xs
xsm
sm
md
lg

วัยรุ่นหยิบโหย่ง?

เผยแพร่:   โดย: วรศักดิ์ มหัทธโนบล

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผมได้แวะไปกินข้าวกับเพื่อนที่ร้านอาหารเจ้าประจำร้านหนึ่งซึ่งเจ้าของร้านรู้จักคุ้นเคยกับพวกเราเป็นอย่างดี และด้วยเหตุที่ว่า เจ้าของร้านจึงมักจะเข้ามานั่งคุยกับเราอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน....

ตอนหนึ่งของการสนทนา เจ้าของร้านได้ระบายความทุกข์เรื่องหนึ่งของตนสู่กันฟัง เรื่องที่ว่านี้ก็คือ การเข้าออกของพนักงานเสิร์ฟ อันเป็นประเด็นที่ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เรารู้ๆ กันอยู่ ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่พบเห็นกันเป็นประจำ

นั่นคือ พบว่าพนักงานเสิร์ฟส่วนใหญ่มักจะเป็นวัยรุ่นจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะจากภาคอีสานและภาคเหนือของประเทศไทยเรา พอถึงหน้าแล้งก็พากันมาหางานทำที่กรุงเทพฯ และพอถึงหน้านาก็กลับไปทำนา หมุนเวียนกันไปเช่นนี้

ฉะนั้น การที่พนักงานเสิร์ฟจะเข้าจะออกจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนรู้กันมานานแล้ว เช่นเดียวกับอีกหลายเรื่องที่คล้ายๆ กันที่ไม่เฉพาะแรงงานแบบพนักงานเสิร์ฟ เช่น คนขับแท็กซี่ คนใช้ตามบ้าน คนงานก่อสร้าง หรืออาชีพที่ใช้แรงงานอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ที่ไม่ธรรมดาจนผมต้องนำมาเล่าต่อก็คือว่า พี่เจ้าของร้านเล่าว่า ถ้าพนักงานเสิร์ฟเหล่านี้อยู่สักสามสี่เดือนแล้วค่อยกลับไปเขาคงไม่เดือดร้อนอะไรมากนัก (คือเป็นเรื่องปกติ) แต่ที่เดือดร้อนคือพนักงานเสิร์ฟเหล่านี้อยู่เพียงแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์แล้วก็ออก

พี่เขาเล่าว่า หลายปีที่ผ่านมานี้เขาพบว่า วัยรุ่นที่เข้ามาเป็นพนักงานเสิร์ฟเหล่านี้เมื่อถึงเวลาทำงานจะไม่มีความคิดที่จะคอยดูว่าลูกค้าโต๊ะไหนยังต้องการอะไรหรือไม่ เช่น น้ำ น้ำแข็ง ข้าวปลาอาหาร หรือเครื่องดื่มที่โต๊ะของลูกค้าหมดหรือยัง ต้องการเพิ่มอีกหรือไม่ ฯลฯ

ส่วนใหญ่แล้วพอเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มที่ลูกค้าสั่งในครั้งแรกเสร็จ ทุกคนก็จะนั่งอยู่ในโต๊ะที่ว่างแล้วจับกลุ่มพูดคุยกันหัวร่อต่อกระซิก โดยปล่อยให้ลูกค้าเรียกเองหากต้องการอะไรเพิ่ม และเมื่อลูกค้าเรียก แต่ละคนก็จะเกี่ยงกันที่จะลุกไปหาลูกค้า พี่เขาบอกว่า นี่ยังโชคดีที่ทางร้านมีพนักงานเสิร์ฟที่อยู่ค่อนข้างถาวรอยู่คนสองคนที่ขยันขันแข็ง และมีจิตใจบริการอย่างที่พนักงานเสิร์ฟควรจะมีกัน หาไม่แล้วร้านของพี่เขาคงเจ๊งไปนานแล้ว

