่งปี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับ พรรคไทยรักไทย
นับตั้งแต่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย ก้าวเข้าสู่เวทีสภา บุคลิกโผงผาง และพร้อมเดินหน้าชน กลายเป็นแรงขับให้นายชูวิทย์ ต้องรบกับส.ส.หลายคนของพรรคไทยรักไทย เช่น นายชูวิทย์ กับนายวิเชษฐ เกษมทองศรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย ในข้อหาดื่มเหล้าเข้าสภา หรือกรณีการเกิดปากเสียงระหว่างการอภิปรายกับ น.พ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล ส.ส.อุดรธานี พรรคไทยรักไทย หรือกรณีอื่นๆ อีกมากมาย และล่าสุดส่งท้ายปลายปี ที่ตลอดทั้งเดือนธันวาคม ของการเปิดศึกกับ ส.ส.หญิง พรรคไทยรักไทย ที่เริ่มต้นด้วย น.ส.ณหทัย ทิวไผ่งาม ส.ส.กทม.จนถึงนางมุกดา พงษ์สมบัติ ส.ส.ขอนแก่น ซึ่งหลายคนมองว่า แรงส่งของนายชูวิทย์ อาจเป็นเพราะนายชูวิทย์ มาจากความมั่นใจที่ไม่ต้องพะวงถึงต้นทุนทางสังคมเฉกเช่น ส.ส.คนอื่นๆ
9.เหตุการณ์เด่นแห่งปี "ปัญหาการแต่งตั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน"
นับเป็นมหากาพย์ ลากยาวที่สุดในการเลือกบุคคลเข้าทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการสรรหาคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา เป็นผู้ว่าฯสตง.โดยมิชอบ จนต้องมีการสรรหาใหม่ ทั้งที่ยังไม่เกิดข้อยุติในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาได้ลงมติเลือกนายวิสุทธิ์ มนตริวัต เป็นผู้ว่าฯสตง.คนใหม่ หลังจากที่มีการทูลเกล้าฯไปแล้วเป็นเวลา 104 วัน ทำให้นายวิสุทธิ์ ตัดสินใจถอนตัวจากตำแหน่ง ท่ามกลางปมปัญหาที่ยังเถียงกันไม่ตกระหว่างการสรรหาใหม่ กับการให้คุณหญิงจารุวรรณกลับเข้าสู่ตำแหน่งอีกครั้ง เนื่องจากมีกระบวนการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง หวังตัดตอนการตรวจสอบการทุจริต
10. คนดีศรีสภา"พ.อ.สมคิด ศรีสังคม"ส.ว.อุดรธานี
แม้วัย 89 ปี แต่พ.อ.สมคิด ศรีสังคม ยังปฏิบัติหน้าที่ส.ว.อุดรธานี อย่างเข้มแข็ง เช่นการมาประชุมวุฒิสภาอย่างต่อเนื่อง กล้าแสดงความเห็นที่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งยังร่วมตรวจสอบฝ่ายบริหารผ่านเวทีกรรมาธิการคณะต่างๆ แม้บางครั้งจะต้องเดินทางออกต่างจังหวัด โดยเฉพาะกรณีการเดินขึ้นตึกสนามบินสุวรรณภูมิ ถึง 6 ชั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ลดละ นอกจากนี้การเป็น 1 ใน 4 ของวุฒิสมาชิก ที่ยื่นหนังสือไปยังราชเลขาธิการ เพื่อหาข้อยุติปมปัญหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ด้วยจุดยืนที่ชัดเจนโดยไม่คำนึงถึงกระแส ตำแหน่งคนดี ศรีสภา เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ทำงานในสภาและหวังเป็นแบบอย่างให้กับสมาชิกรัฐสภาคนอื่นๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายาสภาปีนี้ เป็นไปอย่างเข้มข้น เพราะมีการประชุมถึง 4 ครั้ง ก่อนจะได้ข้อสรุปออกมา โดยฉายาที่สูสีที่สุดคือ ฉายาสภาผู้แทนราษฎร "ปลอกคอพันธุ์ชิน"กับ"สภานกนางแอ่น"หมายถึง การใช้ปากทำงานซึ่งไปคล้ายกับนกนางแอ่นที่ใช้น้ำลายสร้างรัง ซึ่งในการโหวตครั้งแรก "สภานกนางแอ่น"นำอยู่ 2 คะแนน จึงต้องโหวตใหม่ แต่ผลก็ยังสูสี ทำให้ผู้ที่เสนอฉายาทั้ง 2 ต้องอธิบายถึงคำจำกัดความอีกครั้ง ในที่สุดฉายา"ปลอกคอพันธุ์ชิน" จึงชนะอย่างขาดลอย
ส่วนฉายาของประธานวุฒิสภา มีผู้เสนอและเข้ารอบ 3 ฉายา คือ "ประธานตราช้าง""แดจังก้าน"และ"สุ(ด)ทน" ซึ่งในที่สุดฉายา สุ(ด)ทน เข้าป้ายขาดลอย
ขณะที่ฉายาของผู้นำฝ่ายค้านที่เข้ารอบอาทิ "หล่อไม่เสร็จ" "ทาร์ซานตั้งไข่" และ"ขุนศึกไร้ดาบ" สำหรับดาวเด่น มีผู้เสนอชื่อ ส.ว.และ ส.ว.หลายคน 1 ใน นั้นมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีต ส.ว.กทม.อยู่ด้วย แต่เห็นว่าได้ลาออกจากการเป็นส.ว.ไปแล้ว จึงหันมาเลือกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ แทน โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า การให้ตำแหน่งดาวเด่น ไม่ได้เป็นการตัดสินว่า พฤติกรรมของส.ส.ผู้นั้นดีหรือไม่ดี
ด้านดาวดับที่มอบให้ 3 ส.ส.คือนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายสิทธิชัย กิตติธเรศวร ส.ส.นครนายก พรรคไทยรักไทย ถือ เป็นฉายาแรกที่บรรดาผู้สื่อข่าวลงมติเป็นเอกฉันท์
**"ทักษิณ"กัดฟันรับฉายาน่ารักดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สื่อมวลชน ประจำทำเนียบรัฐบาลได้ตั้งฉายารัฐบาลว่า "ประชาระทม"และนายกรัฐมนตรีเป็น "พ่อมดมนต์เสื่อม"รวมทั้งรัฐมนตรีอีกหลายคน ซึ่งเรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าว ระหว่างไปตีกอล์ฟ กับทีมนักกอล์ฟเยาวชนทีมชาติ ประกอบด้วย วีระดา นิราพาธพงศ์พร นนทยา ศรีสว่าง และ ชินรัตน์ ผดุงศิลป์ ที่สนามกอล์ฟอัลไพน์ รังสิต คลอง 5 ว่า ก็ดี น่ารักดี ส่วนฉายานายกฯ ที่ว่า "พ่อมดมนต์เสื่อม"นั้นก็ดี ดีจริงๆ ดีเนอะ
เมื่อถามว่า นายกฯมนต์เสื่อมจริงหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า แล้วแต่จะคิด สบายๆ อย่าไปคิดอะไรมาก วันนี้รีแล็กซ์ ถ้าถามอย่างนี้เดี๋ยวตีกอล์ฟไม่ถูกลูก วันนี้อยากตีถูกลูก
