xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณเมินศก.พอเพียง หยันTDRIแค่จิ้งจก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ทักษิณ" เมินปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หยันทีดีอาร์ไอแค่จิ้งจกทัก ฟังได้แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อ สอนมวยทีดีอาร์ไอต้องศึกษาเศรษฐกิจคู่ขนานไม่ใช่มองแค่เรื่องส่งออก ถามกลับถ้าไม่มีเมกะโปรเจกต์กับบาร์เตอร์เทรด จะเพิ่มตลาดและแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างไร ลั่นเศรษฐกิจไทยไม่มีวันซ้ำรอยวิกฤตปี 40 ฟุ้งไทยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนดได้เพราะรัฐบาลชุดนี้ ประกาศจีดีพีปีหน้า 6% หลังสร้างภาพเรียกทีมเศรษฐกิจประชุม เผยจะแถลงนโยบายเศรษฐกิจต่อประชาชนต้นปีหน้า พร้อมเรียกนักธุรกิจสร้างภาพดึงลงทุนเมกะโปรเจกต์อีกรอบ

จากการที่นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ออกมาแนะนำรัฐบาลให้ยึดแนวทางเศรษฐกิจมหภาค ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรัสนั้น เช้าวานนี้ (29 ธ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า แนวคิดของทีดีอาร์ไอนั้นเป็นแนวคิดที่เรียกว่ าEast Asia Economic Model ซึ่งเป็นลักษณะที่เน้นเรื่องการส่งออกเป็นหลัก ถือเป็นการมองมุมเดียว (Single Track ) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกครึ่งเดียว ซึ่งไม่พอ จึงจะต้องมาใช้แนวคิดแบบคู่ขนาน (Dual track) คือการใช้แบบคู่ขนาด 2 ทาง โดยการเน้นเศรษฐกิจภายใน (Domestic Econony) ด้วย เช่น การแก้ปัญหาความยากจน การเพิ่มกำลังผลิตที่จะทำให้ขายเพิ่มมากขึ้น การที่ทีดีอาร์ไอไม่เห็นด้วยกับนโยบายเมกะโปรเจกต์และบาร์เตอร์เทรด จึงอยากถามกลับว่า แล้วเราจะเพิ่มตลาดได้อย่างไร และจะแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างไร ถามว่า ทำไมรัฐบาลชุดนี้จึงไม่ค่อยได้ใช้ทีดีอาร์ไอ คำตอบคือก็เพราะแนวคิดไม่ตรงกันตน

นายกรัฐมนตรีอ้างว่า ไม่ได้บอกว่าทีดีอาร์ไอไม่เก่ง แต่เพียงแต่มีแนวคิดทางเศรษฐกิจไม่ตรงกัน เพราะทีดีอาร์ไอเน้นเรื่องการส่งออก เงินลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งก็ใช่แต่ไม่ใช่ข้างเดียว เพราะเขาไม่ได้ครอบคลุมถึงเศรษฐกิจในประเทศ และเขาไม่ได้เน้นถึงศักยภาพและเศรษฐกิจประเทศของตัวเอง แต่ตนเน้นเรื่องเศรษฐกิจของประเทศเราเองด้วย เนื่องจากเห็นตัวเลขจากหลายประเทศที่มีการส่งออกน้อยกว่าเราแต่เขามีเศรษฐกิจโตกว่าเรามาก เพราะเขาอาศัยเศรษฐกิจในประเทศเป็นตัวช่วยด้วย ซึ่งเป็นการอาศัยทั้ง 2 ทาง

"ทีดีอาร์ไอ ก่อตั้งมานับ 10 ปี แล้วจะดูเรื่อง Single Track อย่างเดียว เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามา ก็ถูกดูถูกว่าการใช้วิธีเศรษฐกิจ 2 ทางจะไม่ เวิร์ค ทำไมจึงไม่เห็นว่าผลสุดท้ายรัฐบาลก็ฟื้นเศรษฐกิจของประเทศได้ สามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้เร็วกว่ากำหนด มีทุนสำรองสูงขึ้น หนี้สินประเทศลดลง อย่างนี้ยังบอกว่าเราเดินเศรษฐกิจไม่ถูกอีกก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ที่ถูกคือเข้าไอเอ็มเอฟอีกรอบจะได้เป็นหนี้เขาอีกครั้ง ธนาคารล้ม อย่างนั้นหรือถูก มันคนละเรื่องกันเขาจะต้องเข้าใจ"

