ลำดับแต่นี้ไปจักได้พรรณนาอิทธิวิธีอีก 4 ชนิดซึ่งได้นับเนื่องเป็นอิทธิฤทธิ์ด้วย คือ มโนมยิทธิหรือมโนมัยฤทธิ์ เจโตปริยญาณ ทิพยโสต และทิพยจักษุ ก็จะเป็นอันครบวิธีกระทำอิทธิฤทธิ์ทั้ง 20 วิธี ดังที่ได้ตั้งเป็นหัวข้อพรรณนามาแต่ต้น
อิทธิฤทธิ์ทั้ง 4 วิธีนี้ไม่เรียกว่าเป็นอธิษฐานฤทธิ์ แต่นับเป็นอิทธิวิธีเฉพาะ เพราะมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง และไม่ได้อาศัยกำลังอธิษฐานเป็นกำลังนำอีกอย่างหนึ่ง
แต่ทว่าในการกระทำอิทธิฤทธิ์นี้ก็ยังคงต้องประกอบด้วยกำลังทั้งสี่ คือกำลังอิทธิบาท กำลังจิต กำลังฌานและกำลังอธิษฐานเหมือนกัน และต้องอาศัยการอธิษฐานคือการตั้งเจตนาประสงค์ที่จะให้บังเกิดฤทธิ์ด้วย
แต่กำลังหลักที่จะให้บังเกิดอิทธิฤทธิ์ก็คือกำลังอิทธิบาทและกำลังฌาน ส่วนกำลังอื่นๆ เป็นตัวหนุน
จะได้พรรณนาการกระทำอิทธิฤทธิ์วิธีมโนมยิทธิหรือมโนมัยฤทธิ์ก่อน การกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้คือการเนรมิตหรือการแปลงร่าง นั่นคือเนรมิตร่างขึ้นมาอย่างหนึ่ง และการแปลงร่างเดิมเป็นร่างอื่นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งได้พรรณนามาบ้างแล้วว่าฝ่ายมหายานนั้นนิยมชมชอบอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ดังตัวอย่างในเรื่องไซอิ๋วที่เฮ่งเจียแปลงร่างได้ถึง 72 ชนิด
เป็นเรื่องแปลกที่ในพระสูตรมักไม่ปรากฏเรื่องราวของการแปลงร่าง ซึ่งอาจเป็นเพราะพระตถาคตเจ้าและพระสาวกทรงครองเพศพรหมจรรย์อันประเสริฐ จึงไม่มีพุทธประสงค์หรือความประสงค์ที่จะแปลงร่างเป็นเพศอื่นซึ่งต่ำกว่า
ในประเทศไทยของเรานั้นในระยะร้อยกว่าปีนี้ที่ปรากฏขึ้นชื่อลือชามากก็คือการกระทำอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า พระมหาเถระผู้เป็นพระอาจารย์ของเสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ที่สามารถแปลงร่างได้มากมายหลายประการ และเนรมิตสัตว์อื่น ๆ ให้ปรากฏได้มากมาย
ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนก็มีเรื่องราวของเถรขวาดที่สามารถแปลงกายเป็นจระเข้ได้ ในพื้นที่ภาคใต้ก็เคยปรากฏผู้สำเร็จวิชานี้แต่ยังไม่เต็มที่นัก สามารถแปลงกายเป็นจระเข้ได้แล้วเรียกชื่อเฉพาะว่าจระเข้ปรอท คือควบคุมจิตตัวเองได้ไม่เต็มที่จึงมีความดุร้ายเหมือนจระเข้จริง ๆ
นั่นเป็นส่วนของการแปลงกาย แต่ในส่วนของการเนรมิตก็คือการเนรมิตร่างกายขึ้นมาอีกร่างหนึ่งเหมือนกับร่างกายเดิม แล้วไปทำการใด ๆ ในอีกที่หนึ่ง โดยที่ร่างกายเดิมก็ยังคงอยู่ตั้งอยู่ ซึ่งคล้าย ๆ กันกับการถอดกายทิพย์ออกไป ต่างกันก็เฉพาะที่ไปนั้นเป็นกายที่เนรมิตขึ้นหรือเป็นกายทิพย์ที่ถอดออกไป และที่ต่างกันอีกอย่างหนึ่งก็คือในกรณีกายเนรมิตจะกระทำการได้เหมือนและเช่นเดียวกันกับร่างกายเดิมที่กระทำอยู่ นั่นคือกายเดิมทำการใด ๆ แล้วไปปรากฏเป็นการกระทำของกายเนรมิตเหมือนกันทุกประการส่วนกายทิพย์นั้นสามารถกระทำการใดๆ ได้ทุกอย่าง ในขณะที่กายเดิมยังคงตั้งหรือนั่งอยู่ที่เดิม อาการเดิม
กระบวนการทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ก็เช่นเดียวกันกับการกระทำอธิษฐานฤทธิ์ คือต้องถอนจิตจากอัปปนาสมาธิสู่อุปจารสมาธิก่อน อาศัยกำลังอิทธิบาท กำลังจิต กำลังฌาน และกำลังอธิษฐานประกอบด้วยการอธิษฐานให้บังเกิดฤทธิ์ดังที่ต้องการ
