"ทักษิณ" อ้างถูกอัดน่วมทั้งปี ขอใช้ถ้อยคำรุนแรงส่งท้ายปี ลั่นผูกคอตายดีกว่าให้ถอย ด้าน "สมัคร"หนุนนายกฯอัด "สนธิ"ขณะที่นักจิตวิทยา ระบุเป็นพวกเศรษฐีก้าวร้าวประชาชนต้องง้อ แถมแยกตัวเองไม่ออก เป็นนายกฯหรือนายทักษิณ แนะ พบจิตแพทย์ ฟื้นฟูจิตใจ อภิสิทธิ์ เตือนเลิกก้าวร้าว พูดตรงไม่จำเป็นต้องหยาบคาย "องอาจ" อัด "แม้ว"สติแตก สะท้อนจิตสำนึกไม่เคารพการตรวจสอบ "วิทยา"เหน็บรัฐบาลย้อนรอยปรากฎการณ์ "หมาจะตายเห็บหมัดกระโดดหนี" ลูกพรรคจ้องถล่ม แถมรัฐบาลถังแตก
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าช่วงเทศกาลปีใหม่ที่หยุดยาว กำลังดูอยู่ว่าหากภาคเหนือยังหนาวอยู่ ในวันที่ 30-31 ธ.ค.ก็จะไปแจกผ้าห่มให้ชาวบ้าน ที่เชียงใหม่ เชียงราย และกลับมากรุงเทพฯ ส่วนวันที่ 11 ม.ค. จะขอพักผ่อนกับครอบครัว ส่วนที่มีข่าวว่าจะเดินทางไปประเทศอังกฤษนั้น คงไม่ถึงขนาดนั้น ขอพักผ่อนสัก 3-4 วัน ปี 2548 เป็นปีที่มีเรื่องเยอะ
ผู้สื่อข่าวถามว่าตกลงไปจะพักผ่อนที่ต่างประเทศหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ยังไม่แน่ ขอพักบ้าง จะได้พักด้วยกัน ส่วนงานเคาน์ตดาวน์ปีใหม่คิดว่าคงไม่ไปไหน จะมอบให้คนอื่นไปแทน
"ผมแก่แล้ว เคาน์ดาวน์มากก็เหี่ยว"
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมาเห็นนายกรัฐมนตรีสู้สุดฤทธิ์ ในการพูดในงาน"นายกฯพบแท๊กซี่" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ที่พูดอย่างนั้น เพราะต้องการให้รู้ว่าต้องยึดระบบ แต่การถอยก็เท่ากับการไม่ยึดระบบ และไปถอยให้ใครก็ไม่รู้ ถ้าถอยอย่างนั้นเอาเชือกผูกคอตายดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีคนสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นทำไมจึงพูดด้วยถ้อยคำรุนแรง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เป็นการส่งท้ายปีเก่า โดนอัดมาตั้งเยอะ ทั้งปีแล้ว น่วมเลย
**"สมัคร"หนุน"ทักษิณ" ด่า"สนธิ"
ด้าน นายสมัคร สุนทรเวชกล่าวในรายการ "เช้าวันนี้...ที่เมืองไทย" ทาง สถานีโทรทัศน์ ททบ.ช่อง 5 สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ออกมาด่ากลับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร โดยกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว จะยอมให้ถูกด่าอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร เปรียบเหมือนหนังดังเรื่อง Star Wars ตอน The Empire Strikes Back ซึ่งถ้าหากเป็นนายกฯ ก็จะทำแบบเดียวกัน
นายสมัคร ยังกล่าวชื่นชม นายภูมิธรรม เวชยชัย รมช.คมนาคม และรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ที่จะฟ้องกลับนายสนธิ โดยกล่าวว่าเป็นการดี ต้องทำอย่างนี้จึงจะถูก และยังท้านายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.ว่าหากจะขอจองใช้พื้นที่สวนลุมพินี ทุกวันพฤหัสฯ เพื่อที่จะด่าฝ่ายค้านบ้าง จะได้หรือไม่
**นักจิตวิทยาแนะ"ทักษิณ"พึ่งจิตแพทย์
น.พ.วัลลภ ปิยมโนธรรม นักจิตวิทยาหัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) กล่าวถึงการใช้คำรุนแรงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า คำพูดของนายกฯ ส่อถึง 5 เจตนาคือ 1. คิดว่าตัวเองทำดีให้กับประเทศที่สุดแล้ว แต่กลับถูกด่าอีก 2. ทวงบุญคุณ เช่นการกล่าวถึงการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ได้ผล ซึ่งนายกรัฐมนตรีภูมิใจในผลงานนี้มาก และ 3. คิดว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีที่สามารถก้าว ไปอยู่ในระดับนานาชาติ และไม่เคยมีนายกฯคนไหนทำแบบนี้ได้ 4.คิดว่าตัวเองก็อยู่ได้แบบสบายๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นนายกฯ เพราะรวยอยู่แล้ว และ 5. แสดงให้เห็นว่าตัวเองมีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่มีทาง ยุบสภาฯหรือรัฐบาลไม่ล้มเป็นอันขาด
น.พ.วัลลภกล่าวว่า การพูดว่า มีคนไปเห่าที่สวนลุมพินี นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามแสดงให้เห็นว่าขณะนี้ไม่แคร์ใครทั้งนั้น ต่อให้รัฐบาลล้มลงไปจริงๆ หรือประเทศไม่ต้องการให้เป็นนายกฯ ต่อไปอีกก็ไม่แคร์อีกแล้ว ชาวบ้านเองต้องเป็นฝ่าย ที่มาง้อให้เป็นนายกฯ ซึ่งถือว่าเป็นการเล่นเกมกับสังคมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมา ก็เคยมีมาแล้ว คือกรณีการพูดที่ จ.นครสวรรค์ว่าจะดูแลคนที่เลือก พรรคไทยรักไทยเป็นพิเศษ ส่วนคนที่ไม่เลือกเอาไว้ทีหลัง แต่ตอนนั้นพลาด จึงทำให้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่ครั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะส่งสัญญาณว่าตัวเองรู้ว่ากำลังมีคนจ้องล้มรัฐบาลอยู่ เพราะประเมินแล้วว่าขณะนี้ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำประเทศไทยเท่าตัวเองแล้ว
"สถานการณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลในขณะนี้ถ้าไม่ใช้หลักจิตวิทยา เข้ามาช่วยให้มากกว่านี้ คงแย่แน่ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณเล่นการเมืองมากเกินไป แต่กลับลืมเล่นการเมืองกับคนใกล้ตัว ไม่ยอมเข้าหาผู้ที่ตัวเองมองว่าเป็นศัตรู ให้เหมือนกับว่าตอนนี่มาติดต่อนายอานันท์ (ปันยารชุน ) มาเป็นประธาน กอส. หลังจากนายอานันท์ วิจารณ์การแก้ปัญหาภาคใต้บ่อยครั้งเหมือนกับว่าขณะนี้ นายกฯ ลืมไปว่าตัวเอง คือนายกฯทักษิณ แต่คิดว่าตัวเองคือนายทักษิณ จึงแสดงธาตุแท้และตัวตนออกมาว่า ไม่เคยกลัวใคร ซึ่งตรงนี้จะใช้ไม่ได้ในทางการเมืองที่ต้องใช้การเจรจาเป็นหลัก จึงทำให้ถูกมองว่าภาวะความเป็นผู้นำลดลง"
**"อภิสิทธิ์"แนะนายกฯเลิกพูดหยาบคาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทน ราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่านายกฯคงเชื่อแบบเดิมๆ ว่าการจัดงานในลักษณะ "นายกฯพบแท๊กซี่" แล้วนำนโยบายหรืองานของรัฐบาลบางส่วน และนำเรื่องการเมืองมาพูดจะเป็นวิธีที่ได้ผล แต่อยากให้นายกฯระวังเรื่องความเหมาะสม โดยเฉพาะคำพูดซึ่งเป็นของผู้นำประเทศ ที่พูดในลักษณะไม่น่าเป็นแบบอย่างที่ดีเช่นนี้ ต้องรู้จักที่จะเก็บความรู้สึก ความเชื่อบางอย่างไว้บ้าง การพูดตรงไม่จำเป็นต้อง หยาบคาย หรือไม่ต้องแสดงความเคารพต่อผู้อื่น ดังนั้น ตรงนี้น่าจะ ไปปรับปรุง ไม่เช่นนั้นดูแล้วก็จะยิ่งเหมือนคนมีอาการมาก
"ผมเคยย้ำหลายครั้งว่าจริงๆ แล้ว คนในประเทศยังให้โอกาสท่านนายกฯเยอะ ท่านควรเอาโอกาสตรงนั้นมาเริ่มต้นสิ่งดีๆ จะดีกว่า คือ การยอมรับการถูกตรวจสอบ การวิพากษ์วิจารณ์ พูดในสิ่งที่สร้างสรรค์"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่านึกไม่ออกว่าใครที่นายกฯบอกว่าถูกรังแกด้วยกระบวนการ นอกระบบ ทั้งที่นายกฯมีทั้งเงิน และอำนาจรัฐอยู่ในมือ ถ้ามีผู้อื่น เช่น ข้าราชการ สื่อมวลชนที่ถูกปิดกั้น ร้องบ้างว่ารัฐบาลไปข่มเหงรังแกไว้อย่างไร อยากถามว่าเขา ไม่มีความชอบธรรมที่จะร้องสิ่งเหล่านี้มากกว่าหรือ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้เรียนรู้ว่าในสังคมประชาธิปไตย การที่จะเอาอำนาจบาตใหญ่หรือเงินทองมาปิดกั้นคนอื่นนั้นไม่ได้ และในที่สุด สิ่งที่มีผู้สะท้อนออกมานั้น มีมูลความจริง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ประชาชนกำลังประสบอยู่ หรือการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งยังถูกละเลย