"วันนี้เป็นวันที่ผมจะตัดสินใจตัวเอง ถ้าผมตีกอล์ฟชนะ 3 คนนี้ ที่มาแข่งกับผม ผมจะเทิร์นโปร เลิกเป็นนายกฯ ไม่แน่ถ้าผมเอาลงได้ทั้ง 3 คนเลย ผมจะเทิร์นโปรแล้ว เพราะอาชีพนี้มันรีแล็กซ์ดี รายได้ก็ดี แต่อาชีพนายกฯเครียด รายได้ก็น้อย"
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าตอนนี้เริ่มเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราต้องดูว่าอาชีพเราดีหรือเปล่า ถ้าเทิร์นโปรได้ วันนี้จะเทิร์นแล้ว เมื่อถามว่าจะไม่เป็นการเทิร์นโปรตอนอายุมากไปหรือ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็โปรเก ไง
ส่วนการไปร่วมงานเคานต์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่นั้น ก่อนเที่ยงคืน จะไปร่วมงานที่พุทธมณฑล จากนั้นจะมาร่วมเคานต์ดาวน์ ที่สนามศุภชลาศัย และกลับไปนอน ส่วนสถานที่พักผ่อนที่จะไปกับครอบครัวนั้น จะไปประเทศสิงคโปร์ ไปเดินเล่นสัก 3-4 วัน และจะกลับมาทำงานในวันที่ 4 ม.ค.49
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ออกรอบตีกอล์ฟเสร็จ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "หลุมสุดท้ายพาร์ 5 ช็อต 3 ผมขึ้นมาออนก่อนเพื่อนเลย แล้วทุกคนก็ออนหมด ปรากฎว่าเบอร์ดี้พัทเป็นคนหนึ่ง ถ้าผมเบอร์ดี้ผมเลิกเป็นนายกฯ แล้วพอดีมันหลุดไป เลยออกพาร์ 3 คน เลยได้เบอร์ดี้หมด เนี๊ยะนะหลุมสุดท้าย ไม่งั๊นเลิกแล้ว เสียดายมือขวามันดันไปนิด เลยเปิดไปตั้งไกล แล้วยังพาร์กลับมาได้อีก แต่ว่าเสียดายมันควรจะเบอร์ดี้แล้วนะ เลยต้องเป็นนายกฯต่อไป"
เมื่อนายกฯพูดถึงตรงนี้ บรรดารัฐมนตรี และผู้ติดตามปรมมือเสียงดังลั่น คิดว่าจะมีคนอื่นเสียดายอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า "ไม่รู้ แต่ผมเสียดาย ไม่งั้นผมเบอร์ดี้แล้วเทิร์นโปรไปแล้ว"
เมื่อถามว่า นายกฯ อ่อนข้อให้หรือไม่นายกฯกล่าวว่าผมตั้งใจเล่นจริงๆนะ ไม่เชื่อลองถามทั้ง 3 คนซิ เบอร์ดี้หมด ซึ่งผมควรเบอร์ดี้หลุมนั้น ไม่ควรพลาด แต่แหมเลย ต้องบอกว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องรอไปอีกสักพัก
ผู้สื่อข่าวรายว่า หลังจากนายกฯให้สัมภาษณ์เสร็จ กลุ่มผู้สื่อข่าวได้มอบส.ค.ส.ให้นายกฯ ซึ่งนายกฯ ยิ้มรับ แล้วบอกว่า ขอบคุณพร้อมกับกล่าวว่า ปีนี้น่ารักมาก ทุกคนในที่นี้น่ารักหมด ทุกคนเลย ยกเว้นบ.ก.