เมื่อบังเกิดเป็นอิทธิฤทธิ์แล้ว การจะคลายอิทธิฤทธิ์สู่สภาพเดิมก็ด้วยการกำหนดจิตให้คืนสู่สภาพเดิม เมื่อเป็นสภาพเดิมแล้วจึงค่อยถอนจิตออกจากฌานสู่ความเป็นปกติ
ส่วนอิทธิฤทธิ์ชนิดเจโตปริยญาณนั้นเป็นอิทธิวิธีและเป็นวิชชาหนึ่งในวิชชาแปดประการ เป็นอิทธิฤทธิ์ที่สามารถล่วงรู้ใจผู้อื่นได้
ต่างกันกับวิชาบางอย่างในอินเดียขณะนั้นที่สามารถล่วงรู้ใจผู้คนได้เหมือนกัน แต่เป็นการล่วงรู้ในระดับโลกียะซึ่งพวกโยคีหรือพวกเล่นกลในอินเดียมีความสามารถ มีความรู้ และมีความชำนาญเป็นอันมาก จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ยังมีปรากฏคนจำพวกนี้เข้ามาหลอกลวงต้มตุ๋น แม้กระทั่งในประเทศไทยเป็นประจำ
การต้มตุ๋นก็มีวิธี เช่น ให้เขียนตัวหนังสือหรือตัวเลขในฝ่ามือแล้วเขาจะทายว่าเป็นตัวหนังสือหรือตัวเลขอะไร เป็นต้น นี่เป็นวิชาที่ว่านั้น
วิชาดังกล่าวนี้ไม่ได้อาศัยกำลังอิทธิบาท กำลังจิต กำลังฌาน และกำลังอธิษฐาน แต่เป็นวิชาไสยชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในจำพวกเดียวกับวิชาไสยศาสตร์ที่อ่านเวทท่องมนต์หรือกระทำวิธีไสย แต่ไม่เป็นไปในทางบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงเรียกว่าวิชาดำ ต่างกับวิชาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกว่าวิชาขาว ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของเวไนยสัตว์ที่จะได้เข้าถึงพระธรรมอันประเสริฐ
คนเราทุกคนล้วนมีจิต จิตนั้นมีกระแสเปล่งออกจากตัว เป็นแต่ว่าตามนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น แม้กระนั้นวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ได้ประสบความสำเร็จในการตรวจวัดกระแสของจิตได้บ้างแล้วว่าจิตแต่ละขณะ แต่ละความรู้สึกสามารถวัดออกมาเป็นสีอะไร กระแสนี้นี่แหละที่จะเป็นตัวส่งสัญญาณมายังตัวรับสัญญาณคือจิตของผู้กระทำอิทธิฤทธิ์
คนแต่ละคนมีกำลังจิตไม่เท่ากัน กำลังจิตน้อยกระแสที่แผ่ออกไปก็แคบและใกล้ แต่ผู้มีกำลังจิตสูงสามารถแผ่กระแสจิตออกไปได้กว้างขวางกว้างไกลจนกระทั่งหาประมาณมิได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้จึงเป็นผู้ที่สามารถแผ่กำลังจิตออกไปอย่างกว้างขวางหาประมาณมิได้ หรือหากจะกล่าวโดยนัยทางวิทยาศาสตร์ก็อาจกล่าวได้ว่าผู้กระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้มีขีดความสามารถที่จะแผ่กระแสของเครื่องรับออกไปรับสัญญาณจากเครื่องส่งได้ไกลแสนไกลหาประมาณมิได้ ต่างกับการส่งสัญญาณทางวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีที่ปกติเครื่องส่งจะต้องมีสัญญาณแรงกว่าเครื่องรับ
กำลังอิทธิบาท กำลังฌาน และกำลังอธิษฐาน จะทำให้กำลังจิตซึ่งเป็นตัวนำแผ่กระแสจิตออกไป หรือส่งสัญญาณการรับออกไป ไกลออกไป โพ้นออกไป สู่ที่หมายได้แก่บุคคลอันเป็นที่หมาย
เมื่อกระแสของตัวรับสัญญาณแผ่ออกไปถึงกระแสของตัวส่งสัญญาณคือบุคคลอื่น ซึ่งส่งสัญญาณอาการความรู้สึกนึกคิดโดยกระแสของจิตแล้ว ตัวรับสัญญาณก็จะอ่านและรับรู้ความหมายว่าผู้นั้นมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรโดยถ่องแท้ไม่มีแปรผันเป็นอย่างอื่น
