ผมอยากเขียนเรื่อง กฟผ.ต่อ เพราะเห็นว่าในยามนี้บ้านเมืองเรามักไม่ชอบพูดคุยกันด้วยเหตุผล หากใครมีความเห็นไม่ตรงกันก็ใช้วิธีประณามกัน ผมเองก็ถูกต่อว่าในสิ่งที่ไม่เป็นจริงเยอะแยะ โดยเฉพาะจากพวกนักการเมืองที่สอบตกแล้วมีวิธีหาเสียงง่ายๆ ด้วยการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ บางคนแทนที่จะมาโต้กันด้วยเหตุผลก็ออกมาด่าลูกเดียว
ผมขอบอกพวกเปรตๆ อีกครั้งว่า ค่าตอบแทนผมที่ได้จาก กฟผ.นั้น ได้เดือนละหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยบาทครับ และผมไม่มีส่วนที่จะได้รับหุ้นเลยแม้แต่หุ้นเดียว นอกจากนั้น กฟผ.มีรถประจำตำแหน่งให้ผมก็ไม่ได้ใช้เลยครับ เขาจะซื้อรถใหม่ให้ผมก็ไม่เอา
ถามว่า ผมเคยคิดจะลาออกหรือไม่ คำตอบคือ เคยครับ แต่ไม่ใช่เวลานี้ ตอนที่ กฟผ.ยังไม่ยอมเปิดเขื่อนปากมูล ผมได้แจ้งกับผู้ว่าฯ กฟผ.ว่า หาก กฟผ.ไม่เปิดเขื่อนภายในเวลา 10.00 น. ของวันนั้น ผมจะลาออก
เมื่อ รมต.วิเศษ มาเป็น รมต.กระทรวงพลังงาน ผมได้บอกว่าหากจะเปลี่ยนประธานฯ ก็ได้ แต่ รมต.ขอว่าให้อยู่ไปก่อน ดังนั้นเมื่อจบเรื่องไม่ว่า กฟผ.จะกระจายหุ้นได้หรือไม่ได้ก็ตาม ผมก็จะลาออกแน่ๆ ครับ แต่ไม่ใช่เวลานี้
เรื่อง กฟผ.นี้ ผมไม่ได้ต่อว่าศาลปกครอง แต่ให้ความเห็นทางวิชาการ พวกสติปัญญาน้อยฟังไม่รู้เรื่องก็โพสต์เข้าไปด่าในเว็บน่าสมเพชเวทนามากจริงๆ เพราะการด่านั้นใครๆ ก็ด่าได้
ข้อติงของผมก็คือ การยับยั้งการดำเนินงานของ กฟผ.นั้น หากจะใช้ข้ออ้างเรื่องพระราชกฤษฎีกา ก็ควรจะไปร้องศาลปกครอง ก่อนที่กฟผ.จะได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนได้ ไม่ใช่มาทำตอนที่มีการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ จนมีการออกไปทำการเสนอขายหุ้นแล้ว ดังนั้นในด้านเงื่อนเวลาผมก็เห็นว่าไม่ถูก เพราะเป็นการขัดขวางสิทธิของบริษัทมหาชนที่จะดำเนินการตามกฎกติกาของตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับเรื่องผลเสียหายนั้น ผมเห็นว่าพูดกันเถียงกันจนเหนื่อยก็ไม่รู้ใครถูกใครผิด เพราะไม่มีกรณีที่เห็นความเสียหายอย่างเป็นรูปธรรม
บ้านเมืองเราจะเป็นประชาธิปไตยได้นั้น คนจะต้องมีข้อมูลข่าวสารมากๆ ฟังความคิดเห็นกันแยะๆ ยอมรับความเห็นของผู้ซึ่งคิดแตกต่างไปจากเรา แต่ก็นั่นแหละการแสดงความเห็นอย่างเถื่อนๆ ถ่อยๆ ย่อมมีเป็นธรรมดา บางคนขี้ขลาดแม้แต่จะเปิดเผยตัว ชื่อตนเอง ใช้นามแฝง เขียนบทความแล้วลงท้ายแช่งผมก็มี อ่านแล้วก็สงสารที่คนมีอุปนิสัยต่ำทรามแบบนี้ สามารถสะเออะมาใช้หน้าหนงัสือพิมพ์ระบายความเป็นไพร่สถุลออกมาได้