"ผมหวังว่าจะขึ้นปีใหม่แล้ว ท่านลองไปทบทวน ปรับท่าทีใหม่ๆออกมา แล้วจะช่วยตัวของท่านเอง ที่จริงแล้ว ถ้าผมไม่หวังดีต่อท่าน ผมคงจะยุส่งเลย ถ้าท่านทำอย่างที่ทำอยู่มากๆ เข้า นอกจากท่านจะเสียหายแล้ว บ้านเมืองก็จะเสียหายไปด้วย"
**โฆษกปชป.ระบุนายกฯเริ่มสติแตก
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบใช้ภาษาในลักษณะที่หยาบคายหลายครั้ง ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมเพราะเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกฯถึงแม้คนที่มาฟังจะเป็นคนขับรถแท็กซี่ แต่พวกเขาก็สมควรที่จะได้ฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยคำพูดที่เหมาะสม
"นายกฯพูดเหมือนคนคุมสติตัวเองไม่ได้ หรือที่เรียกว่าสติแตก และการพบคนขับรถแท๊กซี่เหมือนเป็นการเอาเวลาไปพบประชาชนแล้วไประบายอารมย์ทางการเมืองมากกว่าจะนำนโยบายเรื่องการจัดระเบียบแท๊กซี่เพื่อแก้ปัญหาไปพูด"
นายองอาจ กล่าวว่า การที่นายกฯระบุว่าการเมืองต้องมีกติกา ไม่ใช่ประชาชนเลือกมาเกือบ 20 ล้านเสียง มี ส.ส.เกินกึ่งของสภา ไม่ใช่พอถึงเวลาก็มีคนไปนั่งเห่าแถวสวนลุมฯ เป็นการพูดที่สะท้อนให้เห็นว่าตัวเองไม่เคารพต่อการตรวจสอบและมุมมองที่แตกต่าง ต้องยอมรับว่าประชาชนที่ไปรวมตัวกันที่สวนลุมพินี อาจมีความเห็นขัดแย้งกับรัฐบาลในหลายๆ เรื่องจริง นายกฯจึงไม่ควรใช้คำพูดที่ดูถูกประชาชนเช่นนี้ เพราะคำว่า"เห่า" ใช้กับอะไรก็รู้กันดี
"นี่คือการสะท้อนตัวตนของนายกฯ ที่ไม่เคารพการตรวจสอบ ไม่สนใจระบบประชาธิปไตยเพียงแต่ใช้ประชาธิปไตยก้าวขึ้นสู่อำนาจ แต่กลับไม่เข้าใจจิตวิญญาณ ประชาธิปไตย"
ส่วนที่นายกฯพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดีแล้ว ผีที่ไหนจะไปจงรักภักดี นั้น นายองอาจ กล่าวว่า เป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม เพราะในฐานะผู้นำประเทศนายกฯ ไม่มีสิทธิ์ที่จะผูกขาดความจงรักภักดีอยู่คนเดียว ประชาชนทุกคนสามารถที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดีได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม นายกฯไม่ควรจงรักภักดีแต่คำพูด แต่ควรแสดงความจงรักภักดีด้วยการน้อมรับกระแสพระราชดำรัสและนำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรม ถึงจะแสดงออกถึงความจงรักภักดีอย่างแท้จริง
"เชื่อว่าพฤติกรรมของนายกฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ธ.ค.ประชาชนและเยาวชน น่าจะได้รับทราบในสิ่งที่นายกฯ พูดโดยผ่านสื่อมวลชนต่างๆ และคงได้รับทราบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนายกฯ ดังนั้นเชื่อว่าคำขวัญวันเด็กในปี 2549 ของนายกฯ ไม่น่าจะสามารถสร้างศรัทธาให้แก่เด็กและเยาวชนได้ เพราะคำพูดของนายกฯที่ไม่เหมาะสมครั้งนี้ จึงไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดี แต่น่าจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชนมากกว่า"