เพราะกระแสของจิตนั้นโกหกไม่ได้ และไม่มีการโกหกหลอกลวงกัน กระแสที่เปล่งออกจากจิตจึงเป็นของจริง เป็นเรื่องจริง และเป็นความจริงที่สะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดตลอดจนความรู้ความเข้าใจของผู้นั้น ด้วยเหตุนี้ผู้กระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้จึงสามารถล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจทั้งปวงของผู้อื่นนั้นได้อย่างถ่องแท้ถูกต้อง
การสัมผัสกันของกระแสรับและกระแสส่งดังกล่าวนี้บางคนบังเกิดมีขึ้นในตัวมากเป็นพิเศษ โดยที่ไม่มีการฝึกฝนอบรมจิตเลย บางคนขอเพียงมีสมาธิเล็กน้อยก็สามารถล่วงรู้จิตใจคนอื่นในระดับหยาบ ๆ ได้
ตัวอย่างง่าย ๆ ที่บางครั้งคนเราเพียงแค่เดินผ่านหรือเห็นหน้าอีกคนหนึ่งก็จะรู้ว่าเขาพอใจหรือไม่พอใจ เป็นต้น ซึ่งความจริงสิ่งเหล่านี้หลายคนอาจจะประสบพบพานด้วยตนเองมาบ้างแล้ว แต่หวนทวนไปใคร่ครวญดูเถิดว่ามักเกิดในขณะที่จิตสงบจิตนิ่ง จึงมีกระแสส่งสัญญาณรับไปสัมผัสกับสัญญาณส่งได้
พระตถาคตเจ้าทรงกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้มากที่สุดอย่างหนึ่ง จึงทำให้พระองค์สามารถตั้งคำถามหรือตรัสสอนได้ตรงกับความรู้สึกนึกคิดของผู้นั้นได้ในทันที
ดังเช่นครั้งหนึ่งพระยัสสะบุตรมหาเศรษฐีผู้มีความสมบูรณ์พูนสุขพร้อมทุกอย่างในทางโลกียสุข แล้วเกิดความอัดอั้นอึดอัดขัดใจเห็นเป็นเรื่องรำคาญวุ่นวายจึงเดินหนีออกจากบ้าน พร้อมกับเปล่งเสียงรำพึงรำพันไปตลอดทางว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ
พระพุทธองค์ได้สดับเสียงเปล่งรำพึงของพระยัสสะแล้วก็ทรงรู้ด้วยเจโตปริยญาณถึงความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงของพระยัสสะ จึงทรงเปล่งพระวาจาตรัสขึ้นบ้างว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ ที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ เข้ามาเถิด เราจะสนทนาด้วยท่าน” เป็นเหตุให้พระยัสสะตื่นจากภวังค์แล้วเข้าไปฟังพระธรรม ในที่สุดก็ขออุปสมบทเป็นพระอรหันตสาวกรูปต้น ๆ ของพระตถาคตเจ้า
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง พระตถาคตเจ้าทรงเล็งด้วยเจโตปริยญาณในเวลาใกล้รุ่งสาง เห็นพราหมณ์ผู้หนึ่งที่อาบน้ำในเวลาเช้าตรู่ทุกวันก็ทรงรู้ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงและทรงเล็งเห็นว่าความเพียรและภูมิจิตอยู่ในระดับที่จะยอมรับพระธรรมอันประณีตลึกซึ้งได้แล้วจึงเสด็จไปโปรด แล้วถามพราหมณ์นั้นว่าพราหมณ์เอ๋ยท่านอาบน้ำทุกเวลาเช้าทำไม
พราหมณ์ตอบว่าน้ำในแม่น้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์ อาบแล้วจะได้ไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเจ้าจึงตรัสว่าถ้าเป็นจริงดังที่พราหมณ์ว่า ฝูงเต่าปูปลาในแม่น้ำนี้คงจะไปสวรรค์กันหมดก่อนพราหมณ์เสียอีก
พราหมณ์ได้ฟังพระพุทธดำรัสก็ตื่นตะลึงได้คิดแล้วขอฟังพระธรรม
การกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้เป็นประโยชน์ยิ่งต่อการประกาศเผยแผ่พระธรรมคำสอนเพราะเมื่อรู้ความคิดจิตใจ ความรู้สึก ตลอดจนอารมณ์และปัญหาต่าง ๆ ที่ค้างคาใจของผู้นั้นแล้วก็สามารถกล่าวความหรือแสดงธรรมให้ถูกตรงกับที่ขุ่นข้องติดขัดในจิตของผู้นั้นให้กระจ่างสว่างไสวได้โดยง่าย และทำให้เขาเข้าใจเข้าถึงพระธรรมได้โดยง่ายด้วย
