xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ต้องหวังอะไรมากในยุคที่การเมืองเลวผิดปกติ

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

ปีนี้ดูเหมือนจะเป็นปีแรกที่กลุ่มชนในอาชีพต่างๆ เกือบทุกอาชีพทั่วประทศได้จับกลุ่มรวมตัวกันขึ้นเรียกร้องความเป็นธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันมากมายอย่างนี้มาก่อน

เริ่มตั้งแต่ขบวนการชาวนา และขบวนการครูทั่วประเทศ เป็นต้นไป

ไม่มีใครรู้ว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างไร?

ที่ไม่รู้และคาดหมายไม่ได้ก็เพราะว่าเราไม่มีแหล่งข่าวทางการเมืองที่เชื่อถือได้ เพราะเมืองไทยเวลานี้ แม้ว่าเราจะมีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายและองค์กรการเมืองใดๆ ก็ตามเต็มประเทศ แต่กฎหมายและองค์กรทางการเมืองเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสวะที่สกปรกที่สุดในบ้านเมืองหรือเป็นเพียงกลุ่มโจรสลัดทางการเมืองกลุ่มหนึ่งซึ่งเข้ามาอาศัยแผ่นดินไทยมาเป็นที่ทำมาหากินที่เจ้าของชาติส่วนใหญ่มอบความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งสิ้น

ปัญหาของประชาชนคนไทยและบ้านเมืองของไทยทุกเรื่องที่เวลานี้ยังเกิดอยู่ และมีความสับสนวุ่นวายร้อยแปดในแต่ละวัน แต่ในขณะนี้เกิดจากการกระทำทางการเมืองและเกิดจากองค์กรการเมืองเหล่านี้ทั้งสิ้น

ไม่ใช่การเมืองของประชาชนหรือนักการเมืองของประชาชนที่อาจจะคิดกัน

เหมือนประเทศชาติอื่นๆ คนไทยทั้งชาติก็ถือว่าการจัดการปัญหาต่างๆ ในบ้านเมืองนั้น จะต้องมีคนและกลุ่มคนที่มีศีลมีสัตย์กลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า นักการเมือง ช่วยกันเข้ามารับหน้าที่แทนพวกเขา แต่ในเมืองไทยกลุ่มคนพวกนี้และองค์กรทางการเมืองเหล่านี้ เป็นกลุ่มและองค์กรที่จะใช้ประเทศชาติและประชาชนทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวเท่านั้น ทุกอย่างเขาจะโกหกต่อประชาชนพลเมืองทุกคนที่คิดไปว่าเขาคือเทพเจ้าที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ผู้คน และบ้านเมืองมีความสุขและความอุดมสมบูรณ์

เขาจะพูดได้และทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะช่วยให้เขามีโอกาสได้รับความสะดวกในการปล้นชิงคดโกงทุกอย่างทั้งทางด้านรูปธรรมและนามธรรม เมื่อประชาชนที่เขาโกหกถือว่าเขาคือเทพเจ้าพวกหนึ่ง แต่มาถึงยุคนี้เขาจะใช้เงินจำนวนมหาศาลซื้อเสียงจากประชาชนให้เลือกพวกเขาเข้ามาถูกต้องตามวิธีการทางประชาธิปไตยซึ่งจะทำให้เขาสามารถไปโกหกได้ทุกหนทุกแห่งว่าเขาเป็นผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่เข้ามารับใช้ประชาชนให้ทำหน้าที่แทน

ความดื้อด้านและการหวงแหนผลประโยชน์ของตัวเองเริ่มรุนแรงถึงที่สุด ถ้าหากเขารู้สึกตัวว่ามีคนรู้ทันหรือมีคนเข้าขัดขวางเปิดโปงเขา เขาจะเริ่มใช้วิธีการสกปรกเข้ามาเล่นงาน ทันทีอย่างกรณี คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เผชิญอยู่วันแล้ววันเล่าเริ่มตั้งแต่การปาระเบิดสำนักงาน และใช้ขี้เป็นเครื่องมือบอกกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลโดยเอาขี้ไปขว้างสำนักงาน เมื่อไม่กี่วันมานี้ ตลอดจนการติดโปสเตอร์ตามจังหวัดต่างๆ และคนที่เข้าไปปลดป้ายเชียร์คุณสนธิจะถูกรุมกระทืบเป็นการสั่งสอนอย่างสนุกสนาน รวมถึงจ้างคนส่งอีเมลด่าสาดเสียเทเสียในเว็บไซต์ และการกระทำอย่างอื่นอีกซึ่งเป็นการกระทำของเดียรัจฉานทางการเมืองของเราในขณะนี้