ถือเป็นประเพณีของทุกปีที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภา จะตั้งฉายานักการเมือง ผู้ที่ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกและการทำงานของสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติในรอบปีที่ผ่านมา ตามมุมมองของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา
ทั้งนี้เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นข้อมูลในการปรับปรุงตัวสำหรับฝ่ายนิติบัญญัติที่ได้รับฉายานั้นๆ โดยการตั้งฉายาทุกครั้งได้ใช้เหตุผล ความบริสุทธิ์ใจ และอารมณ์ขัน โดยพยายามหลีกเลี่ยงการใช้อคติ หรือตกเป็นเครื่องมือของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ถูกได้รับการตั้งฉายาถูกใจหรือไม่ถูกใจบ้าง
สำหรับผลการพิจารณาตั้งฉายาของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ในปีพ.ศ.2548 มีดังนี้
1.วาทะเด่นแห่งปี "มันเอาอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไปล็อคเอาไว้เหมือนทาส"
เป็นวาทะของ นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย เมื่อค่ำวันที่ 8 มิ.ย.48 ระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ กรณีการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งตลอดการอภิปรายของนายเสนาะ ได้สะกดให้ส.ส.และนักข่าวต่างเงียบฟัง และรับรู้ตรงกันว่าเป็นการเปิดใจของนายเสนาะ ที่สะท้อนถึงความอึดอัดใจของส.ส.ในพรรคไทยรักไทยอีกหลายคน เพราะถูกกักขังด้วยรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 107(4) ที่ส.ส.ต้องสังกัดพรรคเป็นเวลา 90 วัน ทำให้ที่ไม่สามารถย้ายต้นสังกัดพรรคการเมืองได้ อีกทั้งยังจำกัดอิสระและเอกสิทธิของความเป็นส.ส.จึงถูกแทนที่ด้วยความเป็น "ทาส"เหมือนที่นายเสนาะ ได้สะท้อนออกมา
2. ฉายาสภาผู้แทนราษฎร "ปลอกคอพันธุ์ชิน"
นับเป็นภาพสะท้อนการทำงานของสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันได้ดีที่สุด นับจากที่พรรคไทยรักไทยได้เสียงข้างมากถึง 377 เสียง ทำให้การทำหน้าที่ในสภาเสมือนถูกชักจูงจากเจ้าของพรรค ปราศจากจุดยืน และความเห็นของตัวเอง ผิดวิสัยของการเป็นผู้แทน บ่อยครั้งการยกมือโหวตกฎหมายต่างๆในสภา หรือแม้แต่การอภิปราย ก็ไม่สามารถแสดงความเห็นที่แตกต่างไปจากมติพรรคที่สังกัดได้ เสมือนการมีปลอกคอที่แสดงความเป็นเจ้าของ โดยพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรค กอปรกับการที่ส.ส.ถูกมัดไว้จากการถูกล็อคในรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 (4) ที่ส.ส.ต้องสังกัดพรรคภายใน 90 วัน เหมือนเป็นการจำกัดการทำหน้าที่ส.ส.ไม่สามารถแสดงความเห็นที่แตกต่าง
3. ฉายาวุฒิสภา "สภาทาส"