**ทรท.เข้ายุค"หมาจะตายเห็บหมัดโดดหนี"
นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านเริ่มทำใจได้กับพฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ทำตัวเป็นนายกฯของประเทศไทย แต่ไปเน้นเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยมากกว่า มุ่งแต่หาเสียงเฉพาะหน้า และมัวแต่ไปผูกใจเจ็บกับคะแนนเสียงที่ได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ทำหน้าที่นายกฯเลย
"ปัญหาการเมืองขณะนี้เกิดจากปัจจัยภายในของรัฐบาลเอง ทุกคนกำลับจับตามองความขัดแย้งภายในพรรคไทยรักไทย เพราะหัวใจคือไทยรักไทยไม่ใช่ประเทศไทย มีกลุ่มต่างๆออกมาเรียกร้องปลดปล่อยโซ่ตรวน ทำให้รู้สึกถึงความไม่อิสระเมื่ออยู่ในไทยรักไทย คนในรัฐบาลเองเคยพูดว่าเคยพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า เมื่อหมาจะตายเห็บหมัดต่างก็จะกระโดดออก แต่วันนี้ไทยรักไทยกำลังเจอภาวะอย่างเดียวกัน"
นายวิทยุ กล่าวว่า ในปี 2549 รัฐบาลจะอยู่ในภาวะที่หนักกับปัญหาที่ไม่ทุเลา ลงเลย คือ การทุจริตคอรัปชั่นและรัฐบาลยังยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ทุจริตแต่กลับมีการโกงกันถึงครอบครัวถึงกระดูกแล้ว ที่ผ่านมาชาวบ้านจะรู้สึกมากคือเรื่อง ของความยากจน ในปี 2548 เรารู้ถึงความยากจนแต่ในปี 2549 สัญญาณออกมาว่า ไม่ใช่ประชาชนที่ยากจนแต่รัฐบาลกำลังจะอยู่ในภาวะถังแตกด้วย หลายๆ ส่วนร้องเรียนว่าการเบิกเงินจากราชการชะลอตัวและช้าผิดปกติจะต้องรอเงินอันนี้ปฏิเสธไม่ได้
"ปรากฏการณ์นายกฯที่เริ่มแจกเงินตัวเอง เช่น การแจกแท็กซี่ด้วยเงินตัวเอง เพราะเงินทั้งหมดนั้นแห้งหายไปจากรัฐบาลแต่กลับไปอุดมสมบูรณ์อยู่ในกระเป๋านายกฯ นายกฯจึงแจกเงินตัวเอง ที่ผ่านมาแจกแต่เงินหลวง และเป็นการทำการตลาดทางการเมืองอีกครั้งเพราะเป็นขาลงเดิน จึงต้องแจกและต้องแจกเงินตัวเอง"
**ชี้ผู้นำกำลังป่วยทางจิต
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการใช้ถ้อยคำ รุนแรงของนายกฯ เป็นการตอบย้ำให้เห็นว่ารัฐบาลต้องทำงานอย่างหนักใน กทม. หลังจากมีส.ส.อีสานคนหนึ่งของพรรคไทยรักไทยที่นั่งรถแท็กซี่ประจำพบว่ากระแสรัฐบาลตก โดยทราบจากคนขับรถแท็กซี่ ชี้ให้เห็นว่าคนขับรถแท็กซี่สามารถเป็นกระบอกเสียงได้ ดังนั้นจึงนำคนขับแท็กซี่มาคุยรอบสองหลังจากรอบแรก ไปคุยโปรยยาหอมมาแล้วแต่ล้มเหลว เพื่อไม่ต้องการให้รถแท็กซี่ยื่นอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลกลัวจะไปตรงกับทฤษีคนต่างจังหวัดเลือกรัฐบาล คนกรุงล้มรัฐบาล ซึ่งเป็นทฤษฎีที่นายกฯไม่เชื่อ ดังนั้นถ้ารัฐบาลไม่ทำแบบนี้ คนขับรถแท็กซี่ที่เป็นกระบอกเสียงคนกรุงเทพจะไปเร่งกระแสล้มรัฐบาลได้แน่
"จนนายกฯได้หลุดความในใจออกมา เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาปะทะกับรัฐบาล ขณะที่คนในพรรคไทยรักไทยก็กอดอกยิ้ม รอดูนายกฯ ปะทะกับปัจจัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยไม่เข้าไปช่วยในตอนแรก ถ้านายกฯปะทะได้ดี กลุ่มในพรรคก็จะเข้าไปช่วย แต่ถ้านายกฯพลาดก็พร้อมที่จะไปกระหน่ำนายกฯ เช่น ประเด็นสังกัดพรรคไม่น้อยกว่า 90 วัน ส.ส.ในพรรคไทยรักไทยที่ออกมาพูดเรื่องนี้ ชี้ให้เห็นว่าไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับนายกฯแน่ พร้อมที่จะรอจังหวัดกระทืบนายก"
นายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า บ้านเมืองจะวิกฤตถ้าผู้นำป่วย หรือตาย โดยเฉพาะผู้นำที่ป่วยทางจิตจะไปกันใหญ่ เพราะรักษายาก คนป่วยไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็น มีความกดดันสะสมมีพฤติกรรมก้าวร้าวและแก้แคล้น ดังนั้นขอให้พาผู้นำไปหา หมอจิตเวชได้แล้ว เพราะขณะนี้คนใกล้ตัวก็รู้ว่าป่วยเป็นโรคจิต แต่ผู้นำยังมีอำนาจอยู่ จึงไม่มีใครกล้าบอก
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าช่วงเทศกาลปีใหม่ที่หยุดยาว กำลังดูอยู่ว่าหากภาคเหนือยังหนาวอยู่ ในวันที่ 30-31 ธ.ค.ก็จะไปแจกผ้าห่มให้ชาวบ้าน ที่เชียงใหม่ เชียงราย และกลับมากรุงเทพฯ ส่วนวันที่ 11 ม.ค. จะขอพักผ่อนกับครอบครัว ส่วนที่มีข่าวว่าจะเดินทางไปประเทศอังกฤษนั้น คงไม่ถึงขนาดนั้น ขอพักผ่อนสัก 3-4 วัน ปี 2548 เป็นปีที่มีเรื่องเยอะ
ผู้สื่อข่าวถามว่าตกลงไปจะพักผ่อนที่ต่างประเทศหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ยังไม่แน่ ขอพักบ้าง จะได้พักด้วยกัน ส่วนงานเคาน์ตดาวน์ปีใหม่คิดว่าคงไม่ไปไหน จะมอบให้คนอื่นไปแทน
"ผมแก่แล้ว เคาน์ดาวน์มากก็เหี่ยว"
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมาเห็นนายกรัฐมนตรีสู้สุดฤทธิ์ ในการพูดในงาน"นายกฯพบแท๊กซี่" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ที่พูดอย่างนั้น เพราะต้องการให้รู้ว่าต้องยึดระบบ แต่การถอยก็เท่ากับการไม่ยึดระบบ และไปถอยให้ใครก็ไม่รู้ ถ้าถอยอย่างนั้นเอาเชือกผูกคอตายดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีคนสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นทำไมจึงพูดด้วยถ้อยคำรุนแรง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เป็นการส่งท้ายปีเก่า โดนอัดมาตั้งเยอะ ทั้งปีแล้ว น่วมเลย
**"สมัคร"หนุน"ทักษิณ" ด่า"สนธิ"
ด้าน นายสมัคร สุนทรเวชกล่าวในรายการ "เช้าวันนี้...ที่เมืองไทย" ทาง สถานีโทรทัศน์ ททบ.ช่อง 5 สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ออกมาด่ากลับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร โดยกล่าวว่า เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว จะยอมให้ถูกด่าอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร เปรียบเหมือนหนังดังเรื่อง Star Wars ตอน The Empire Strikes Back ซึ่งถ้าหากเป็นนายกฯ ก็จะทำแบบเดียวกัน
นายสมัคร ยังกล่าวชื่นชม นายภูมิธรรม เวชยชัย รมช.คมนาคม และรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ที่จะฟ้องกลับนายสนธิ โดยกล่าวว่าเป็นการดี ต้องทำอย่างนี้จึงจะถูก และยังท้านายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.ว่าหากจะขอจองใช้พื้นที่สวนลุมพินี ทุกวันพฤหัสฯ เพื่อที่จะด่าฝ่ายค้านบ้าง จะได้หรือไม่
**นักจิตวิทยาแนะ"ทักษิณ"พึ่งจิตแพทย์
น.พ.วัลลภ ปิยมโนธรรม นักจิตวิทยาหัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) กล่าวถึงการใช้คำรุนแรงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า คำพูดของนายกฯ ส่อถึง 5 เจตนาคือ 1. คิดว่าตัวเองทำดีให้กับประเทศที่สุดแล้ว แต่กลับถูกด่าอีก 2. ทวงบุญคุณ เช่นการกล่าวถึงการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ได้ผล ซึ่งนายกรัฐมนตรีภูมิใจในผลงานนี้มาก และ 3. คิดว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีที่สามารถก้าว ไปอยู่ในระดับนานาชาติ และไม่เคยมีนายกฯคนไหนทำแบบนี้ได้ 4.คิดว่าตัวเองก็อยู่ได้แบบสบายๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นนายกฯ เพราะรวยอยู่แล้ว และ 5. แสดงให้เห็นว่าตัวเองมีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่มีทาง ยุบสภาฯหรือรัฐบาลไม่ล้มเป็นอันขาด