พี่เขาบอกว่า ตอนแรกๆ ที่เจอปัญหาที่ว่านี้พี่แกยังไม่คิดอะไรมาก คิดว่าตนเองอาจจะดูแลไม่ดีพอบ้าง หรือเด็กอาจจะไปพบร้านใหม่ที่รู้สึกว่าดูแลดีกว่าร้านของตัวเอง ฯลฯ แต่พอเห็นบ่อยๆ เข้ารุ่นแล้วรุ่นเล่าก็เริ่มที่จะเอะใจ จากนั้นจึงค่อยๆ สืบสาวราวเรื่องจากพนักงานเสิร์ฟเหล่านี้รุ่นแล้วรุ่นเล่าเช่นกัน ถามไปถามมาก็พบว่า มันมีอะไรมากกว่าที่ตนเข้าใจตั้งแต่แรก จากนั้นพี่แกก็เล่าให้เราฟังทีละฉากๆ....

เริ่มจากวัยรุ่นเหล่านี้บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ที่ตัวเองต้องจากบ้านเกิดที่อีสานหรือทางเหนือมาทำงานในกรุงเทพฯ ไม่ใช่เพราะที่บ้านยากจนหรือไม่มีงานให้ทำแต่อย่างไร ที่นาหรือเรือกสวนก็มีอยู่โข ไม่ใช่ไม่มี แต่ที่มาก็เพราะไม่อยากมีชีวิตกลางไร่กลางนาต่างหาก

วัยรุ่นเหล่านี้บอกว่า ชีวิตกลางไร่กลางนานั้นทำให้ไม่สามารถแต่งเนื้อแต่งตัวเยี่ยงหนุ่มสาวชาวกรุง และเป็นชีวิตที่ตนไม่ต้องการจะเป็น เพราะเป็นชีวิตที่หนักและมือหนาสากหยาบกร้าน พร้อมกันนั้นก็ประกาศที่จะไม่สืบทอดอาชีพเกษตรจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายอีกเป็นอันขาด

สิ่งที่วัยรุ่นเหล่านี้คิดแบบรวดเร็วปานสายฟ้าแลบก็คือ การไม่อาจรอที่จะเรียนให้จบในระดับที่สูงยิ่งขึ้นซึ่งจะทำให้ตนได้งานดีๆ ทำ ดังนั้น พอจบมัธยมต้นหรือปลาย ต่างก็ไม่คิดที่จะเรียนต่อ และมุ่งหน้าเข้ากรุงเพื่อมาหางานทำ

งานในเมืองกรุงที่วัยรุ่นเหล่านี้ได้ยินมานั้นเป็นงานที่หาง่ายมาก และยังเป็นงานที่ใช้แรงงานและความรู้น้อย แต่ได้เงินพอๆ กับค่าแรงขั้นต่ำ อีกทั้งยังกินอยู่กับเจ้าของกิจการและมีอิสระมากกว่ากรรมกรในโรงงานอีกด้วย ไม่เหมือนกับงานในท้องไร่ท้องนาที่ต้องรอเป็นเวลานานนับเดือนกว่าจะได้หยิบจับเงินทอง แถมยังไม่มีความแน่นอนจากดินฟ้าอากาศอีกด้วย

ส่วนงานที่ไม่หนักและไม่ต้องใช้ความรู้มากงานหนึ่งก็คือ พนักงานเสิร์ฟตามร้านอาหารนั่นเอง

วัยรุ่นเล่าว่า ก่อนที่ตนจะมาเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารของพี่เขานั้น พวกตนต่างก็เคยอยู่ร้านอื่นมาก่อนแล้ว พร้อมกันนั้นก็โชว์โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ ให้พี่เขาเห็น แล้วบอกว่า นี่คือผลผลิตจากการที่ตนเก็บหอมรอมริบเอาไว้จากค่าแรงที่ได้