เป็นการเล่นการเมืองที่ไม่เคยมีชนชาติไหนๆ เคยเล่นกันมาก่อนหรือได้สร้างแบบแผนชั่วร้ายเหล่านี้มาก่อน

แต่มันเป็นการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่เราอ้างกันนักอ้างกันหนาว่าเราได้รับเลือกตั้งมาเพราะความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชน

แต่ในวงการเมืองไทย องค์กรทางการเมืองไทยเราจะตอบโต้ และใช้ความรุนแรงต่อคนที่ตนคิดว่าเป็นศัตรูหรือผู้ขัดขวางผลประโยชน์ของตนอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะต้องลงมือเองหรือออกคำสั่งวางแผนในการต่อสู้ทำลายให้สิ้นซากได้ใช้ชาติไทยเป็นแหล่งทำมาหากินเรียบร้อยแล้ว

ทั้งหมดเป็นลักษณะของการเมืองไทยหรือเป็นรูปแบบของการเมืองในเมืองไทยในระยะนี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาดูและติดตามข่าวในบ้านเมืองแต่ละวันแล้ว จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าการเมือง และนักการเมืองของไทยตลอดจนกระทั่งการฝังตัวเแอบแฝงหากินทางการเมืองในนามของกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองเรียบร้อยไปแล้ว

การเมืองของประชาชนโดยประชาชนที่เกิดขึ้นในการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทยในปี 2475 เพราะเรามีความคิดกันว่าการจะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติประชาชนได้อย่างถึงที่สุดนั้น จะขึ้นอยู่กับระบบการปกครอง คือเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบที่ประชาชนมีส่วนร่วม

มีการประกาศและมีการโฆษณากันอึกทึกครึกโครมว่ามันคือระบบที่ดีสุดที่จะช่วยนำให้ประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอันหาที่สุดมิได้ ประชาชนและประเทศชาติจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์

ก็ว่ากันอย่างนั้นและก็ตกลงยอมรับกัน

แต่ตามความเป็นจริงเริ่มตั้งแต่ปี 2475 ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นต้นมานั้น ระบอบประชาธิปไตยที่เราได้มานั้นมีการกระทำที่เด่นชัด และถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคนั้นจนกระทั่งบัดนี้กลายเป็นสังคมการเมืองที่ฝรั่งเรียกว่า "สังคมหมากินหมา" หรือ Dog Eat Dog Society ซึ่งถือว่าคนในสังคมนี้ "กู" แต่ผู้เดียวจะเป็นมนุษย์ที่วิเศษที่สุด ดีกว่าคนอื่นหรือไม่ก็เป็นสังคมที่จะต้องเอาบุคคลที่เป็นโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลเข้ามาทำมาหากินหรือเป็นมือเป็นตีนในการคดบ้านกินเมืองที่เรียกว่า Nepotismอย่างที่นักการเมืองของเรากำลังช่วยกันกระทำอยู่ในปัจจุบันนี้

เรื่องราวและพฤติกรรมต่างๆ ของนักการเมืองและพรรคการเมืองในปัจจุบันนี้ จึงจะมีพฤติกรรมคือการกระทำกันเป็นแบบอย่างมาจนถึงทุกวันนี้มี 3 ประการคือ (1) การแย่งอำนาจซึ่งกันและกัน (2) การฆ่าและการทำลายกันเท่าที่จะสามารถทำได้ (3) การคอร์รัปชันและหาวิธีคอร์รัปชัน