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องของแนวคิดมีความหลากหลายซึ่งก็ต้องฟัง แต่ฟังแล้วไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะรัฐบาลรู้ว่าอะไรที่เป็นตัวเสี่ยง ก็แก้ปัญหาและมีเวลาทำงานทั้งปี ไม่ใช่รอรับโชคชะตา ถ้านอนรอรับโชคชะตาแบบทำงานไปเรื่อยๆ แล้วให้ระบบราชการายงานมาไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นไปตามที่หมอดูเขาทำนาย

"ผมเป็นคนประเภทที่ชอบฝืนดวง เพราะฉะนั้นเขาว่าอะไรเราก็ต้องพยามทำ จิ้งจกทักก็ฟัง แต่เราไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ก็นำมาปรับปรุงเพื่อเป็นการไม่ประมาทในส่วนนั้นเอง"

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจบางคน เขาบอกว่าเอเชียข้างหน้าต้องมองที่”STICK” ซึ่งหมายถึง สิงคโปร์ ไทย อินเดีย จีนและเกาหลี นี่คือเอเชียที่จะเติบโตในอนาคต ตนจึงคิดว่าเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง แต่สื่อบางฉบับใช้ภาษาว่า Luckiest Economy

"luckiest อะไรวะ เศรษฐกิจของเรา โตขนาดนี้ แล้วตอนที่ติดลบเขาเรียกว่าอะไร ผมไม่เข้าใจการใช้คำพูดแบบนี้ แทนที่จะเข้าปีใหม่แล้วจะให้กำลังใจคนเพื่อ เตรียมที่จะสู้เพื่อชีวิตให้ดีขึ้น แต่นี่ทำให้เหี่ยวเสียก่อน แม้ว่าจะยังเหี่ยวไม่มากก็เลยเหี่ยวเลย พร้อมกับหันมาพูดว่าโลกยังศิวิไลซ์อยู่มาก ประเทศไทยยังมีความเจริญรุ่งเรือง โลกไม่ได้เหี่ยวอย่างที่คิด จึงอยากให้กำลังใจทุกคนว่าอย่าไปคิดเช่นนั้น"

"ผมยังเชื่อว่าประเทศไทยในปีหน้าจะดีกว่าปีนี้อีกมาก ในปี 48 เราได้รับเหตุการณ์หนักๆ มามาก เรายังยืนได้เข้มแข็งขนาดนี้ ถ้ารัฐบาลไม่เข้มแข็งจริง ร่วงไปเรียบร้อยแล้ว ปีที่แล้วเราเจอสึนามิ ไข้หวัดนกระบาด ปัญหาภาคใต้ ราคาน้ำมันแพง ภัยแล้วน้ำท่วม และยังเจอประเภทพวกอกหักรุมอีก มันวุ่นวายไปหมด ซึ่งหากรัฐบาลไม่แข็งไม่ตั้งใจทำงาน และไม่มีมาตรการมารับเป็นช่วงๆตลอดจนไม่ออกไปทำงานไปบุกตลาดต่างประเทศรับรองเศรษฐกิจจะไม่เป็นอย่างขนาดนี้หรอก แต่นี่เพราะเราทำเต็มที่สู้กับมัน" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