และที่สำคัญคือ โทรศัพท์มือถือนี่แหละคือวัตถุชิ้นแรกที่วัยรุ่นเหล่านี้หมายมุ่งจะเอาให้ได้ บางคนได้มาตั้งแต่ก่อนเข้ากรุงก็มี เพราะขอเงินจากพ่อแม่ซื้อมา โดยส่วนหนึ่งของเงินที่ซื้อก็คือ เงินกู้ ซึ่งมีทั้งเงินของรัฐและเอกชน (ผมคงไม่ต้องบอกนะครับ ว่าเงินของรัฐคือเงินก้อนไหน)

หลังจากได้วัตถุชิ้นแรกอันเป็นยอดปรารถนาแล้ว สิ่งอื่นที่ตามมาก็คือ การแต่งตัว โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงนั้นให้ความสำคัญมากกับครีมบำรุงผิว ใครที่ผิวขาวอยู่แล้วก็ใช้ครีมถนอมหรือบำรุงผิวให้นวลเนียนขึ้น ส่วนใครที่ผิวดำหรือคล้ำก็ใช้ครีมที่ทาให้ตัวขาว

เมื่อสิ่งที่หวังในเบื้องต้นสำเร็จแล้ว ต่อไปก็คือ กิจกรรมในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งที่สำคัญที่สุดก็ไม่ใช่อะไรอื่น หากคือการใช้มือถือพูดคุยกับเพื่อนในแวดวงเดียวกัน เพื่อนเหล่านี้มีทั้งที่มาจากบ้านเดียวกันและที่ได้รู้จักกันในร้านอาหาร และทั้งหมดต่างก็มีความหวังและความฝันอย่างเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย นั่นคือ การมีชีวิตเยี่ยงคนชั้นกลาง (หรือสูง) ในกรุงเทพฯ เหตุฉะนั้น การใช้มือถือพูดคุยติดต่อกันบ่อยๆ ในแต่ละวันจึงเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ประสพผลสำเร็จดังที่ตนหวังและฝัน

ถึงตรงนี้พี่เจ้าของร้านจึงนึกขึ้นได้ว่า ในขณะที่วัยรุ่นพนักงานเสิร์ฟเหล่านี้จับกลุ่มพูดคุยกันแทนที่จะคอยดูแลลูกค้านั้น ส่วนหนึ่งยังได้มีการพูดคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ด้วย

หลังจากฟังวัยรุ่นพนักงานเสิร์ฟบอกเล่าเรื่องราวของตนเองมาถึงตอนนี้แล้วก็มาถึงคำถามสุดท้าย เมื่อพี่เจ้าของร้านถามว่า ในเมื่อต่างก็ไม่มีปัญหากับการทำงานในร้านของพี่เขาแล้ว เหตุใดจึงคิดที่จะลาออกทั้งที่ทำงานได้เพียงแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์

คำตอบของวัยรุ่นก็คือว่า งานที่ร้านพี่เขานั้นหนัก เพราะโดยมากมักจะมีลูกค้าเข้ามาทานอาหารกันมากในหลายช่วงเวลา โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์ ไม่เหมือนกับอีกบางร้านที่มีลูกค้าน้อย ทำให้เขาและเธอยังมีเวลาว่างที่จะมาพูดคุยหรือนัดกันไปเที่ยว

และที่มีการใช้มือถือพูดคุยกับเพื่อนฝูงนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลว่าร้านไหนหรือของใครที่มีลูกค้าน้อย เพื่อจะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะย้ายร้านเสิร์ฟดีหรือไม่ และด้วยเหตุนี้เอง พี่เจ้าของร้านจึงได้สรุปให้เราฟังว่า เวลาที่วัยรุ่นเหล่านี้ตัดสินใจจะไปที่ใหม่ ทั้งเขาและเธอก็ไม่คิดที่จะแจ้งพี่แกล่วงหน้า

