xs
xsm
sm
md
lg

ทางเลือกพรรคการเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ณ วันนี้ การเมืองของประเทศไทยได้ก้าวมาถึงขั้นที่พรรคการเมืองต่างๆจะต้อง “เลือกทาง”ของตนเองครั้งใหญ่ และครั้งสำคัญ ว่าจะเลือกดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ยึดถือผลประโยชน์กลุ่มทุนเป็นที่ตั้ง หรือยึดถือผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนเป็นที่ตั้ง

การเลือกที่ถูกต้อง หมายถึงการอยู่รอดและพัฒนาเติบใหญ่ของพรรคการเมืองหนึ่งๆ ตรงกันข้าม การเลือกที่ผิด ย่อมหมายถึงจุดจบของพรรคการเมืองนั้นๆ

ผู้เขียนมีเหตุผลสนับสนุนข้อวินิจฉัยข้างต้นดังต่อไปนี้

เท่าที่ผู้เขียนสามารถประมวลได้ สังคมโลกยุคปัจจุบัน ทั้งโลกกำลังมุ่งสู่ระยะการสร้างสรรค์สันติภาพและการพัฒนา การเมืองการปกครองของมวลมนุษยชาติได้ก้าวหน้ามาถึงขั้นของความเป็นระบอบ“ประชาธิปไตยเพื่อประชาชน”แล้ว ประเทศใดสามารถดำเนินแนวนโยบายบริหารประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ก็จะประสบความสำเร็จรอบด้าน ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุข เกิดความเชื่อมั่นอย่างยิ่งยวดในอนาคตของตนเอง ทั้งนี้ โดยไม่จำกัดว่า ประเทศนั้นๆ ดำเนินการปกครองในระบอบทุนนิยมหรือสังคมนิยม

ทั้งหมด เป็นผลจากการเรียนรู้ของมนุษยชาติโดยตรง จากการขับเคลื่อนของสังคมโลกที่เป็นจริง จึงปรากฏมีหลายประเทศทั้งที่ดำเนินการปกครองในระบอบทุนนิยมและสังคมนิยม พรรคการเมืองที่ทำหน้าที่บริหารประเทศ เกิด “ดวงตาเห็นธรรม” รู้แจ้งและรู้ทัน สามารถจับกฎเกณฑ์พัฒนาการของมนุษยชาติ กำหนดทิศทางและแนวนโยบายบริหารประเทศได้อย่างสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ดังกล่าว “ก้มหน้าก้มตา” ระดมสติปัญญาและสรรพกำลังทั้งปวง เข้าไปในการสร้างสันติภาพและพัฒนาประเทศ เพื่อสนองตอบความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในทุกขั้นตอน

หลักๆคือ ต่อภายใน ดำเนินการปฏิรูประบบ กลไก ให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนของกระบวนการพัฒนามากที่สุด มีอุปสรรคน้อยที่สุด ต่อภายนอก ดำเนินความสัมพันธ์กับนานาประเทศด้วยแนวนโยบาย “วิน-วิน” ขยายความร่วมมือในด้านต่างๆ เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาให้ปัจจัยภายในเชื่อมโยงส่งเสริมกับปัจจัยภายนอก ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของประเทศไทยให้สามารถดำเนินไปได้อย่างดียิ่ง อย่างรอบด้านและอย่างยั่งยืน

ทั้งหมดนั้น ได้ดำเนินไปในบริบทของกระบวนการขับเคลื่อนของสังคมสารสนเทศ หรือสังคมความรู้ของมวลมนุษยชาติ การระเบิดใหญ่ขององค์ความรู้ใหม่ และวิทยาการไฮเทค คือปัจจัยหล่อเลี้ยงสำคัญ ที่นำไปสู่การเกิดผลพวงรูปธรรมของแนวนโยบายทันยุคทันสมัยในด้านต่างๆ

