คลิกที่ไอคอน Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้
ผมมักได้รับคำถามนี้อยู่บ่อยๆ จากคนที่ติดตามเหตุการณ์บ้านเมือง และอยากรู้ว่า "ปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล" จะส่งผลต่อไปอย่างไร
ที่สำคัญ "เกมนี้จะจบอย่างไร"
ผมก็ได้แต่ตอบตามความเข้าใจของตัวเองว่า รายการที่จัดขึ้นทุกเย็นวันศุกร์ที่ลุมพินีสถานนั้น คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ก็ทำหน้าที่สนทนาในประเด็นที่น่าสนใจ และจี้จุดเป็นคำถามที่น่าข้องใจหรือน่าสงสัยในความถูกต้องโปร่งใสให้ผู้นำรัฐบาลตอบ (แต่ประชาชนยังไม่ได้รับคำตอบ)
จึงเป็นการทำหน้าที่สื่อของรายการโทรทัศน์ที่มาบันทึกรายการถ่ายทอดสดจากนอกห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ที่กรรมการ อสมท สั่งปลดรายการเพื่อเอาใจผู้นำรัฐบาล
ด้วยประเด็นเรื่องราวที่ถูกนำมาตีแผ่ และกระทุ้งด้วยคำถามที่โดนใจสังคม รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เย็นวันศุกร์จึงถูกจับตา และติดตามอย่างหนาแน่นของผู้คนตั้งแต่ระดับชนชั้นกลางขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ที่ได้รับประเด็นและข้อมูล
และมักจะตามมาด้วยการรำพึงด้วยความตื่นตาตื่นใจว่า "ถึงขนาดนี้เชียวหรือ!"
คุณสนธิเองเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็ยังเปิดเผยว่าขณะนี้วงการราชการที่เห็นความไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมมีการส่งข้อมูลมาให้มากเรื่องม ากประเด็น
ชนิดที่จัดกันต่อเนื่องไม่มีวันหมดประเด็น
รายการนี้จึงเป็นช่องทางในการรับรู้ข่าวสารอีกด้านหนึ่งที่สังคมต้องการ และมักกลายเป็นข่าวใหญ่ตามหนังสือพิมพ์ที่มองเห็นความโดดเด่นตามหลักวิชาชีพ
ปรากฏการณ์ของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร จึงนับว่าเป็นพัฒนาการด้านการสื่อสารมวลชนอีกลักษณะหนึ่ง ที่ช่วยยกระดับการรับรู้ "ข่าวสารข้อมูล" ขึ้นเป็น "ความรู้" และต่อเนื่องเป็น "ปัญญา"
เป็นการบรรยายสดท่ามกลางมวลชนที่ "ลุมพินีสถาน" และถ่ายทอดสดทางเครือข่ายวิทยุชุมชน 97.75 และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียว ASTV
นอกจากมิติการรับรู้ข่าวสารของประชาชนได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญผ่านกลไกสื่อสารมวลชนยุคใหม่ ที่พยายามสกัดกั้นของกลไกรัฐยังทำไม่ได้เต็มที่
ขณะที่มิติการตรวจสอบจากสื่อก็ได้พัฒนารูปแบบไปด้วยเช่นกัน
สังคมจึงต้องการสิ่งชดเชยการทำงานกลไกขององค์กรการตรวจสอบตามระบบการเมืองที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ได้ถูกนักการเมืองแทรกแซงให้เดินเครื่องไม่ได้เต็มที่
น่าเสียดายที่ประเด็นซึ่งถูกหยิบยกจนสังคม "ตาโต" อยากรู้คำตอบจากรัฐบาล แทนที่จะมีการชี้แจงด้วยข้อเท็จจริงอย่างจะแจ้ง หากยืนยันว่าทำถูกหรือยอมรับความบกพร่องแล้วรีบแก้ไข
ลิ่วล้อที่ออกมาตอบโต้กลับทำได้แค่ถ้อยคำสำนวนแบบ "โต้วาที" หรือเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อหวังทำลายความน่าเชื่อถือ
ดังนั้น เมื่อคุณสนธิยืนยันว่าไม่ได้มองว่านายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นศัตรู แต่จะเปิดประเด็น เปิดโปงนักการเมืองที่ทุจริตกอบโกยเพื่อเครือญาติและพวกพ้อง โดยหากินกับผลประโยชน์ของชาติตลอดไป
รายการนี้จึงสามารถจัดไปได้เรื่อยๆ เพราะมีคนของรัฐบาลทั้ง "เชียร์แขก" และสร้างเรื่องสร้างประเด็นที่น่าสงสัยให้ได้พูดกันไปไม่หมดมุกแน่
ส่วนจำนวนคนที่ติดตามไปดูสดๆ หรือดูการถ่ายทอดทางวิทยุและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนั้น มากมายอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องมาโต้เถียงกันเรื่องตัวเลขจำนวนคน