ใครบอกว่าเวลานี้ประชาชนคนไทยไม่มีทาสอีกแล้ว แต่คนบางกลุ่มที่เป็นผู้ทรงเกียรติยังเลือกหนทางที่จะอยู่ในวังวน และยอมตกเป็นทาส เห็นได้จากวุฒิสภาชุดปัจจุบันซึ่งถือเป็นชุดแรก ที่เกิดจากผลพวงของการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ถูกสังคมคาดหวังเรื่องการทำงาน การถ่วงดุล ตรวจสอบฝ่ายบริหาร กลั่นกรองกฎหมาย และแต่งตั้งบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ โดยความเป็นตัวของตัวเอง เพราะที่มาของวุฒิสภาคือ ไม่สังกัดพรรคการเมือง แต่จากการทำหน้าที่ของวุฒิสภาชุดปัจจุบัน แสดงให้ประชาชนเห็นว่าการทำงานไม่ได้มีอิสระ บ่อยครั้งมีข่าวว่าการลงมติของวุฒิสภาเป็นไปตามโผและโพย อุปมาเหมือนทาส ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของนายเงิน ซึ่งในยุคปัจจุบันมีการกล่าวกันหนาหูว่า นายเงินของวุฒิสภา ก็คือฝ่ายบริหารนั่นเอง
4.ฉายาประธานสภา "นิติกู"
ตั้งแต่ก่อนก้าวย่างสู่ถนนการเมือง นายโภคิน พลกุล มีภาพของความเป็นนักกฎหมาย เป็นอาจารย์ และนักวิชาการที่มีความเชียวชาญ ด้วยดีกรีดอกเตอร์จากฝรั่งเศส แต่เมื่อเวลาผ่านไป นายโภคิน เข้าสู่ถนนการเมือง โดยเฉพาะในตำแหน่งประธานรัฐสภา เป็นที่ประจักษ์ว่า ประธานสภา ที่ต้องวางตัวเป็นกลาง กลับไม่เป็นเช่นนั้น บ่อยครั้งที่มักใช้ความได้เปรียบในฐานะผู้รู้ทางกฎหมาย ตีความปกป้องคนในรัฐบาล โดยยึดความเห็นส่วนตัวเป็นหลัก และคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องแล้ว จึงที่มาแห่งฉายา ที่นายโภคิน ได้รับในปีนี้
5.ฉายาประธานวุฒิสภา "สุ(ด)ทน"
วลีนี้เป็นคำที่แวดวงในสภาสูง รวมถึงประชาชนทั่วไปใช้ เมื่อกล่าวถึงบทบาทและการทำงานของ นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภา ในรอบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีปัญหาการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่นายสุชน นำชื่อนายวิสุทธิ์ มนตริวัต ขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ แต่ไม่มีการโปรดเกล้าฯ กระทั่งนายวิสุทธิ์เองยังขอถอนรายชื่อ แต่นายสุชน กลับไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ทำให้ได้รับแรงเสียดทานอย่างหนัก ถึงขั้นเคยมีวุฒิสภาไล่ให้ลาออกกลางห้องประชุมบ่อยครั้ง แต่นายสุชน ก็ทนสุดๆจนฝ่ากระแสต่างๆมาได้ แม้กระทั่งบางคนก็ยังสุดทนกับนายสุชน เช่นกัน
6.ฉายาผู้นำฝ่ายค้าน "ขุนศึกไร้ดาบ"
แต่ไหนแต่ไร ในการรบและทำศึกสงคราม"อัศวิน"ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในการรบ เปรียบเหมือนฝ่ายค้านที่ย่อมต้องมีผู้นำในการตรวจสอบรัฐบาล แต่ด้วยพรรษาทางการเมืองและภาวะผู้นำ ทำให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นได้เพียง"ขุนศึก"ยังไม่ถึงชั้นอัศวิน และเมื่อฝ่ายค้านต้องมาประสบกับภาวะเสียงในสภา ที่มีเพียง 123 เสียงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งซ่อม ถือเป็นอุปสรรคในการตรวจสอบและถอดถอนรัฐมนตรี ทำให้ตกอยู่ในสภาวะ "ไร้ดาบ" ขุนศึกไร้ดาบจึงเป็นฉายาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในปัจจุบัน
7.ดาวเด่น-ดาวดับ...ดาวเด่น "นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์"