เรียกว่า คิดจะไปก็ไป คิดจะมาก็มา โดยที่พี่แกทำอะไรไม่ได้ด้วย เพราะค่าแรงนั้นวัยรุ่นเหล่านี้ได้ไปแบบวันต่อวันอยู่แล้ว ทั้งนี้พี่แกบอกด้วยว่า การรับเงินแบบวันต่อวันนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่วัยรุ่นใช้ต่อรองเวลาที่มาสมัครงานกับพี่แก โดยบอกว่า ที่ไหนๆ ก็ยอมรับเงื่อนไขนี้ทั้งนั้น

โดยสรุปก็คือ แทบไม่มีวัยรุ่นคนไหนสมัครใจที่จะรับค่าตอบแทนแบบเดือนต่อเดือนอีกแล้ว เพราะมันผูกมัดมากเกินไป

ผมฟังเรื่องที่พี่เจ้าของร้านเล่าให้ฟังแล้วก็ได้แต่นิ่งอึ้ง เพราะเมื่อคิดดูแล้วในด้านหนึ่งมันเป็นสิทธิที่วัยรุ่นสามารถเรียกร้องต่อรองได้ และที่ต่อรองได้ก็เพราะวัยรุ่นรู้ดีว่าเจ้าของร้านอาหารเดี๋ยวนี้ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ต่างก็มีความต้องการพนักงานเสิร์ฟอย่างมาก ไม่งั้นร้านก็จะเปิดไม่ได้

ส่วนในประเด็นการใช้ชีวิตของวัยรุ่นดังที่เล่ามานั้น จะว่าไปก็เป็นสิทธิอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือเป็นสิทธิที่จะหวังและฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า และในเมื่อตนเห็นว่าชีวิตวัยรุ่นเมืองกรุงเป็นอีกมาตรฐานหนึ่งของชีวิตที่ว่านั้น วัยรุ่นต่างจังหวัดเหล่านี้จึงไม่ลังเลที่จะทิ้งบ้านเกิดของตนเข้ามาแสวงหาชีวิตที่ว่า ส่วนชีวิตเดิมๆ นั้นทั้งเขาและเธอต่างพร้อมใจที่จะทิ้งมันไว้ข้างหลัง

เห็นได้ชัดว่า วัยรุ่นเหล่านี้ปฏิเสธชีวิตเศรษฐกิจที่พอเพียง แล้วหันมามีชีวิตเศรษฐกิจบริโภคนิยม และถึงแม้จะต้องดิ้นรนมากกว่าวัยรุ่นที่เป็นบุตรหลานของคนชั้นกลาง (หรือสูง) ในเมืองกรุงก็ตาม ก็ดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ของวัยรุ่นเหล่านี้ เพราะมันดิ้นรนไม่มากนัก แถมยังมีอำนาจต่อรองในระดับหนึ่งอยู่ด้วย ที่สำคัญคือ การไม่ต้องดิ้นรนมากนั้นยังช่วยสนองให้ตนสามารถเข้าถึงชีวิตที่บริโภคนิยมได้ง่ายเสียด้วย โดยที่การเข้าถึงนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนกันเด๊ะกับคนชั้นกลาง ฉะนั้น มันจะยั่งยืนหรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องที่สลักสำคัญ ทำได้ก็ดีไป ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

การที่วัยรุ่นเป็นเช่นนี้ สำหรับผมแล้วประเด็นไม่ได้อยู่ที่ดีหรือไม่ดี เพราะในเมื่อคนกรุงยังสามารถที่จะมีและใช้ชีวิตเช่นที่ว่าได้ เหตุใดวัยรุ่นต่างจังหวัดเหล่านี้จะมีและใช้บ้างไม่ได้ ส่วนใครที่ทำให้วัยรุ่นต่างจังหวัดเป็นแบบนี้ ผมคิดว่าคงไม่ต้องตอบ เช่นเดียวกับที่ไม่ต้องตอบว่า สังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร

ถึงแม้ว่าเยาวชนจะคืออนาคตของชาติก็ตาม
กำลังโหลดความคิดเห็น