เพราะสาระประเด็นที่น่าสงสัยในความถูกต้องเป็นธรรมสำคัญกว่ามิใช่หรือ
แต่ถ้ากลไกของระบบถูกทำให้ง่อยเปลี้ยเพราะอำนาจอิทธิพลทางการเมือง ความถูกต้องเป็นธรรมก็ไม่เกิดขึ้นได้ เพียงแต่ข้อมูลเรื่องราวก็จะถูกเก็บกดสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่กลไกการทำงานตามปกติมีการอบรมสัมมนาปลุกจิตสำนึกให้ทำงานอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม แต่ถ้าปรากฏการณ์ที่เป็นจริงที่เบี่ยงเบนไปเพราะความเกรงอำนาจนักการเมือง
ราวกับภาพในจินตนาการให้ทำดีกับความเป็นจริงที่ได้รู้เห็นในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจอิทธิพล ก็จะยิ่งขัดแย้งเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
อีกตัวอย่างก็เกิดจากดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาสอบสวนเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต แถลงเกี่ยวกับมาตรฐานการปฏิบัติของกรมสรรพากร
เรื่องนี้เกิดเพราะได้รับร้องเรียนจากคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ซึ่งเคยถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี เนื่องจากซื้อหุ้นบริษัททางด่วนกรุงเทพ จากพ่อตัวเองในราคาถูกกว่าราคาในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งสรรพากรชี้เห็นว่าตั้งราคาต่ำกว่าราคาตลาด ถือเป็นผลประโยชน์ที่ต้องนำไปคำนวณรวมกับการเสียภาษีเงินได้ประจำปี และเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีกประมาณ 2 หมื่นบาท แต่ต่อมากรมสรรพากรได้ทำหนังสือแจ้งให้ไปรับเงินค่าภาษีคืน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำเรื่องขอคืน
กรณีนี้ถูกตั้งข้อสงสัยกรมสรรพากรต้องรับคืนเงินภาษี เพราะเกรงจะเกิดผลกระทบต่อครอบครัว ชินวัตร ซึ่งมีการโอนขายหุ้นโดยตั้งราคาต่ำกว่าราคาในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้โดยการตีความใหม่ว่า แม้จะมีส่วนต่างๆ ราคาหุ้น แต่เพราะยังไม่มีการขายออกไปประโยชน์นั้นจึงยังไม่ต้องเสียภาษี
แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ายึดตามการรณรงค์ตามหลัก "ค่านิยมสร้างสรรค์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ" ที่ระบุให้
1. กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง 2. ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ 3. โปร่งใสและตรวจสอบได้ 4. ไม่เลือกปฏิบัติ 5. มุ่งผลสำเร็จของงาน
ผมมักได้รับคำถามนี้อยู่บ่อยๆ จากคนที่ติดตามเหตุการณ์บ้านเมือง และอยากรู้ว่า "ปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล" จะส่งผลต่อไปอย่างไร
ที่สำคัญ "เกมนี้จะจบอย่างไร"
ผมก็ได้แต่ตอบตามความเข้าใจของตัวเองว่า รายการที่จัดขึ้นทุกเย็นวันศุกร์ที่ลุมพินีสถานนั้น คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ก็ทำหน้าที่สนทนาในประเด็นที่น่าสนใจ และจี้จุดเป็นคำถามที่น่าข้องใจหรือน่าสงสัยในความถูกต้องโปร่งใสให้ผู้นำรัฐบาลตอบ (แต่ประชาชนยังไม่ได้รับคำตอบ)
จึงเป็นการทำหน้าที่สื่อของรายการโทรทัศน์ที่มาบันทึกรายการถ่ายทอดสดจากนอกห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ที่กรรมการ อสมท สั่งปลดรายการเพื่อเอาใจผู้นำรัฐบาล
ด้วยประเด็นเรื่องราวที่ถูกนำมาตีแผ่ และกระทุ้งด้วยคำถามที่โดนใจสังคม รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เย็นวันศุกร์จึงถูกจับตา และติดตามอย่างหนาแน่นของผู้คนตั้งแต่ระดับชนชั้นกลางขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ที่ได้รับประเด็นและข้อมูล
และมักจะตามมาด้วยการรำพึงด้วยความตื่นตาตื่นใจว่า "ถึงขนาดนี้เชียวหรือ!"
คุณสนธิเองเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็ยังเปิดเผยว่าขณะนี้วงการราชการที่เห็นความไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมมีการส่งข้อมูลมาให้มากเรื่องม ากประเด็น
ชนิดที่จัดกันต่อเนื่องไม่มีวันหมดประเด็น
รายการนี้จึงเป็นช่องทางในการรับรู้ข่าวสารอีกด้านหนึ่งที่สังคมต้องการ และมักกลายเป็นข่าวใหญ่ตามหนังสือพิมพ์ที่มองเห็นความโดดเด่นตามหลักวิชาชีพ
ปรากฏการณ์ของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร จึงนับว่าเป็นพัฒนาการด้านการสื่อสารมวลชนอีกลักษณะหนึ่ง ที่ช่วยยกระดับการรับรู้ "ข่าวสารข้อมูล" ขึ้นเป็น "ความรู้" และต่อเนื่องเป็น "ปัญญา"
เป็นการบรรยายสดท่ามกลางมวลชนที่ "ลุมพินีสถาน" และถ่ายทอดสดทางเครือข่ายวิทยุชุมชน 97.75 และโทรทัศน์ผ่านดาวเทียว ASTV
นอกจากมิติการรับรู้ข่าวสารของประชาชนได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญผ่านกลไกสื่อสารมวลชนยุคใหม่ ที่พยายามสกัดกั้นของกลไกรัฐยังทำไม่ได้เต็มที่
ขณะที่มิติการตรวจสอบจากสื่อก็ได้พัฒนารูปแบบไปด้วยเช่นกัน
สังคมจึงต้องการสิ่งชดเชยการทำงานกลไกขององค์กรการตรวจสอบตามระบบการเมืองที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ได้ถูกนักการเมืองแทรกแซงให้เดินเครื่องไม่ได้เต็มที่
น่าเสียดายที่ประเด็นซึ่งถูกหยิบยกจนสังคม "ตาโต" อยากรู้คำตอบจากรัฐบาล แทนที่จะมีการชี้แจงด้วยข้อเท็จจริงอย่างจะแจ้ง หากยืนยันว่าทำถูกหรือยอมรับความบกพร่องแล้วรีบแก้ไข
ลิ่วล้อที่ออกมาตอบโต้กลับทำได้แค่ถ้อยคำสำนวนแบบ "โต้วาที" หรือเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อหวังทำลายความน่าเชื่อถือ
ดังนั้น เมื่อคุณสนธิยืนยันว่าไม่ได้มองว่านายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นศัตรู แต่จะเปิดประเด็น เปิดโปงนักการเมืองที่ทุจริตกอบโกยเพื่อเครือญาติและพวกพ้อง โดยหากินกับผลประโยชน์ของชาติตลอดไป
รายการนี้จึงสามารถจัดไปได้เรื่อยๆ เพราะมีคนของรัฐบาลทั้ง "เชียร์แขก" และสร้างเรื่องสร้างประเด็นที่น่าสงสัยให้ได้พูดกันไปไม่หมดมุกแน่
ส่วนจำนวนคนที่ติดตามไปดูสดๆ หรือดูการถ่ายทอดทางวิทยุและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนั้น มากมายอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องมาโต้เถียงกันเรื่องตัวเลขจำนวนคน
เพราะสาระประเด็นที่น่าสงสัยในความถูกต้องเป็นธรรมสำคัญกว่ามิใช่หรือ
แต่ถ้ากลไกของระบบถูกทำให้ง่อยเปลี้ยเพราะอำนาจอิทธิพลทางการเมือง ความถูกต้องเป็นธรรมก็ไม่เกิดขึ้นได้ เพียงแต่ข้อมูลเรื่องราวก็จะถูกเก็บกดสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่กลไกการทำงานตามปกติมีการอบรมสัมมนาปลุกจิตสำนึกให้ทำงานอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม แต่ถ้าปรากฏการณ์ที่เป็นจริงที่เบี่ยงเบนไปเพราะความเกรงอำนาจนักการเมือง
ราวกับภาพในจินตนาการให้ทำดีกับความเป็นจริงที่ได้รู้เห็นในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจอิทธิพล ก็จะยิ่งขัดแย้งเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
อีกตัวอย่างก็เกิดจากดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาสอบสวนเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต แถลงเกี่ยวกับมาตรฐานการปฏิบัติของกรมสรรพากร
เรื่องนี้เกิดเพราะได้รับร้องเรียนจากคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ซึ่งเคยถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี เนื่องจากซื้อหุ้นบริษัททางด่วนกรุงเทพ จากพ่อตัวเองในราคาถูกกว่าราคาในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งสรรพากรชี้เห็นว่าตั้งราคาต่ำกว่าราคาตลาด ถือเป็นผลประโยชน์ที่ต้องนำไปคำนวณรวมกับการเสียภาษีเงินได้ประจำปี และเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีกประมาณ 2 หมื่นบาท แต่ต่อมากรมสรรพากรได้ทำหนังสือแจ้งให้ไปรับเงินค่าภาษีคืน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำเรื่องขอคืน
กรณีนี้ถูกตั้งข้อสงสัยกรมสรรพากรต้องรับคืนเงินภาษี เพราะเกรงจะเกิดผลกระทบต่อครอบครัว ชินวัตร ซึ่งมีการโอนขายหุ้นโดยตั้งราคาต่ำกว่าราคาในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้โดยการตีความใหม่ว่า แม้จะมีส่วนต่างๆ ราคาหุ้น แต่เพราะยังไม่มีการขายออกไปประโยชน์นั้นจึงยังไม่ต้องเสียภาษี
แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ายึดตามการรณรงค์ตามหลัก "ค่านิยมสร้างสรรค์ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ" ที่ระบุให้
1. กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง 2. ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ 3. โปร่งใสและตรวจสอบได้ 4. ไม่เลือกปฏิบัติ 5. มุ่งผลสำเร็จของงาน