ดาวเด่น ในสภา ตำแหน่งนี้ผู้สื่อข่าวสภามอบให้แก่นักการเมืองที่มีความโดดเด่นในการทำตัวที่เป็นข่าว หรือมีพฤติกรรมสร้างความสนใจให้กับสังคม ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมา หากจะถามประชาชนทั่วไป คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย ที่มักสร้างสีสันในสภา ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่แตกต่าง กระทั่งมีการวิจารณ์ว่าส.ส.หลายสมัยบางคน ยังสร้างข่าวและกระแสได้ไม่เก่งเท่านายชูวิทย์ ที่เป็นส.ส.สมัยแรก เสียด้วยซ้ำ และด้วยความเป็นส.ส.สมัยแรก บทบาทในสภาของอดีตเจ้าพ่ออ่างทองคำจะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
ดาวดับในสภา นายประชา ประสพดี-นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล และนายสิทธิชัย กิตติธเนศวร
ดาวดับในสภาตำแหน่งนี้ ผู้สื่อข่าวสภามอบให้กับนักการเมืองที่ถูกมองว่ามีจังหวะก้าวทางการเมืองที่ผิดพลาด ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งในปีนี้ได้แก่ "สามเกลอ"หรือ 3 ส.ส.พรรคไทยรักไทย คือ นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายสิทธิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก ที่ออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ขัดแย้งกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กระทั่ง 3 ส.ส.ถูกมองป้องนาย หวังบำเหน็จ และกลายเป็นดาวดับในที่สุด
8.คู่กัดแห่งปี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับ พรรคไทยรักไทย
นับตั้งแต่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย ก้าวเข้าสู่เวทีสภา บุคลิกโผงผาง และพร้อมเดินหน้าชน กลายเป็นแรงขับให้นายชูวิทย์ ต้องรบกับส.ส.หลายคนของพรรคไทยรักไทย เช่น นายชูวิทย์ กับนายวิเชษฐ เกษมทองศรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย ในข้อหาดื่มเหล้าเข้าสภา หรือกรณีการเกิดปากเสียงระหว่างการอภิปรายกับ น.พ.วิชัย ชัยจิตวณิชกุล ส.ส.อุดรธานี พรรคไทยรักไทย หรือกรณีอื่นๆ อีกมากมาย และล่าสุดส่งท้ายปลายปี ที่ตลอดทั้งเดือนธันวาคม ของการเปิดศึกกับ ส.ส.หญิง พรรคไทยรักไทย ที่เริ่มต้นด้วย น.ส.ณหทัย ทิวไผ่งาม ส.ส.กทม.จนถึงนางมุกดา พงษ์สมบัติ ส.ส.ขอนแก่น ซึ่งหลายคนมองว่า แรงส่งของนายชูวิทย์ อาจเป็นเพราะนายชูวิทย์ มาจากความมั่นใจที่ไม่ต้องพะวงถึงต้นทุนทางสังคมเฉกเช่น ส.ส.คนอื่นๆ
9.เหตุการณ์เด่นแห่งปี "ปัญหาการแต่งตั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน"
นับเป็นมหากาพย์ ลากยาวที่สุดในการเลือกบุคคลเข้าทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการสรรหาคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา เป็นผู้ว่าฯสตง.โดยมิชอบ จนต้องมีการสรรหาใหม่ ทั้งที่ยังไม่เกิดข้อยุติในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาได้ลงมติเลือกนายวิสุทธิ์ มนตริวัต เป็นผู้ว่าฯสตง.คนใหม่ หลังจากที่มีการทูลเกล้าฯไปแล้วเป็นเวลา 104 วัน ทำให้นายวิสุทธิ์ ตัดสินใจถอนตัวจากตำแหน่ง ท่ามกลางปมปัญหาที่ยังเถียงกันไม่ตกระหว่างการสรรหาใหม่ กับการให้คุณหญิงจารุวรรณกลับเข้าสู่ตำแหน่งอีกครั้ง เนื่องจากมีกระบวนการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง หวังตัดตอนการตรวจสอบการทุจริต