น.พ.วัลลภกล่าวว่า การพูดว่า มีคนไปเห่าที่สวนลุมพินี นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามแสดงให้เห็นว่าขณะนี้ไม่แคร์ใครทั้งนั้น ต่อให้รัฐบาลล้มลงไปจริงๆ หรือประเทศไม่ต้องการให้เป็นนายกฯ ต่อไปอีกก็ไม่แคร์อีกแล้ว ชาวบ้านเองต้องเป็นฝ่าย ที่มาง้อให้เป็นนายกฯ ซึ่งถือว่าเป็นการเล่นเกมกับสังคมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมา ก็เคยมีมาแล้ว คือกรณีการพูดที่ จ.นครสวรรค์ว่าจะดูแลคนที่เลือก พรรคไทยรักไทยเป็นพิเศษ ส่วนคนที่ไม่เลือกเอาไว้ทีหลัง แต่ตอนนั้นพลาด จึงทำให้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่ครั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะส่งสัญญาณว่าตัวเองรู้ว่ากำลังมีคนจ้องล้มรัฐบาลอยู่ เพราะประเมินแล้วว่าขณะนี้ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำประเทศไทยเท่าตัวเองแล้ว
"สถานการณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลในขณะนี้ถ้าไม่ใช้หลักจิตวิทยา เข้ามาช่วยให้มากกว่านี้ คงแย่แน่ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณเล่นการเมืองมากเกินไป แต่กลับลืมเล่นการเมืองกับคนใกล้ตัว ไม่ยอมเข้าหาผู้ที่ตัวเองมองว่าเป็นศัตรู ให้เหมือนกับว่าตอนนี่มาติดต่อนายอานันท์ (ปันยารชุน ) มาเป็นประธาน กอส. หลังจากนายอานันท์ วิจารณ์การแก้ปัญหาภาคใต้บ่อยครั้งเหมือนกับว่าขณะนี้ นายกฯ ลืมไปว่าตัวเอง คือนายกฯทักษิณ แต่คิดว่าตัวเองคือนายทักษิณ จึงแสดงธาตุแท้และตัวตนออกมาว่า ไม่เคยกลัวใคร ซึ่งตรงนี้จะใช้ไม่ได้ในทางการเมืองที่ต้องใช้การเจรจาเป็นหลัก จึงทำให้ถูกมองว่าภาวะความเป็นผู้นำลดลง"
**"อภิสิทธิ์"แนะนายกฯเลิกพูดหยาบคาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทน ราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่านายกฯคงเชื่อแบบเดิมๆ ว่าการจัดงานในลักษณะ "นายกฯพบแท๊กซี่" แล้วนำนโยบายหรืองานของรัฐบาลบางส่วน และนำเรื่องการเมืองมาพูดจะเป็นวิธีที่ได้ผล แต่อยากให้นายกฯระวังเรื่องความเหมาะสม โดยเฉพาะคำพูดซึ่งเป็นของผู้นำประเทศ ที่พูดในลักษณะไม่น่าเป็นแบบอย่างที่ดีเช่นนี้ ต้องรู้จักที่จะเก็บความรู้สึก ความเชื่อบางอย่างไว้บ้าง การพูดตรงไม่จำเป็นต้อง หยาบคาย หรือไม่ต้องแสดงความเคารพต่อผู้อื่น ดังนั้น ตรงนี้น่าจะ ไปปรับปรุง ไม่เช่นนั้นดูแล้วก็จะยิ่งเหมือนคนมีอาการมาก
"ผมเคยย้ำหลายครั้งว่าจริงๆ แล้ว คนในประเทศยังให้โอกาสท่านนายกฯเยอะ ท่านควรเอาโอกาสตรงนั้นมาเริ่มต้นสิ่งดีๆ จะดีกว่า คือ การยอมรับการถูกตรวจสอบ การวิพากษ์วิจารณ์ พูดในสิ่งที่สร้างสรรค์"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่านึกไม่ออกว่าใครที่นายกฯบอกว่าถูกรังแกด้วยกระบวนการ นอกระบบ ทั้งที่นายกฯมีทั้งเงิน และอำนาจรัฐอยู่ในมือ ถ้ามีผู้อื่น เช่น ข้าราชการ สื่อมวลชนที่ถูกปิดกั้น ร้องบ้างว่ารัฐบาลไปข่มเหงรังแกไว้อย่างไร อยากถามว่าเขา ไม่มีความชอบธรรมที่จะร้องสิ่งเหล่านี้มากกว่าหรือ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้เรียนรู้ว่าในสังคมประชาธิปไตย การที่จะเอาอำนาจบาตใหญ่หรือเงินทองมาปิดกั้นคนอื่นนั้นไม่ได้ และในที่สุด สิ่งที่มีผู้สะท้อนออกมานั้น มีมูลความจริง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ประชาชนกำลังประสบอยู่ หรือการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งยังถูกละเลย