พ.ต.ท.ทักษิณยกตัวอย่างตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจว่า ตอนต้นปีไม่มีใครคิดว่าจะขยายตัวเท่าปัจจุบัน มีแต่คนทำนายว่าจะเติบโต 3% กว่าๆ ขณะที่สภาพัฒน์ระบุว่า 4.7% และปี 49 จะไม่ต่ำกว่า 4.9%ตนจะพยามทำให้เกิน5% ถ้าเกิน 5% ยังไม่พอ อยากถามว่า นักเศรษฐศาสตร์จะมองตรงไหน เศรษฐกิจมันแย่มันแย่ตรงไหน ตนไม่เข้าใจ แต่ถ้าคนไม่ทำงานเอาแต่นั่งพูดมันแย่แน่นอน เพราะมันไม่มีรายได้ พอทำงานมันก็มีรายได้ ทีดีอาร์ไอจะไปรู้ได้อย่างไร ทีดีอาร์ไอไม่ใช่รัฐบาล

นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า การส่งออกขยายตัวสูง แต่มีปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จากราคาน้ำมันแพงที่ขึ้น โดยต้นทุนน้ำมันแพงกว่าปีก่อน 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามคาดว่าจะขาดดุลฯที่ 2% ของจีดีพี ซึ่งสามารถรับได้ เนื่องจากทุนสำรองระหว่างประเทศยังสูงถึง 52,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีเงินฝากในต่างประเทศมากกว่าเงินกู้ และอยู่ในสถานะที่เป็นประเทศผู้ให้กู้

**จัดฉากประชุมทีมศก.ก่อนฟุ้งจีดีพีปีหน้า6%

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า บ่ายวานนี้ (29 ธ.ค.) ว่า จะประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อตัวเลขการเจริญเติบโตของประเทศ เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ นายทนง พิทยะ รมว.คลัง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯและรมว.อุตสาหกรรม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ สภาพัฒน์ นายวีระพงษ์ รามางกูร อดีตรมว.คลัง นายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง และนางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวภายหลังการประชุมกว่า 2 ชั่วโมงโดยแสดงความมั่นใจว่า ปัญหาเศรษฐกิจปี 49 ไม่มีความหนักใจเท่าไร และคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเยอะจากปีนี้ ปัญหาที่จะต้องขอร้องสื่อมวลชน คือ เรื่องของการสร้างความมั่นใจว่าหากสังคมมีความมั่นใจ เศรษฐกิจจะไม่มีปัญหา เพราะโดยปกติเท่าที่ดูปีหน้าจะถือว่าใช้ได้ และรัฐบาลจะขับเคลื่อนโยบายต่าง ๆที่ประกาศไว้อย่างเต็มที่ และหากเคลื่อนต่อไปจะทำเศรษฐกิจโตช่วงระหว่าง 5-6 % ของจีดีพี

ส่วนนโยบายที่ที่มั่นใจในตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น ตนเห็นว่า เราใช้นโยบาย 2 แนวทาง คือ เศรษฐกิจในประเทศและนอกประเทศ โดยเฉพาะผลักดันการส่งออก เพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศ และพัฒนาด้านการท่องเที่ยว ถือเป็นเรื่องหลัก โดยจะมีโปรเจกต์ประกอบกับส่วนนี้อีกมาก การผลักดันการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งครึ่งปีหลังของปี 2549 จะมีการผลักดันโครงการเมกกะโปรเจกต์ที่จะเข้าสู่การปฏิบัติ และจะไม่มีปัญหา ด้านการส่งออกคงจะพยายามตั้งเป้าไว้ที่ 15% แต่ยังไม่กล้าที่จะยืนยันตัวเลขนี้ นอกจากนั้นยังจะเร่งตลาดเอฟทีเอ ตลาดใหม่

"กรณีที่ทีดีอาร์ไอเป็นห่วงว่าโครงการเมกะโปรเจกต์มีการเร่งรัดเร็วเกินไป จริง ๆ แล้วไม่ได้เร่งมาก เพราะระเบียบข้าราชการในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง หรือประมูลไม่เร็วตามที่เราอยากเห็นแต่อย่างไรเราก็จะเร่ง"

สำหรับการลงทุนภาคเอกชน รัฐบาลจะพยายามสร้างความเชื่อมั่น รวมทั้งจะลงทุนในส่วนของภาครัฐให้มากขึ้นกว่าปีนี้ รวมทั้งตนจะเปิดเวทีพูดคุยกับนักธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนโยบายของรัฐบาล

**แจงเพิ่มเป้าจีดีพีเพราะลุยเมกะโปรเจกต์

นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี จะให้ข้อมูลนโยบายเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2549 ต่อประชาชน หลังปีใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคม 2549 ทั้งนี้ จะเชิญนักธุรกิจทั้งสภาอุตสากรรม สภาหอการค้า สมาคมธนาคารไทย และนักธุรกิจที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจไทย มาพูดคุยถึงแผนงานนโยบายภาครัฐเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศ โดยหลังจากปีใหม่ไปแล้ว ทุกหน่วยงานจะเข้ามารายงานรายละเอียดของแผนในแต่ละเรื่องให้มากขึ้น โดยเฉพาะในที่ประชุมได้ยกตัวอย่างเรื่องการลดรายจ่ายว่าจะต้องหาวิธีการอะไรบ้าง เช่นการประหยัดพลังงาน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และจะเพิ่มรายได้อย่างไรในอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งการขยายโอกาสโดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนให้มากขึ้น ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำรายละเอียดกลับมารายงานต่อนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

"ที่นายกรัฐมนตรีระบุในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ว่าจีดีพีปี 49 จะอยู่ที่ 4.5% แต่หลังจากประชุมกับหน่วยงานเศรษฐกิจกลับระบุในช่วงเย็นว่า จีดีพีปี 49 จะอยู่ที่ 5-6% เพราะเราจะเน้นภาคการลงทุนของเอกชนต่างประเทศในโครงการเมกะโปรเจกต์ เขาเห็นความเติบโตด้านเศรษฐกิจไทย ที่สามารถจะเคลื่อนย้ายทุนเข้ามาไทยได้อย่างมั่นใจ รวมทั้งเอกชนในประเทศไทยที่เขาจะเห็นความชัดเจนเรื่องของเสถียรภาพในการเงินการคลัง การระดม การออกบอนด์ก็จะมีโอกาสทำได้มากขึ้น" โฆษกฯ กล่าว

สำหรับปัจจัยภายนอกต่างประเทศนั้น ที่ประชุมได้วิเคราะห์กันไม่มีปัญหาที่หนัก แต่จะต้องมีการติดตามเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ถือเป็นตลาดการส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย ส่วนเรื่องบาร์เตอร์เทรดโดยเฉพาะการเปรียบเทียบเรื่องราคากับเทคโนโลยีนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุชัดเจนว่า หากเทคโนโลยีดี และราคาถูก ถ้าจำเป็นต้องชำระเป็นเงินสดก็ต้องทำ ไม่ใช่หมายความว่าเราจะต้องเรียกร้องเงื่อนไขในบาร์เตอร์เทรด ขณะเดียวกันถ้าเทคโนโลยีดีและราคาถูกก็ถือเป็นเงื่อนไขที่ดียิ่งขึ้น

นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้การบ้านหน่วยงานต่างๆ ไปเร่งรัดนโยบายปี 2549 ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ประหยัดพลังงาน หันมาใช้พลังงานทดแทน การส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาด้านท่องเที่ยว และเสริมสร้างกระบวนการสร้างรายได้สินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ มั่นใจว่าภาคการลงทุนของไทยในปี 2549 จะมีทิศทางที่สดใส พร้อมกันนี้เชื่อว่าแนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจโลกจะไม่ชะลอตัวคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-4% ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันปี 2549 จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าบาร์เรลละ 50 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากในปี 2548 เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงสุดแล้ว แต่ทั้งนี้ยังต้องระมัดระวังเรื่องการใช้พลังงานให้เกิดการประหยัดมากขึ้นด้วย

นายวิเศษ จูภิบาล รมว.พลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้เท่าที่ดูราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มนิ่งแล้ว มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาทั้งปีไทยสามารถรณรงค์ประหยัดพลังงานได้ถึง 33.5 หมื่นล้านบาท ฉะนั้น เรื่องราคาน้ำมันจึงไม่น่าเป็นห่วง แต่นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ส่งเสริมนโยบายการใช้พลังงานทดแทนให้มาก