อีกนัยหนึ่ง รัฐบาลหรือคณะผู้บริหารของประเทศเหล่านั้น เข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์องค์ความรู้ใหม่ของมวลมนุษยชาติ และวิทยาการยุคใหม่ ในการพัฒนาประเทศในแต่ละขั้นอย่างถูกต้อง เกิดมรรคผลอย่างแท้จริง

ทว่า ก็ยังมีอีกมากมายหลายประเทศ ทั้งที่ปกครองในระบอบทุนนิยมและสังคมนิยม ไม่สามารถทำได้เช่นนั้น ยังคงยักแย่ยักยัน มีการดึงถ่วงกันไปมาในระหว่างพลังอำนาจต่างๆในสังคม พากันเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะแห่งความสับสนวุ่นวาย ล้าหลังยากจน ประชาชนประสบความเดือดร้อน ต้องดิ้นรนหาทางออกเฉพาะตัวกันไปคนละทิศละทาง ทั้งนี้เพราะขาดพรรคการเมือง “รู้แจ้ง” ทำหน้าที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ สังคมขาดแกนนำหรือ “กองหน้า”ทำหน้าที่สามัคคีพลังทั้งชาติดำเนินการปฏิรูปและพัฒนา พรรคการเมืองที่ทำหน้าที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ ไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน ไม่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ดูเหมือนประเทศไทยเราจะจัดอยู่ในกลุ่มประเทศประเภทหลังนี้ เพราะจนถึงบัดนี้ ยังไม่ปรากฏมีพรรคการเมืองบริหารประเทศที่ใช้อำนาจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลดีต่อประเทศชาติและผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

ตรงกันข้าม พอได้อำนาจเบ็ดเสร็จ ก็จ้องกอบโกยผลประโยชน์เข้ากลุ่มเข้าพวกอย่างตะกละตะกลาม

เมื่อเกิด “ภาพ”รวบยอดของอารยธรรมทางการเมืองของมวลมนุษย์เช่นนี้ รวมถึงการตระหนักรู้ด้วยประสบการณ์ตรงของตนเอง เช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป ถึงการใช้อำนาจของพรรคการเมืองกลุ่มทุน จึงจำเป็นที่ผู้เขียนจะต้องนำเสนอช่องทางหรือ “มรรค”สำหรับการขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่อนาคต เพิ่มเติมจากที่เคยนำเสนอมาแล้วหลายครั้งหลายหน ถึงความจำเป็นที่คนไทยจะต้องร่วมมือกัน “สลายปม”ปัญหาหรืออุปสรรคของการพัฒนาประเทศที่ดำรงอยู่

พูดแบบไม่อ้อมค้อมก็คือ ประเทศไทยจะต้องมีพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนทำหน้าที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ พัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองรอบด้าน โดยถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง

จะทำกันอย่างไร ก็ต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำ โดยไม่จำกัดว่า เป็นใคร มาจากไหน ขอให้เป็น “คนไทย”ด้วยกันก็พอ

ณ ตรงนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอในฐานะนักคิดอิสระ เพื่อแสวงหา “จุดร่วม”ในการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาทางการเมืองของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนของกระบวนการพัฒนาของสังคมไทยในทุกๆด้าน อย่างแท้จริงและอย่างยั่งยืน

นั่นคือ ในฐานะที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนของกระบวนการพัฒนาทางสังคมไทยในทุกๆด้าน จำเป็นจะต้องดำเนินไปในกรอบของการปฏิรูประบบ กลไก ต่างๆที่ดำรงอยู่ให้เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ เพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนอย่างต่อเนื่องยาวนาน

มิใช่ดำเนินการปฏิวัติใดๆทั้งสิ้น !