"ผมหวังว่าจะขึ้นปีใหม่แล้ว ท่านลองไปทบทวน ปรับท่าทีใหม่ๆออกมา แล้วจะช่วยตัวของท่านเอง ที่จริงแล้ว ถ้าผมไม่หวังดีต่อท่าน ผมคงจะยุส่งเลย ถ้าท่านทำอย่างที่ทำอยู่มากๆ เข้า นอกจากท่านจะเสียหายแล้ว บ้านเมืองก็จะเสียหายไปด้วย"
**โฆษกปชป.ระบุนายกฯเริ่มสติแตก
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบใช้ภาษาในลักษณะที่หยาบคายหลายครั้ง ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมเพราะเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกฯถึงแม้คนที่มาฟังจะเป็นคนขับรถแท็กซี่ แต่พวกเขาก็สมควรที่จะได้ฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยคำพูดที่เหมาะสม
"นายกฯพูดเหมือนคนคุมสติตัวเองไม่ได้ หรือที่เรียกว่าสติแตก และการพบคนขับรถแท๊กซี่เหมือนเป็นการเอาเวลาไปพบประชาชนแล้วไประบายอารมย์ทางการเมืองมากกว่าจะนำนโยบายเรื่องการจัดระเบียบแท๊กซี่เพื่อแก้ปัญหาไปพูด"
นายองอาจ กล่าวว่า การที่นายกฯระบุว่าการเมืองต้องมีกติกา ไม่ใช่ประชาชนเลือกมาเกือบ 20 ล้านเสียง มี ส.ส.เกินกึ่งของสภา ไม่ใช่พอถึงเวลาก็มีคนไปนั่งเห่าแถวสวนลุมฯ เป็นการพูดที่สะท้อนให้เห็นว่าตัวเองไม่เคารพต่อการตรวจสอบและมุมมองที่แตกต่าง ต้องยอมรับว่าประชาชนที่ไปรวมตัวกันที่สวนลุมพินี อาจมีความเห็นขัดแย้งกับรัฐบาลในหลายๆ เรื่องจริง นายกฯจึงไม่ควรใช้คำพูดที่ดูถูกประชาชนเช่นนี้ เพราะคำว่า"เห่า" ใช้กับอะไรก็รู้กันดี
"นี่คือการสะท้อนตัวตนของนายกฯ ที่ไม่เคารพการตรวจสอบ ไม่สนใจระบบประชาธิปไตยเพียงแต่ใช้ประชาธิปไตยก้าวขึ้นสู่อำนาจ แต่กลับไม่เข้าใจจิตวิญญาณ ประชาธิปไตย"
ส่วนที่นายกฯพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดีแล้ว ผีที่ไหนจะไปจงรักภักดี นั้น นายองอาจ กล่าวว่า เป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม เพราะในฐานะผู้นำประเทศนายกฯ ไม่มีสิทธิ์ที่จะผูกขาดความจงรักภักดีอยู่คนเดียว ประชาชนทุกคนสามารถที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดีได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม นายกฯไม่ควรจงรักภักดีแต่คำพูด แต่ควรแสดงความจงรักภักดีด้วยการน้อมรับกระแสพระราชดำรัสและนำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรม ถึงจะแสดงออกถึงความจงรักภักดีอย่างแท้จริง
"เชื่อว่าพฤติกรรมของนายกฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ธ.ค.ประชาชนและเยาวชน น่าจะได้รับทราบในสิ่งที่นายกฯ พูดโดยผ่านสื่อมวลชนต่างๆ และคงได้รับทราบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนายกฯ ดังนั้นเชื่อว่าคำขวัญวันเด็กในปี 2549 ของนายกฯ ไม่น่าจะสามารถสร้างศรัทธาให้แก่เด็กและเยาวชนได้ เพราะคำพูดของนายกฯที่ไม่เหมาะสมครั้งนี้ จึงไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดี แต่น่าจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชนมากกว่า"
**ทรท.เข้ายุค"หมาจะตายเห็บหมัดโดดหนี"
นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านเริ่มทำใจได้กับพฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไม่ทำตัวเป็นนายกฯของประเทศไทย แต่ไปเน้นเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยมากกว่า มุ่งแต่หาเสียงเฉพาะหน้า และมัวแต่ไปผูกใจเจ็บกับคะแนนเสียงที่ได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ทำหน้าที่นายกฯเลย