เพราะเหตุนี้เมื่อสิ้นคำตรัสสอนของพระตถาคตเจ้าจึงมักปรากฏคำสรรเสริญของผู้ที่เสด็จไปโปรดในแทบทุกพระสูตรว่า “ภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแจ่มแจ้งจริงหนอ ดุจดังทำของคว่ำให้หงายฉะนั้น”
จึงอาจกล่าวได้ว่าวิชชานี้หรืออิทธิฤทธิ์ประการนี้มีอานิสงส์ มีผลมากต่อการประกาศศาสนาของพระตถาคตเจ้า ซึ่งพระมหาเถระในยุคปัจจุบันนี้ก็มีหลายรูปที่บรรลุถึงอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ ดังตัวอย่างของหลวงปู่แหวนหรือหลวงตาพระมหาบัวหรือหลวงพ่อคูณ เป็นต้น
พระมหาเถระเหล่านี้บางทีก็ลัดคิวเรียกผู้ที่ไปคอยพบบางคนเข้ามาหาแล้วพูดจาต้องด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ติดขัดอยู่นั้นเป็นที่อัศจรรย์
จะขอยกตัวอย่างหนึ่งซึ่งอดีตรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรท่านหนึ่งเดินทางไปดูงานที่ประเทศอินเดีย ครั้นเผลอเมามายแล้วไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการ จากนั้นก็มีความเป็นทุกข์เป็นร้อนกลัวว่าจะติดโรคเอดส์ มีความกลัดกลุ้มรุมเร้าอยู่เป็นนิตย์ จะบอกจะกล่าวกับผู้ใดก็ไม่กล้า จะไปหาหมอก็กลัว
วันหนึ่งไปหาหลวงพ่อคูณ ไปเข้าแถวอยู่ปลายแถว ครั้นหลวงพ่อคูณเดินเคาะศีรษะเป็นลำดับมาถึงตัว หลวงพ่อคูณได้เคาะหัวให้ตามธรรมเนียมแล้วกล่าวความขึ้นว่า “มึงไม่ได้เป็นอะไรที่มึงเป็นห่วงเด้อ”
การกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ยังสามารถทำให้ผู้กระทำอิทธิฤทธิ์ล่วงรู้เหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป เช่น รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นสุขสบายดีหรือป่วยไข้ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เป็นหรือตาย หรือคิดอ่านทำการสิ่งใดอยู่
การที่พระมหาเถระบางรูปสามารถบอกกล่าวเหตุการณ์เช่นนี้ได้ก็เพราะได้กระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ แต่ก็ต้องตระหนักว่าลำดับ ขนาด ความถูกต้องแม่นยำย่อมขึ้นอยู่กับกำลังอิทธิบาท กำลังจิต กำลังฌาน และกำลังอธิษฐานนั่นเอง บางรูปกำลังเหล่านี้ยังไม่ถึงขนาดนัก แต่เพราะอาศัยความบริสุทธิ์ของศีลและบุญฤทธิ์ก็เป็นกำลังเสริมที่ทำให้เจโตปริยญาณปรากฏขึ้นในบางระดับได้ แต่พอติดยึดในโลกธรรมคือลาภ ยศ สุข สรรเสริญแล้วอิทธิฤทธิ์นั้นก็สร่างคลายลงไป ดังนั้นจึงปรากฏเสมอว่าบางครั้งถูกต้องแม่นยำ บางครั้งผิดพลาดคลาดเคลื่อนก็ด้วยเหตุดังกล่าวนี้
การที่ล่วงรู้เหตุการณ์หรือความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นเป็นครั้งเป็นคราวของคนธรรมดาที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนอบรมหรือที่ไม่สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ได้นั้นก็มีอยู่จริงเป็นครั้งเป็นคราว สาเหตุก็เกิดจากเทพยดาบันดาลให้กระแสของจิตถึงกันได้อย่างหนึ่ง หรือด้วยอำนาจแห่งบุญฤทธิ์ทำให้บังเกิดฤทธิ์เฉพาะครั้งเฉพาะคราวอีกอย่างหนึ่ง
อิทธิฤทธิ์ชนิดนี้จัดเป็นวิชา 1 ใน 8 วิชาในพระพุทธศาสนา มีผลมาก มีอานิสงส์มากในการช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายให้คลายออกจากทุกข์ในบางระดับบางขั้นได้ แม้กระทั่งในขั้นสูงสุดก็ได้