หากจะมีการ “ปฏิวัติ”เกิดขึ้น ก็คงจะเป็นไปในลักษณะของ “การปฏิวัติด้วยการพัฒนา” การพัฒนาอย่างรอบด้าน ด้วยการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง จึงจะนำไปสู่การ “ปฏิวัติ”ทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีพร้อมในบั้นปลาย

อีกนัยหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงใดๆในประเทศไทยนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในรูปของการปฏิรูปและพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยสติปัญญาและความร่วมแรงร่วมใจกันของคนไทยเป็นหลัก กำหนดให้ทุกอย่างดำเนินไปในครรลองของสันติวิธี ด้วยความพร้อมแห่งขันติธรรม จึงจะสอดคล้องกับผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ในยุคสมัยที่สังคมโลกกำลังแข่งขันกันปฏิรูปและพัฒนา

การใช้ความรุนแรง การใช้กำลัง การใช้อาวุธ การล้มล้างกันในหมู่คนไทย จะด้วยเจตนาหรือจากสาเหตุอันใด ไม่ว่าจากฝ่ายไหนก็ตาม รังแต่จะเป็นการทำลายโอกาสของคนไทยเอง และเป็นช่องทางให้อำนาจนอกประเทศเข้าครอบงำ กำหนดชะตากรรมของคนไทยไปอีกนานเท่านาน

ดังนั้น การปฏิรูปและพัฒนา ดำเนินการพัฒนาและปฏิรูปอย่างรอบด้าน โดยถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง จะต้องถูกยกขึ้นเป็น “วิสัยทัศน์ร่วม”ของคนไทย และเป็น “ภารกิจแก่นแกน” ของพรรคการเมืองผู้ทำหน้าที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ

สรุปคือ ประชาชนชาวไทยจะต้องพร้อมใจกันสนับสนุนพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ดำเนินนโยบายถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง เพื่อใช้ผลสำเร็จของการพัฒนาเป็นปัจจัยใหม่ๆในการขับเคลื่อนกระบวนการปฏิรูประบบ กลไกต่างๆในวงกว้างยิ่งๆขึ้น

การปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง และอย่างทั่วถึง จึงจะเกิดมรรคผลลึกซึ้งไม่แพ้การปฏิวัติ และดียิ่งกว่าตรงที่ไม่ต้องทำลาย ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อคนไทยด้วยกัน !

รูปแบบหรือ “แพ็ตเทิร์น”ของกระบวนการขับเคลื่อนทางการเมืองของประเทศไทย น่าจะเป็นไปดังนี้

การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนได้รับการสนับสนุนจากประชาชนด้วยวิธีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เข้าเป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารประเทศ กำหนดแนวนโยบายสนองประโยชน์แก่ปวงชนชาวไทย มุ่งบริหารประเทศที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ด้วยการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจตลอดไป

เห็นได้ชัดว่า รูปแบบหรือ “แพตเทิร์น”ดังกล่าว หลุดพ้นไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง กระนั้น ในการขับเคลื่อนของกระบวนการดังกล่าวอย่างเป็นจริง หากไม่มี “ตัวแปร”สำคัญคือ พรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนในนาม “พรรคประชาชนรู้แจ้ง”ที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้แล้วก่อนหน้านี้ ก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองของประเทศไทย ทุกอย่างก็จะดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ไม่ทันกับความเรียกร้องต้องการของประชาชน หรือหากมีการยับยั้งขัดขวางหรือทำลายโอกาสการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองดังกล่าวด้วยอำนาจป่าเถื่อน ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง เกิดความจำเป็นที่จะต้องใช้ความรุนแรงที่ปฏิวัติ ซึ่งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดของประชาชนชาวไทยในสังคมโลกยุคปัจจุบัน

หมายถึงว่า ณ เวลานี้ คนไทยเราจะต้องช่วยกันสนับสนุนการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาทางการเมืองของไทยและสังคมไทยโดยรวม

การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองนี้ จะทำให้เราก้าวข้ามวิกฤตต่างๆไปได้ แล้วก้าวเข้าสู่ระยะของการพัฒนาสร้างสรรค์ประเทศไทยไปสู่ความเจริญอย่างแท้จริง อย่างรอบด้าน และอย่างยาวนาน