10. คนดีศรีสภา"พ.อ.สมคิด ศรีสังคม"ส.ว.อุดรธานี
แม้วัย 89 ปี แต่พ.อ.สมคิด ศรีสังคม ยังปฏิบัติหน้าที่ส.ว.อุดรธานี อย่างเข้มแข็ง เช่นการมาประชุมวุฒิสภาอย่างต่อเนื่อง กล้าแสดงความเห็นที่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งยังร่วมตรวจสอบฝ่ายบริหารผ่านเวทีกรรมาธิการคณะต่างๆ แม้บางครั้งจะต้องเดินทางออกต่างจังหวัด โดยเฉพาะกรณีการเดินขึ้นตึกสนามบินสุวรรณภูมิ ถึง 6 ชั้น แต่เจ้าตัวก็ไม่ลดละ นอกจากนี้การเป็น 1 ใน 4 ของวุฒิสมาชิก ที่ยื่นหนังสือไปยังราชเลขาธิการ เพื่อหาข้อยุติปมปัญหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ด้วยจุดยืนที่ชัดเจนโดยไม่คำนึงถึงกระแส ตำแหน่งคนดี ศรีสภา เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ทำงานในสภาและหวังเป็นแบบอย่างให้กับสมาชิกรัฐสภาคนอื่นๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายาสภาปีนี้ เป็นไปอย่างเข้มข้น เพราะมีการประชุมถึง 4 ครั้ง ก่อนจะได้ข้อสรุปออกมา โดยฉายาที่สูสีที่สุดคือ ฉายาสภาผู้แทนราษฎร "ปลอกคอพันธุ์ชิน"กับ"สภานกนางแอ่น"หมายถึง การใช้ปากทำงานซึ่งไปคล้ายกับนกนางแอ่นที่ใช้น้ำลายสร้างรัง ซึ่งในการโหวตครั้งแรก "สภานกนางแอ่น"นำอยู่ 2 คะแนน จึงต้องโหวตใหม่ แต่ผลก็ยังสูสี ทำให้ผู้ที่เสนอฉายาทั้ง 2 ต้องอธิบายถึงคำจำกัดความอีกครั้ง ในที่สุดฉายา"ปลอกคอพันธุ์ชิน" จึงชนะอย่างขาดลอย
ส่วนฉายาของประธานวุฒิสภา มีผู้เสนอและเข้ารอบ 3 ฉายา คือ "ประธานตราช้าง""แดจังก้าน"และ"สุ(ด)ทน" ซึ่งในที่สุดฉายา สุ(ด)ทน เข้าป้ายขาดลอย
ขณะที่ฉายาของผู้นำฝ่ายค้านที่เข้ารอบอาทิ "หล่อไม่เสร็จ" "ทาร์ซานตั้งไข่" และ"ขุนศึกไร้ดาบ" สำหรับดาวเด่น มีผู้เสนอชื่อ ส.ว.และ ส.ว.หลายคน 1 ใน นั้นมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีต ส.ว.กทม.อยู่ด้วย แต่เห็นว่าได้ลาออกจากการเป็นส.ว.ไปแล้ว จึงหันมาเลือกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ แทน โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า การให้ตำแหน่งดาวเด่น ไม่ได้เป็นการตัดสินว่า พฤติกรรมของส.ส.ผู้นั้นดีหรือไม่ดี
ด้านดาวดับที่มอบให้ 3 ส.ส.คือนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายสิทธิชัย กิตติธเรศวร ส.ส.นครนายก พรรคไทยรักไทย ถือ เป็นฉายาแรกที่บรรดาผู้สื่อข่าวลงมติเป็นเอกฉันท์