"ปัญหาการเมืองขณะนี้เกิดจากปัจจัยภายในของรัฐบาลเอง ทุกคนกำลับจับตามองความขัดแย้งภายในพรรคไทยรักไทย เพราะหัวใจคือไทยรักไทยไม่ใช่ประเทศไทย มีกลุ่มต่างๆออกมาเรียกร้องปลดปล่อยโซ่ตรวน ทำให้รู้สึกถึงความไม่อิสระเมื่ออยู่ในไทยรักไทย คนในรัฐบาลเองเคยพูดว่าเคยพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า เมื่อหมาจะตายเห็บหมัดต่างก็จะกระโดดออก แต่วันนี้ไทยรักไทยกำลังเจอภาวะอย่างเดียวกัน"
นายวิทยุ กล่าวว่า ในปี 2549 รัฐบาลจะอยู่ในภาวะที่หนักกับปัญหาที่ไม่ทุเลา ลงเลย คือ การทุจริตคอรัปชั่นและรัฐบาลยังยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่ทุจริตแต่กลับมีการโกงกันถึงครอบครัวถึงกระดูกแล้ว ที่ผ่านมาชาวบ้านจะรู้สึกมากคือเรื่อง ของความยากจน ในปี 2548 เรารู้ถึงความยากจนแต่ในปี 2549 สัญญาณออกมาว่า ไม่ใช่ประชาชนที่ยากจนแต่รัฐบาลกำลังจะอยู่ในภาวะถังแตกด้วย หลายๆ ส่วนร้องเรียนว่าการเบิกเงินจากราชการชะลอตัวและช้าผิดปกติจะต้องรอเงินอันนี้ปฏิเสธไม่ได้
"ปรากฏการณ์นายกฯที่เริ่มแจกเงินตัวเอง เช่น การแจกแท็กซี่ด้วยเงินตัวเอง เพราะเงินทั้งหมดนั้นแห้งหายไปจากรัฐบาลแต่กลับไปอุดมสมบูรณ์อยู่ในกระเป๋านายกฯ นายกฯจึงแจกเงินตัวเอง ที่ผ่านมาแจกแต่เงินหลวง และเป็นการทำการตลาดทางการเมืองอีกครั้งเพราะเป็นขาลงเดิน จึงต้องแจกและต้องแจกเงินตัวเอง"
**ชี้ผู้นำกำลังป่วยทางจิต
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการใช้ถ้อยคำ รุนแรงของนายกฯ เป็นการตอบย้ำให้เห็นว่ารัฐบาลต้องทำงานอย่างหนักใน กทม. หลังจากมีส.ส.อีสานคนหนึ่งของพรรคไทยรักไทยที่นั่งรถแท็กซี่ประจำพบว่ากระแสรัฐบาลตก โดยทราบจากคนขับรถแท็กซี่ ชี้ให้เห็นว่าคนขับรถแท็กซี่สามารถเป็นกระบอกเสียงได้ ดังนั้นจึงนำคนขับแท็กซี่มาคุยรอบสองหลังจากรอบแรก ไปคุยโปรยยาหอมมาแล้วแต่ล้มเหลว เพื่อไม่ต้องการให้รถแท็กซี่ยื่นอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลกลัวจะไปตรงกับทฤษีคนต่างจังหวัดเลือกรัฐบาล คนกรุงล้มรัฐบาล ซึ่งเป็นทฤษฎีที่นายกฯไม่เชื่อ ดังนั้นถ้ารัฐบาลไม่ทำแบบนี้ คนขับรถแท็กซี่ที่เป็นกระบอกเสียงคนกรุงเทพจะไปเร่งกระแสล้มรัฐบาลได้แน่
"จนนายกฯได้หลุดความในใจออกมา เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาปะทะกับรัฐบาล ขณะที่คนในพรรคไทยรักไทยก็กอดอกยิ้ม รอดูนายกฯ ปะทะกับปัจจัยต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยไม่เข้าไปช่วยในตอนแรก ถ้านายกฯปะทะได้ดี กลุ่มในพรรคก็จะเข้าไปช่วย แต่ถ้านายกฯพลาดก็พร้อมที่จะไปกระหน่ำนายกฯ เช่น ประเด็นสังกัดพรรคไม่น้อยกว่า 90 วัน ส.ส.ในพรรคไทยรักไทยที่ออกมาพูดเรื่องนี้ ชี้ให้เห็นว่าไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับนายกฯแน่ พร้อมที่จะรอจังหวัดกระทืบนายก"
นายนิพิฎฐ์ กล่าวว่า บ้านเมืองจะวิกฤตถ้าผู้นำป่วย หรือตาย โดยเฉพาะผู้นำที่ป่วยทางจิตจะไปกันใหญ่ เพราะรักษายาก คนป่วยไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็น มีความกดดันสะสมมีพฤติกรรมก้าวร้าวและแก้แคล้น ดังนั้นขอให้พาผู้นำไปหา หมอจิตเวชได้แล้ว เพราะขณะนี้คนใกล้ตัวก็รู้ว่าป่วยเป็นโรคจิต แต่ผู้นำยังมีอำนาจอยู่ จึงไม่มีใครกล้าบอก