ความไม่รู้หรือ “มืดบอด”ทางปัญญา ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้เท่าทัน ในกระบวนการพัฒนาของการเมืองโลก ในบริบทที่สังคมโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ของกลุ่มอำนาจตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุนทั้งเก่าและใหม่ในสังคมไทย คือสาเหตุเดียวที่จะทำให้เกิดสภาวะวิกฤตในกระบวนการพัฒนาทางการเมืองของประเทศไทย ดังที่ปรากฏให้เห็นบ้างแล้วจากคำพูดและการกระทำของนักการเมืองกลุ่มแกนนำพรรคไทยรักไทย

ตรงกันข้าม ความรู้แจ้งรู้ทันของประชาชนชาวไทย และการตระหนักถึงผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศชาติและประชาชนชาวไทยด้วยกัน ในหมู่ผู้รู้ในสังคมระดับสูง และในหมู่เจ้าหน้าที่ราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน มีความเป็นไปได้ที่จะนำไปสู่การกำเนิดขึ้นของพรรคการเมืองประชาชนรู้แจ้งแห่งประเทศไทย พรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ยึดมั่นในผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ทำหน้าที่เป็นแกนนำหรือ “กองหน้า”ประชาชนชาวไทย ประกาศนโยบายสามัคคีพลังคนไทยทุกหมู่เหล่า ดำเนินการปฏิรูปและพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง

การที่ผู้เขียนสรุปเช่นนี้ เพราะเชื่อมั่นในพลังขับเคลื่อนของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ในยุคสมัยแห่งสันติภาพและการพัฒนา เชื่อมั่นในพลังตื่นรู้ตลอดจนความปรารถนาดีร่วมกันของคนไทยในทุกระดับชั้น ทุกวงการ และทุกสาขาอาชีพ

ขอเพียงแต่ให้มีพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนเกิดขึ้น ทำหน้าที่เป็นแกนนำหรือ “กองหน้า”ของประชาชนชาวไทย สามารถสามัคคีพลังรวมใจได้อย่างกว้างขวางที่สุด พรรคการเมืองเช่นว่านี้ก็มีโอกาสได้รับชนะในการเลือกตั้ง ก้าวขึ้นเป็นรัฐบาล ทำหน้าที่ใช้อำนาจบริหารประเทศชาติ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ชาติ นำความผาสุกมาสู่ประชาชนชาวไทย

นำประเทศไทยพ้นจากวังวนแห่ง “วัฏฏะ” ก้าวไปบนเส้นทางแห่ง “วิวัฏ”ได้อย่างแท้จริง

อีกนัยหนึ่ง มีแต่พรรคการเมืองเช่นนี้เท่านั้น ที่จะสามารถนำประเทศไทยและคนไทยหลุดพ้นจาก “ทุกข์” เกิดความผาสุกถ้วนหน้าได้เป็นขั้นๆ

ทั้งหมดที่ผู้เขียนนำเสนอมานั้น ไม่ได้หมายถึงว่า จะปิดกั้นโอกาสของพรรคการเมืองอื่นๆ ในการ “ปฏิวัติ”ตนเอง จากพรรคกลุ่มทุน ตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุน ไปเป็นพรรคตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน แม้แต่นิดเดียว

ตรงกันข้าม กลับหวังและเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้สำเร็จในระดับใดระดับหนึ่ง ตามกฎแห่งการแข่งขันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง จะมีส่วนสร้างคุณูปการครั้งใหญ่ ให้แก่การขับเคลื่อนของกระบวนการพัฒนาทางการเมืองของประเทศไทย ให้ก้าวรุดหน้าไปอยู่ในอันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว !

จากความเป็นผู้ตาม จะกลายเป็นผู้นำ ที่สังคมโลกต้องจารึกและศึกษาเรียนรู้
กำลังโหลดความคิดเห็น