จากปี 2475 มาถึงปัจจุบันนี้ เราได้ใช้คำว่าระบอบประชาธิปไตยปกครองประเทศตลอดมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองไทยจะไม่มีอะไรที่ยืนยันว่าเราจะใช้ระบอบประชาธิปไตยหรือนำประชาธิปไตยมาใช้กันจริง แต่ในความจริงมันไม่เคยมี

แต่สิ่งที่มันมีจนกลายเป็นวัฒนธรรมในทางการเมืองของเมืองไทยนั้นล้วนขึ้นอยู่กับ การโกหกหลอกลวง การตระบัดสัตย์ การโลภโมโทสัน การปล้นสะดม และการทำลายคนอื่นเท่าที่จะมีโอกาส วัฒนธรรมอันชั่วช้านี้ได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากการปฏิวัติปี 2475 การพยายามกำจัดศัตรูทางการเมืองหรือคนที่ไม่เห็นด้วยเกิดขึ้นเป็นลำดับ การคอร์รัปชันนั้นเริ่มตั้งแต่คณะรัฐบาลเป็นต้นไป ร่วมกันทำอย่างหน้าตาเฉยและแย่งกันในระหว่างผู้มีอำนาจในยุคนั้น เช่น การออกกฎหมายโอนที่ดินของพระคลังข้างที่หรือที่ดินของพระมหากษัตริย์มาอยู่ใต้อำนาจของกระทรวงการคลังซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลจะนำไปจัดสรรให้แก่คณะรัฐมนตรีได้อย่างไม่มีความผิดหรือเป็นการปล้นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์โดยใช้อำนาจของคณะปฏิวัติ

นักการเมืองที่ไม่เห็นด้วยอย่างนายเบี้ยง ไชยการ ส.ส.อุบลราชธานีถูกอุ้มไปโยนลงน้ำ ขุนนางทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ที่ไม่เออออห่อหมกหรือไม่เลียตีนเลียมือก็จะถูกกำจัดทั้งในรูปฆ่าทิ้งหรือเก็บเอาไปขังไว้ในตะรางไม่ให้ผุดให้เกิดเพราะไม่เห็นด้วยกับการกินบ้านกินเมืองของคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองในยุคนั้น ซึ่งมี ม.จ.บวรเดชเป็นหัวหน้าที่รู้จักกันในนามกบฏบวรเดช

จากนั้นความยุ่งยากที่เกิดจากการหวงแหน และแย่งชิงผลประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนก็หนักมือยิ่งขึ้น คนไทยที่รักบ้านรักเมืองก็ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนไปตามบุญตามกรรม ที่พอมีโชคดีก็รอดมาได้ ตลอดเวลา 60 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ประเทศถูกสร้างขึ้นมาจากซากเดนของการคอร์รัปชัน การแย่งชิงอำนาจ การโกหกของประชาธิปไตยทั้งสิ้น จะเว้นบ้างก็เกิดขึ้นในบางระยะที่ปัญหาภายนอกประเทศเข้ามาแทรกเท่านั้น

คนไทยที่มีความสำนึกในความเป็นเจ้าของบ้านเมืองอย่างคนรุ่น 14 ตุลาฯ ซึ่งตอนนี้มาเป็นนักขายตัวชั้นนำของพวกทรราชเสียเป็นส่วนมาก ที่ยังคงต่อสู้อยู่ก็สู้ต่อไปตามแนวถนัดและโอกาส ซึ่งใครจะรอดหรือไม่รอดก็ยังไม่มีใครทราบได้

แต่ที่สรุปได้แน่นอนเมื่อมาถึงวันนี้เมืองไทยก็ย่อยยับลงไปมากแล้ว เพราะการเมืองและนักการเมืองที่ชั่วชาติของเรา

รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยของเรายังคงกินต่อและปล้นชาติต่อไปโดยไม่กังวลสนใจใดๆ กับปัญหาของชาติ

รายงานชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองขณะนี้ชื่อ "รากเหง้าของปัญหา-การถ่ายโอนการศึกษาให้ อปท." จากมหาวิทยาลัยทักษิณศึกษา จังหวัดยะลาดูเหมือนจะเป็นนักวิจัยกลุ่มหนึ่งที่สรุปไว้อย่างถูกต้องว่าการพยายามใช้การศึกษาของชาติเป็นเครื่องมือทำมาหากินขั้นสุดท้ายในระบอบประชาธิปไตยนี้ กล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า "แม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะประสบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายแบบประชานิยม "ลดแลกแจกแถม" ตามยุทธศาสตร์การนำแผนการตลาดมาใช้กับการบริหารบ้านเมือง จนแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นภารกิจของพรรคการเมืองอันไหนเป็นภารกิจของรัฐบาล และอันไหนเป็นธุรกิจครอบครัว-วงศาคณาญาติ

แต่รัฐบาลนี้ก็ประสบความล้มเหลวในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษา การแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ฉบับที่ดีที่สุดที่ประเทศนี้เคยมีมา

ดังนั้น ปัญหาความขัดแย้งเรื่องการถ่ายโอนอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเพียงปรากฏการณ์หนึ่งที่สะท้อนธาตุแท้ทางการเมืองที่ยังเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า-คับแคบ ยังไม่พัฒนาไปสู่การเมืองแบบมีส่วนร่วมตามเจตนาของรัฐธรรมนูญ" (มติชน 8 ธันวาคม 2548)

แน่นอน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เป็นต้นมา มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากแบบแผนที่ทำกันมา อาจจะแตกต่างกันตรงที่ความประณีตและค่อนข้างหยาบในการคอร์รัปชันเท่านั้น แต่โดยสรุปแล้วการปกครองระบอบประชาธิปไตยของเราก็จบลงที่การปล้นชาติ โกหกประชาชนเจ้าของชาติกันตามปกติ

เพื่อไม่ให้เข้าใจว่าผมมองคนในแง่ร้ายหรือชอบการใส่ไข่ใส่ความคนอื่นเล่นเพื่อให้เสียหาย ผมอยากจะสรุปให้เห็นว่ามาถึงยุคนี้ การคอร์รัปชันก็ยังทำกันอยู่เหมือนเมื่อ 60 ปีที่แล้วมา โดยผมจะขอคัดลอกข้อความที่ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญท่านหนึ่งที่ได้กล่าวในวันเป็นประธานมอบรางวัลข่าวทุจริตยอดเยี่ยมประจำปี 2548 เมื่อพูดถึงว่ามรดกถาวรของชาติไทยคือการคอร์รัปชันนั้นว่า

"สังคมอื่นมีบริษัทธุรกิจเป็นมาเฟีย ทำธุรกิจรวมกันเป็นทีมเพื่อประโยชน์ร่วมกัน แต่สังคมไทยโกงกันทั้งครอบครัว ธนกิจการเมืองเป็นมาตรฐานของสังคมแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างเมื่อผมเป็นหนุ่มๆ รับไม่ได้ แต่ปัจจุบันสังคมไทยรับได้ทุกอย่าง พูดภาษาชาวบ้านเรียกว่าหน้าด้านเหลือเกิน แล้วเวลานี้ไม่มีละอายใจ ไม่รู้ผิด ไม่รู้มิชอบ ไม่ใช่เงินคืองานบันดาลสุข กลายเป็นเงินคือความสุข กลายเป็นสิ่งซึ่งทุกคนวิ่งเข้าหาหมดทั้งคนดี คนไม่ดี คนตั้งใจดี ตั้งใจไม่ดี วิ่งเขาหาศูนย์อำนาจ ศูนย์การเงิน หารู้ไม่ว่า วันหนึ่งกำลังวิ่งเข้าหาศูนย์ความหายนะ เมื่อถึงตอนนั้นสังคมนี้จะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย" (อานันท์ฉะ "ระบบทักษิณ" งาบทั้งครอบครัว "ผู้จัดการรายวัน" 9 ธันวาคม 2548)

เพราะฉะนั้น เกิดมาเป็นคนไทยเราไม่ต้องหวังอะไรมากในยุคที่การเมืองยังเลวตามปกติ
กำลังโหลดความคิดเห็น