อิทธิฤทธิ์ทั้ง 4 วิธีนี้ไม่เรียกว่าเป็นอธิษฐานฤทธิ์ แต่นับเป็นอิทธิวิธีเฉพาะ เพราะมีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง และไม่ได้อาศัยกำลังอธิษฐานเป็นกำลังนำอีกอย่างหนึ่ง
แต่ทว่าในการกระทำอิทธิฤทธิ์นี้ก็ยังคงต้องประกอบด้วยกำลังทั้งสี่ คือกำลังอิทธิบาท กำลังจิต กำลังฌานและกำลังอธิษฐานเหมือนกัน และต้องอาศัยการอธิษฐานคือการตั้งเจตนาประสงค์ที่จะให้บังเกิดฤทธิ์ด้วย
แต่กำลังหลักที่จะให้บังเกิดอิทธิฤทธิ์ก็คือกำลังอิทธิบาทและกำลังฌาน ส่วนกำลังอื่นๆ เป็นตัวหนุน
จะได้พรรณนาการกระทำอิทธิฤทธิ์วิธีมโนมยิทธิหรือมโนมัยฤทธิ์ก่อน การกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้คือการเนรมิตหรือการแปลงร่าง นั่นคือเนรมิตร่างขึ้นมาอย่างหนึ่ง และการแปลงร่างเดิมเป็นร่างอื่นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งได้พรรณนามาบ้างแล้วว่าฝ่ายมหายานนั้นนิยมชมชอบอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ดังตัวอย่างในเรื่องไซอิ๋วที่เฮ่งเจียแปลงร่างได้ถึง 72 ชนิด
เป็นเรื่องแปลกที่ในพระสูตรมักไม่ปรากฏเรื่องราวของการแปลงร่าง ซึ่งอาจเป็นเพราะพระตถาคตเจ้าและพระสาวกทรงครองเพศพรหมจรรย์อันประเสริฐ จึงไม่มีพุทธประสงค์หรือความประสงค์ที่จะแปลงร่างเป็นเพศอื่นซึ่งต่ำกว่า
ในประเทศไทยของเรานั้นในระยะร้อยกว่าปีนี้ที่ปรากฏขึ้นชื่อลือชามากก็คือการกระทำอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า พระมหาเถระผู้เป็นพระอาจารย์ของเสด็จในกรมฯ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ที่สามารถแปลงร่างได้มากมายหลายประการ และเนรมิตสัตว์อื่น ๆ ให้ปรากฏได้มากมาย
ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนก็มีเรื่องราวของเถรขวาดที่สามารถแปลงกายเป็นจระเข้ได้ ในพื้นที่ภาคใต้ก็เคยปรากฏผู้สำเร็จวิชานี้แต่ยังไม่เต็มที่นัก สามารถแปลงกายเป็นจระเข้ได้แล้วเรียกชื่อเฉพาะว่าจระเข้ปรอท คือควบคุมจิตตัวเองได้ไม่เต็มที่จึงมีความดุร้ายเหมือนจระเข้จริง ๆ
นั่นเป็นส่วนของการแปลงกาย แต่ในส่วนของการเนรมิตก็คือการเนรมิตร่างกายขึ้นมาอีกร่างหนึ่งเหมือนกับร่างกายเดิม แล้วไปทำการใด ๆ ในอีกที่หนึ่ง โดยที่ร่างกายเดิมก็ยังคงอยู่ตั้งอยู่ ซึ่งคล้าย ๆ กันกับการถอดกายทิพย์ออกไป ต่างกันก็เฉพาะที่ไปนั้นเป็นกายที่เนรมิตขึ้นหรือเป็นกายทิพย์ที่ถอดออกไป และที่ต่างกันอีกอย่างหนึ่งก็คือในกรณีกายเนรมิตจะกระทำการได้เหมือนและเช่นเดียวกันกับร่างกายเดิมที่กระทำอยู่ นั่นคือกายเดิมทำการใด ๆ แล้วไปปรากฏเป็นการกระทำของกายเนรมิตเหมือนกันทุกประการส่วนกายทิพย์นั้นสามารถกระทำการใดๆ ได้ทุกอย่าง ในขณะที่กายเดิมยังคงตั้งหรือนั่งอยู่ที่เดิม อาการเดิม
กระบวนการทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ก็เช่นเดียวกันกับการกระทำอธิษฐานฤทธิ์ คือต้องถอนจิตจากอัปปนาสมาธิสู่อุปจารสมาธิก่อน อาศัยกำลังอิทธิบาท กำลังจิต กำลังฌาน และกำลังอธิษฐานประกอบด้วยการอธิษฐานให้บังเกิดฤทธิ์ดังที่ต้องการ