ความถ่อยทางความเห็นเช่นนี้ ไม่เป็นผลดีสำหรับระบอบประชาธิปไตยบ้านเราเลย
อีกพวกหนึ่งคือ พวกที่คิดว่า คนเราต้องถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงจะเป็นคนดี คนไหนเป็นกลางๆ พยายามเสนอข้อมูลความเห็นเป็นสองทาง ก็หาว่าดูทิศทางลมบ้างล่ะ เป็นนกสองหัวบ้างล่ะ
ที่ผมเขียนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อสื่อสารกับลูกศิษย์เก่าๆ และคนทั่วไปที่สนใจการเมือง ผมคิดว่าแม้ผมจะไม่ได้เป็นอาจารย์แล้ว แต่ก็สามารถมีความเห็นทางสาธารณะได้ การที่ทักษิณจะชอบจะเกลียดผมนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะสนใจ และการเป็นกรรมการต่างๆ นั้น ใช่ว่าจะทำให้ผมดีขึ้นมีชื่อเสียงหรือร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นมา เพราะทุกวันนี้ ผมก็มีงานที่ชอบทำอยู่แล้ว ชีวิตก็สุขสบายดี แม้จะไม่รวยมากเท่าทักษิณ แต่ก็แฮปปี้ดี
กรณีทักษิณกับสนธินั้น ทำให้เรามีการเรียนรู้ และปรากฏการณ์นี้น่าสนใจสำหรับนักรัฐศาสตร์ การเมืองไทยนั้นไม่เหมือนประเทศอื่น จะเหมือนกันก็ตรงที่รัฐบาลมักเป็นฝ่ายแพ้เปรียบ แม้จะมีอำนาจ แต่ก็จะถูกหาว่าใช้อำนาจมากเกินเหตุ ในฐานะอาจารย์เก่าวิชารัฐศาสตร์ ผมเห็นว่าคนไทยเรามีข้อขัดแย้งกันอยู่ในตัวคือ ไม่ต้องการให้รัฐบาลมีอำนาจมาก แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้รัฐมีอำนาจมีบทบาทสูงๆ ระบอบประชาธิปไตยมีแต่จะสร้างตัวละลายอำนาจรัฐด้วยวิธีการต่างๆ
สำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้น การมีระบบสหภาพจัดเป็นระบบตัวแทน แต่การให้พนักงานได้ถือหุ้นด้วยเท่ากับเป็นระบบเข้ามีส่วนร่วมโดยตรง ผู้ถือหุ้นสามารถทำอะไรได้มากกว่าสหภาพ ดังนั้นในการที่พนักงานได้หุ้น จึงมิใช่การให้การตอบแทนด้านตัวเงิน แต่เป็นการสร้างและพัฒนารัฐวิสาหกิจให้ยกระดับการมีส่วนร่วมของพนักงานไปเหมือนอย่างบริษัทเอกชนหลายแห่งเวลานี้ ก็นิยมการให้ลูกจ้างเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นด้วย
เรื่อง กฟผ.จะลงเอยอย่างไรก็ตาม ผมก็จะไม่เป็นประธานบอร์ดอีกแล้ว แต่ผมดีใจที่อย่างน้อย ผมได้ทำให้การปรับเปลี่ยนองค์กรเป็นองค์กรที่เปิดมากขึ้น เพราะเมื่อเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ข้อมูลทุกอย่างก็โปร่งใส มีการตรวจสอบหลายระดับ
ที่สำคัญก็คือ ผมได้มีส่วนทำให้อำนาจรัฐที่ กฟผ.เคยมีได้กลับคืนไปเป็นของรัฐ กฟผ.ไม่ใช่ผู้วางกติกา ผู้ปฏิบัติและผู้ตัดสินการอุทธรณ์อีกต่อไป อำนาจรัฐไม่ได้ถูกโอนถ่ายไปให้กับบริษัท กฟผ.ที่เป็นบริษัทมหาชน