**"ทักษิณ"กัดฟันรับฉายาน่ารักดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สื่อมวลชน ประจำทำเนียบรัฐบาลได้ตั้งฉายารัฐบาลว่า "ประชาระทม"และนายกรัฐมนตรีเป็น "พ่อมดมนต์เสื่อม"รวมทั้งรัฐมนตรีอีกหลายคน ซึ่งเรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าว ระหว่างไปตีกอล์ฟ กับทีมนักกอล์ฟเยาวชนทีมชาติ ประกอบด้วย วีระดา นิราพาธพงศ์พร นนทยา ศรีสว่าง และ ชินรัตน์ ผดุงศิลป์ ที่สนามกอล์ฟอัลไพน์ รังสิต คลอง 5 ว่า ก็ดี น่ารักดี ส่วนฉายานายกฯ ที่ว่า "พ่อมดมนต์เสื่อม"นั้นก็ดี ดีจริงๆ ดีเนอะ
เมื่อถามว่า นายกฯมนต์เสื่อมจริงหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า แล้วแต่จะคิด สบายๆ อย่าไปคิดอะไรมาก วันนี้รีแล็กซ์ ถ้าถามอย่างนี้เดี๋ยวตีกอล์ฟไม่ถูกลูก วันนี้อยากตีถูกลูก
"วันนี้เป็นวันที่ผมจะตัดสินใจตัวเอง ถ้าผมตีกอล์ฟชนะ 3 คนนี้ ที่มาแข่งกับผม ผมจะเทิร์นโปร เลิกเป็นนายกฯ ไม่แน่ถ้าผมเอาลงได้ทั้ง 3 คนเลย ผมจะเทิร์นโปรแล้ว เพราะอาชีพนี้มันรีแล็กซ์ดี รายได้ก็ดี แต่อาชีพนายกฯเครียด รายได้ก็น้อย"
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าตอนนี้เริ่มเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราต้องดูว่าอาชีพเราดีหรือเปล่า ถ้าเทิร์นโปรได้ วันนี้จะเทิร์นแล้ว เมื่อถามว่าจะไม่เป็นการเทิร์นโปรตอนอายุมากไปหรือ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็โปรเก ไง
ส่วนการไปร่วมงานเคานต์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่นั้น ก่อนเที่ยงคืน จะไปร่วมงานที่พุทธมณฑล จากนั้นจะมาร่วมเคานต์ดาวน์ ที่สนามศุภชลาศัย และกลับไปนอน ส่วนสถานที่พักผ่อนที่จะไปกับครอบครัวนั้น จะไปประเทศสิงคโปร์ ไปเดินเล่นสัก 3-4 วัน และจะกลับมาทำงานในวันที่ 4 ม.ค.49
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ออกรอบตีกอล์ฟเสร็จ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "หลุมสุดท้ายพาร์ 5 ช็อต 3 ผมขึ้นมาออนก่อนเพื่อนเลย แล้วทุกคนก็ออนหมด ปรากฎว่าเบอร์ดี้พัทเป็นคนหนึ่ง ถ้าผมเบอร์ดี้ผมเลิกเป็นนายกฯ แล้วพอดีมันหลุดไป เลยออกพาร์ 3 คน เลยได้เบอร์ดี้หมด เนี๊ยะนะหลุมสุดท้าย ไม่งั๊นเลิกแล้ว เสียดายมือขวามันดันไปนิด เลยเปิดไปตั้งไกล แล้วยังพาร์กลับมาได้อีก แต่ว่าเสียดายมันควรจะเบอร์ดี้แล้วนะ เลยต้องเป็นนายกฯต่อไป"
เมื่อนายกฯพูดถึงตรงนี้ บรรดารัฐมนตรี และผู้ติดตามปรมมือเสียงดังลั่น คิดว่าจะมีคนอื่นเสียดายอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า "ไม่รู้ แต่ผมเสียดาย ไม่งั้นผมเบอร์ดี้แล้วเทิร์นโปรไปแล้ว"
เมื่อถามว่า นายกฯ อ่อนข้อให้หรือไม่นายกฯกล่าวว่าผมตั้งใจเล่นจริงๆนะ ไม่เชื่อลองถามทั้ง 3 คนซิ เบอร์ดี้หมด ซึ่งผมควรเบอร์ดี้หลุมนั้น ไม่ควรพลาด แต่แหมเลย ต้องบอกว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องรอไปอีกสักพัก
ผู้สื่อข่าวรายว่า หลังจากนายกฯให้สัมภาษณ์เสร็จ กลุ่มผู้สื่อข่าวได้มอบส.ค.ส.ให้นายกฯ ซึ่งนายกฯ ยิ้มรับ แล้วบอกว่า ขอบคุณพร้อมกับกล่าวว่า ปีนี้น่ารักมาก ทุกคนในที่นี้น่ารักหมด ทุกคนเลย ยกเว้นบ.ก.