เมื่อบังเกิดเป็นอิทธิฤทธิ์แล้ว การจะคลายอิทธิฤทธิ์สู่สภาพเดิมก็ด้วยการกำหนดจิตให้คืนสู่สภาพเดิม เมื่อเป็นสภาพเดิมแล้วจึงค่อยถอนจิตออกจากฌานสู่ความเป็นปกติ
ส่วนอิทธิฤทธิ์ชนิดเจโตปริยญาณนั้นเป็นอิทธิวิธีและเป็นวิชชาหนึ่งในวิชชาแปดประการ เป็นอิทธิฤทธิ์ที่สามารถล่วงรู้ใจผู้อื่นได้
ต่างกันกับวิชาบางอย่างในอินเดียขณะนั้นที่สามารถล่วงรู้ใจผู้คนได้เหมือนกัน แต่เป็นการล่วงรู้ในระดับโลกียะซึ่งพวกโยคีหรือพวกเล่นกลในอินเดียมีความสามารถ มีความรู้ และมีความชำนาญเป็นอันมาก จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ก็ยังมีปรากฏคนจำพวกนี้เข้ามาหลอกลวงต้มตุ๋น แม้กระทั่งในประเทศไทยเป็นประจำ
การต้มตุ๋นก็มีวิธี เช่น ให้เขียนตัวหนังสือหรือตัวเลขในฝ่ามือแล้วเขาจะทายว่าเป็นตัวหนังสือหรือตัวเลขอะไร เป็นต้น นี่เป็นวิชาที่ว่านั้น
วิชาดังกล่าวนี้ไม่ได้อาศัยกำลังอิทธิบาท กำลังจิต กำลังฌาน และกำลังอธิษฐาน แต่เป็นวิชาไสยชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในจำพวกเดียวกับวิชาไสยศาสตร์ที่อ่านเวทท่องมนต์หรือกระทำวิธีไสย แต่ไม่เป็นไปในทางบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงเรียกว่าวิชาดำ ต่างกับวิชาในพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกว่าวิชาขาว ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของเวไนยสัตว์ที่จะได้เข้าถึงพระธรรมอันประเสริฐ
คนเราทุกคนล้วนมีจิต จิตนั้นมีกระแสเปล่งออกจากตัว เป็นแต่ว่าตามนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น แม้กระนั้นวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ได้ประสบความสำเร็จในการตรวจวัดกระแสของจิตได้บ้างแล้วว่าจิตแต่ละขณะ แต่ละความรู้สึกสามารถวัดออกมาเป็นสีอะไร กระแสนี้นี่แหละที่จะเป็นตัวส่งสัญญาณมายังตัวรับสัญญาณคือจิตของผู้กระทำอิทธิฤทธิ์
คนแต่ละคนมีกำลังจิตไม่เท่ากัน กำลังจิตน้อยกระแสที่แผ่ออกไปก็แคบและใกล้ แต่ผู้มีกำลังจิตสูงสามารถแผ่กระแสจิตออกไปได้กว้างขวางกว้างไกลจนกระทั่งหาประมาณมิได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้จึงเป็นผู้ที่สามารถแผ่กำลังจิตออกไปอย่างกว้างขวางหาประมาณมิได้ หรือหากจะกล่าวโดยนัยทางวิทยาศาสตร์ก็อาจกล่าวได้ว่าผู้กระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้มีขีดความสามารถที่จะแผ่กระแสของเครื่องรับออกไปรับสัญญาณจากเครื่องส่งได้ไกลแสนไกลหาประมาณมิได้ ต่างกับการส่งสัญญาณทางวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีที่ปกติเครื่องส่งจะต้องมีสัญญาณแรงกว่าเครื่องรับ
กำลังอิทธิบาท กำลังฌาน และกำลังอธิษฐาน จะทำให้กำลังจิตซึ่งเป็นตัวนำแผ่กระแสจิตออกไป หรือส่งสัญญาณการรับออกไป ไกลออกไป โพ้นออกไป สู่ที่หมายได้แก่บุคคลอันเป็นที่หมาย
เมื่อกระแสของตัวรับสัญญาณแผ่ออกไปถึงกระแสของตัวส่งสัญญาณคือบุคคลอื่น ซึ่งส่งสัญญาณอาการความรู้สึกนึกคิดโดยกระแสของจิตแล้ว ตัวรับสัญญาณก็จะอ่านและรับรู้ความหมายว่าผู้นั้นมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรโดยถ่องแท้ไม่มีแปรผันเป็นอย่างอื่น