******
ปชป.เตือนทักษิณ'หยุดพูดเกินจริง'
แฉเล็งเงินปกส.อุ้มแบงก์ทหารไทย


วานนี้ (29 ธ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจของประเทศว่า ในปี 2548 ที่ผ่านมา รัฐบาลพูดเกินจริง และฝืนทำเกินตัวอยู่หลายครั้ง เพราะฉะนั้นในปี 2549 นี้รัฐบาลจึงควรหยุดพูดเกินจริง และอย่าฝืนทำเกินตัว รัฐบาลต้องยอมรับความจริง สถานะการเงินถึงขั้นวิกฤตก่อหนี้ยาว ต้องใช้วิธีหมุนหนี้ กู้ใช้คืน รักษาสถานะทางบัญชี พร้อมกันนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ออกแถลงการณ์ของพรรคฯเป็นรายงานสรุปดังนี้

ประการที่ 1.ภาวะการเงินประเทศวิกฤติให้รับความจริงรัฐบาลฝืนหลอกตัวเองพาล่มจมตั้งแต่รากหญ้า คนชั้นกลาง ภาคธุรกิจ เว้นกลุ่มชิน และพวกพ้อง ดังนี้

เดือน ต.ค. 48 ขาดดุลเงินสดมากเป็นประวัติการณ์สูงถึง 5.3 หมื่นล้านบาท-ดุลเงินสด 2548 เหลือเพียง 1.68 หมื่นล้านบาท(1.1 % ของรายรับ)-เงินคงคลังถูกใช้ไปถึง 42.39 ล้านบาท -เดือนตุลาคม 48 เงินคงคลังเหลือ 5.2 หมื่นล้านบาท (ปกติควรมี 3.4 แสนล้านบาท สำรอง 60 วัน) -2548 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลต่อเนื่อง หลายเดือน คือ มกราคมติดลบ(ลบ 36,477 ล้านบาท) และเดือนมิถุนายน ติดลบ(-62,788 ล้านบาท) -ทำให้ทั้งปี 2548 ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบสูงถึง 163,301 ล้านบาท ทั้งที่รัฐบาลคุยมาตลอดว่าเก็บภาษีเกินเป้า ตั้งงบประมาณ 2548 สมดุลครั้งแรกปี 2549 ก็ตั้งสมดุล แต่ทำไมต้องกู้เงินในรูปตั๋วสัญญาใช้เงิน 4.5 หมื่นล้านบาท และตั๋วเงินคลังอีก 80,000 ล้านบาท ชี้ว่าภาวะการเงินของประเทศมีปัญหา สู่ขั้นวิกฤต เพราะใช้เงินเกินตัว และงบประมาณไม่สมดุลจริง เครื่องชี้คือ ขาดดุลเงินสด และเงินคงคลังเหลือน้อย ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลต่อเนื่อง

ประการที่ 2. ก่อหนี้ยาวถึงปี 2564 ประชานิยมเหตุจมลึกอยู่กับหนี้ ปี 2548 หนี้สาธารณะ 3.3 ล้านล้านบาท(ปี 2543 มีเพียง 8.8 ล้านล้านบาท ปี 2547 หนี้สาธารณะ 3.12 ล้านล้านบาท) รัฐบาลทักษิณ ก่อหนี้เฉพาะที่เป็นพันธบัตร 1.1 ล้านล้านบาท มีระยะไถ่ถอนคืนหนี้ตั้งแต่ปี 2545 – 2564 ย้ำถังแตก หนี้ท่วมจริง ต้องกู้ผ่อนหนี้ เพื่อบรรเทาสถานะบัญชี

ปีงบประมาณ 2549 : รัฐบาลทักษิณกู้ในรูปพันธบัตรเมื่อปีงบประมาณ 2546 ครั้งที่ / อายุ 3 ปี ดอกร้อยละ 2 ต่อปี ครบกำหนดชำระ 24 มกราคม 2549 จำนวน 15,000 ล้านบาท แต่ตั้งงบประมาณชำระคืนได้เพียง 5,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 10,000 ล้านบาท จ่ายดอกไปก่อน นี่เป็นเพียงรายการเดียวก็ใช้หนี้ไม่หมดแล้ว ต้องกู้ต่อใช้วิธีหมุนหนี้จ่ายดอกส่อถึงภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง

หนี้ที่รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณจ่ายในอนาคต มียอดหนี้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 9.7 แสนล้านบาทในปี 2543 เป็น 1.83 ล้านล้านบาทในปี 2548 (มากกว่างบเมกะโปรเจกต์ ทั้งหมด 1.7 ล้านล้านบาท)

ตัวอย่าง : กู้ใช้หนี้เดือน พฤศจิกายน 2548 ครบกำหนดใช้หนี้ 50,000 ล้านบาทรัฐบาลต้องกู้ในรูปพันธบัตรและตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อใช้หนี้ดังกล่าว เหตุผลที่รัฐบาลก่อหนี้อนาคตไว้มาก เพราะใช้งบแผ่นดินไปกับโครงการประชานิยมต่าง ๆ เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค โครงการเหล่นนี้ล้วนมีปัญหาเป็นภาระที่รัฐบาลรับเป็นหนี้ เช่น หนี้ที่เกิดจากกองทุนหมู่บ้านโครงการเดียว ทำให้รัฐบาลเป็นหนี้เดือนกันยายน 2548 สูงถึง 40,492.13 ล้านบาท แสดงว่า โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองล้มเหลวมีปัญหาการชำระคืน

ประการที่ 3.รัฐบาลใช้เงินแผ่นดินทุกแหล่ง แคะทุกกะปุกโครงการประชานิยม รัฐบาลผลักให้สถาบันการเงินของรัฐรับผิดชอบเพราะหากเป็นหนี้ก็จะตกอยู่ในบัญชีของสถาบันการเงินเหล่านั้น เช่น ธนาคารออมสินมีเงินให้กู้ยืมตามนโยบายประชานิยม ประมาณ 2.8 แสนล้านบาท ธกส. มีเงินให้กู้ยืมประมาณ 3.9 แสนล้านบาท

"ขณะนี้มีความพยายามนำเงินจากกองทุนประกันสังคม ซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยกว่า 20,000 ล้านบาทนำไปใช้ในโครงการประชานิยมโคล้านตัวและนำไปใช้หนี้ครูกว่า 20,000 ล้านบาทชี้ว่าไม่สามารถตั้งจ่ายจากงบประมาณแผ่นดินได้ เพราะถูกจำกัดด้วยหนี้สาธารณะและรายจ่ายประจำที่จำเป็นจึงใช้หนี้นอกงบประมาณเพื่อสนองนโยบายประชานิยม"

นายองอาจกล่าวด้วยว่า การที่พรรคฯ เสนอตัวเลขเพื่อชี้ให้เห็นภาพรวมที่เป็นจริงของสถานะเศรษฐกิจ การเงินของประเทศที่เป็นจริง เพื่อเตือนสติรัฐบาลจะเนรมิตรโครงการอะไรต้องอยู่บนพื้นฐานฐานะที่เป็นจริง หนี้สาธารณะที่เป็นอยู่ขณะนี้มากและยาวเกินอายุ นายกฯทักษิณ จะชดใช้คืนได้ประกอบกับรากหญ้าก็ตกอยู่ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น

"พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีเจตนาทำให้ตื่นตกใจหรือดิสเครดิตรัฐบาลแต่ถ้าไม่สะท้อนความจริงรัฐบาลจะนำพาล่มจมมากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักเห็นตรงกันว่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้จะล่มทั้งรากหญ้า ถึงภาคธุรกิจยกเว้นกลุ่มชินวัตร และพวกพ้อง จึงอยากฝากเตือนรัฐบาลให้บริหารประเทศบนพื้นฐานของความจริงและอย่าฝืนทำเกินตัวเพราะจะก่อให้เกิดปัญหาแก่ประเทศชาติในระยะยาว"
กำลังโหลดความคิดเห็น