เพราะกระแสของจิตนั้นโกหกไม่ได้ และไม่มีการโกหกหลอกลวงกัน กระแสที่เปล่งออกจากจิตจึงเป็นของจริง เป็นเรื่องจริง และเป็นความจริงที่สะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดตลอดจนความรู้ความเข้าใจของผู้นั้น ด้วยเหตุนี้ผู้กระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้จึงสามารถล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจทั้งปวงของผู้อื่นนั้นได้อย่างถ่องแท้ถูกต้อง
การสัมผัสกันของกระแสรับและกระแสส่งดังกล่าวนี้บางคนบังเกิดมีขึ้นในตัวมากเป็นพิเศษ โดยที่ไม่มีการฝึกฝนอบรมจิตเลย บางคนขอเพียงมีสมาธิเล็กน้อยก็สามารถล่วงรู้จิตใจคนอื่นในระดับหยาบ ๆ ได้
ตัวอย่างง่าย ๆ ที่บางครั้งคนเราเพียงแค่เดินผ่านหรือเห็นหน้าอีกคนหนึ่งก็จะรู้ว่าเขาพอใจหรือไม่พอใจ เป็นต้น ซึ่งความจริงสิ่งเหล่านี้หลายคนอาจจะประสบพบพานด้วยตนเองมาบ้างแล้ว แต่หวนทวนไปใคร่ครวญดูเถิดว่ามักเกิดในขณะที่จิตสงบจิตนิ่ง จึงมีกระแสส่งสัญญาณรับไปสัมผัสกับสัญญาณส่งได้
พระตถาคตเจ้าทรงกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้มากที่สุดอย่างหนึ่ง จึงทำให้พระองค์สามารถตั้งคำถามหรือตรัสสอนได้ตรงกับความรู้สึกนึกคิดของผู้นั้นได้ในทันที
ดังเช่นครั้งหนึ่งพระยัสสะบุตรมหาเศรษฐีผู้มีความสมบูรณ์พูนสุขพร้อมทุกอย่างในทางโลกียสุข แล้วเกิดความอัดอั้นอึดอัดขัดใจเห็นเป็นเรื่องรำคาญวุ่นวายจึงเดินหนีออกจากบ้าน พร้อมกับเปล่งเสียงรำพึงรำพันไปตลอดทางว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ
พระพุทธองค์ได้สดับเสียงเปล่งรำพึงของพระยัสสะแล้วก็ทรงรู้ด้วยเจโตปริยญาณถึงความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงของพระยัสสะ จึงทรงเปล่งพระวาจาตรัสขึ้นบ้างว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ ที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ เข้ามาเถิด เราจะสนทนาด้วยท่าน” เป็นเหตุให้พระยัสสะตื่นจากภวังค์แล้วเข้าไปฟังพระธรรม ในที่สุดก็ขออุปสมบทเป็นพระอรหันตสาวกรูปต้น ๆ ของพระตถาคตเจ้า
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง พระตถาคตเจ้าทรงเล็งด้วยเจโตปริยญาณในเวลาใกล้รุ่งสาง เห็นพราหมณ์ผู้หนึ่งที่อาบน้ำในเวลาเช้าตรู่ทุกวันก็ทรงรู้ความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงและทรงเล็งเห็นว่าความเพียรและภูมิจิตอยู่ในระดับที่จะยอมรับพระธรรมอันประณีตลึกซึ้งได้แล้วจึงเสด็จไปโปรด แล้วถามพราหมณ์นั้นว่าพราหมณ์เอ๋ยท่านอาบน้ำทุกเวลาเช้าทำไม
พราหมณ์ตอบว่าน้ำในแม่น้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์ อาบแล้วจะได้ไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเจ้าจึงตรัสว่าถ้าเป็นจริงดังที่พราหมณ์ว่า ฝูงเต่าปูปลาในแม่น้ำนี้คงจะไปสวรรค์กันหมดก่อนพราหมณ์เสียอีก
พราหมณ์ได้ฟังพระพุทธดำรัสก็ตื่นตะลึงได้คิดแล้วขอฟังพระธรรม
การกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้เป็นประโยชน์ยิ่งต่อการประกาศเผยแผ่พระธรรมคำสอนเพราะเมื่อรู้ความคิดจิตใจ ความรู้สึก ตลอดจนอารมณ์และปัญหาต่าง ๆ ที่ค้างคาใจของผู้นั้นแล้วก็สามารถกล่าวความหรือแสดงธรรมให้ถูกตรงกับที่ขุ่นข้องติดขัดในจิตของผู้นั้นให้กระจ่างสว่างไสวได้โดยง่าย และทำให้เขาเข้าใจเข้าถึงพระธรรมได้โดยง่ายด้วย
เพราะเหตุนี้เมื่อสิ้นคำตรัสสอนของพระตถาคตเจ้าจึงมักปรากฏคำสรรเสริญของผู้ที่เสด็จไปโปรดในแทบทุกพระสูตรว่า “ภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแจ่มแจ้งจริงหนอ ดุจดังทำของคว่ำให้หงายฉะนั้น”
จึงอาจกล่าวได้ว่าวิชชานี้หรืออิทธิฤทธิ์ประการนี้มีอานิสงส์ มีผลมากต่อการประกาศศาสนาของพระตถาคตเจ้า ซึ่งพระมหาเถระในยุคปัจจุบันนี้ก็มีหลายรูปที่บรรลุถึงอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ ดังตัวอย่างของหลวงปู่แหวนหรือหลวงตาพระมหาบัวหรือหลวงพ่อคูณ เป็นต้น
พระมหาเถระเหล่านี้บางทีก็ลัดคิวเรียกผู้ที่ไปคอยพบบางคนเข้ามาหาแล้วพูดจาต้องด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ติดขัดอยู่นั้นเป็นที่อัศจรรย์
จะขอยกตัวอย่างหนึ่งซึ่งอดีตรองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรท่านหนึ่งเดินทางไปดูงานที่ประเทศอินเดีย ครั้นเผลอเมามายแล้วไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการ จากนั้นก็มีความเป็นทุกข์เป็นร้อนกลัวว่าจะติดโรคเอดส์ มีความกลัดกลุ้มรุมเร้าอยู่เป็นนิตย์ จะบอกจะกล่าวกับผู้ใดก็ไม่กล้า จะไปหาหมอก็กลัว
วันหนึ่งไปหาหลวงพ่อคูณ ไปเข้าแถวอยู่ปลายแถว ครั้นหลวงพ่อคูณเดินเคาะศีรษะเป็นลำดับมาถึงตัว หลวงพ่อคูณได้เคาะหัวให้ตามธรรมเนียมแล้วกล่าวความขึ้นว่า “มึงไม่ได้เป็นอะไรที่มึงเป็นห่วงเด้อ”
การกระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ยังสามารถทำให้ผู้กระทำอิทธิฤทธิ์ล่วงรู้เหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป เช่น รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นสุขสบายดีหรือป่วยไข้ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เป็นหรือตาย หรือคิดอ่านทำการสิ่งใดอยู่
การที่พระมหาเถระบางรูปสามารถบอกกล่าวเหตุการณ์เช่นนี้ได้ก็เพราะได้กระทำอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ แต่ก็ต้องตระหนักว่าลำดับ ขนาด ความถูกต้องแม่นยำย่อมขึ้นอยู่กับกำลังอิทธิบาท กำลังจิต กำลังฌาน และกำลังอธิษฐานนั่นเอง บางรูปกำลังเหล่านี้ยังไม่ถึงขนาดนัก แต่เพราะอาศัยความบริสุทธิ์ของศีลและบุญฤทธิ์ก็เป็นกำลังเสริมที่ทำให้เจโตปริยญาณปรากฏขึ้นในบางระดับได้ แต่พอติดยึดในโลกธรรมคือลาภ ยศ สุข สรรเสริญแล้วอิทธิฤทธิ์นั้นก็สร่างคลายลงไป ดังนั้นจึงปรากฏเสมอว่าบางครั้งถูกต้องแม่นยำ บางครั้งผิดพลาดคลาดเคลื่อนก็ด้วยเหตุดังกล่าวนี้
การที่ล่วงรู้เหตุการณ์หรือความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นเป็นครั้งเป็นคราวของคนธรรมดาที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนอบรมหรือที่ไม่สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ได้นั้นก็มีอยู่จริงเป็นครั้งเป็นคราว สาเหตุก็เกิดจากเทพยดาบันดาลให้กระแสของจิตถึงกันได้อย่างหนึ่ง หรือด้วยอำนาจแห่งบุญฤทธิ์ทำให้บังเกิดฤทธิ์เฉพาะครั้งเฉพาะคราวอีกอย่างหนึ่ง
อิทธิฤทธิ์ชนิดนี้จัดเป็นวิชา 1 ใน 8 วิชาในพระพุทธศาสนา มีผลมาก มีอานิสงส์มากในการช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายให้คลายออกจากทุกข์ในบางระดับบางขั้นได้ แม้กระทั่งในขั้นสูงสุดก็ได้