ที่จิตใจผมชัดเจนก็เพราะผมไม่ได้ทำให้ กฟผ.ต้องตกเป็นของต่างชาติ แต่มีส่วนในการกำหนดเงื่อนไขว่าหุ้นจะขายเพียงร้อยละ 25 และในร้อยละ 25 นั้น ต่างชาติจะซื้อเกิน 30% ไม่ได้ ในการกระจายหุ้นก็จะให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้ซื้อหุ้นด้วย และไม่มีการให้หุ้นแก่ผู้มีอุปการคุณ
กรรมการ กฟผ.ทุกคนไม่มีสิทธิได้หุ้นแม้แต่หุ้นเดียว และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็สบายใจ ผมอายุ 60 กว่าแล้ว เพื่อนๆ ผู้หวังดีบอกว่า อย่าไปช่วยทักษิณเลย จะเสียคนเมื่อแก่
ผมไม่ได้คิดว่าผมช่วยทักษิณ และการที่เราจะเสียคนหรือไม่นั้น อยู่ที่ความสำนึก และพฤติกรรมของตัวเราเอง ผมถือคติมานานว่า คนเราถ้าไปทำงานที่เป็นงานสาธารณะก็เหมือนกับคนอยู่กลางแจ้ง ถูกแดด ถูกฝนเป็นธรรมดา ถ้าเราแน่จริง คือ รู้ว่าเราเป็นอย่างไรแล้ว ก็จะไม่หวั่นไหว หากไม่ยอมถูกเข้าใจผิดเสียเลย ก็อย่าทำอะไรเสียดีกว่า
ผมบอกเพื่อนๆ ว่า เวลานี้ผมอายุมากขึ้น ช่วงหนุ่มๆ และกลางคนไม่ได้ทำงานแบบนี้ เพราะมีรัฐบาลอีกแบบหนึ่ง หากรัฐบาลนี้มีแนวโน้มจะเป็นเผด็จการ ผมก็คงอดไม่ได้
เวลานี้บ้านเมืองเราต่างกับสมัยก่อน แต่ก่อนมี คณะ ผู้ใช้อำนาจเด็ดขาด เวลานี้เรามีประชาธิปไตยที่ ผู้นำคนเดียว มีอำนาจเด็ดขาด เราจะทำอย่างไร ปรากฏการณ์สนธิ บอกเราว่า สังคมไทยไม่นิยมการมีอำนาจล้นพ้น และสังคมไทยมีความคาดหวังสูงกับผู้นำประเทศ ว่าจะต้องมีจริยธรรมสูงเป็นพิเศษ และไม่ใช้ตำแหน่งหรือบารมีเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง โดยเฉพาะญาติพี่น้อง
ลูกชายผม นายเพชร พลอยถูกฟ้องไปด้วย เพราะเป็นกรรมการบริษัท ไทยเดย์ ดอทคอม ลูกชายผมและผมคงไม่มีเงินไปให้ทักษิณ หากศาลตัดสินให้ต้องเสียค่าที่เขาเรียกร้อง
เพชรบอกว่า มีหมาอยู่สี่ตัว กลัวเขาจะยึดไปขายทอดตลาด เพชรเลี้ยงหมาและรักหมามาก กลัวอยู่อย่างเดียว
ฉบับนี้ผมเขียนสวิงสวายไปหน่อย เพราะนักเรียนประจำก็มีนิสัยเฮี้ยวๆ แบบนี้ละครับ มีหรือที่จะยอมให้คนด่าฟรี โดยเฉพาะคนซึ่งโดยปกติไม่มีสิทธิมาด่าเราอยู่แล้ว แต่เนื่องจากผมเป็นประธานบอร์ด กฟผ.ก็ต้องโดนธรรมดา ผมได้ตอบโต้เฉพาะคนที่ถ่อยๆ จริงๆ ท่านที่วิจารณ์และตักเตือนผมแบบผู้ดี (คือผู้ประพฤติดี) ผมขอขอบคุณครับ อ่านดูแล้วท่านหวังดีจริงๆ
ส่วนบางคนซึ่งผมรู้จักดี แต่โผล่หัวออกมานั้นเข้าใจครับ เพราะตอนหนุ่มๆ เคยเป็นว้ากเกอร์มาก่อน เลยติดนิสัยมา ไม่เป็นไรครับ
พวกที่ด่าผมอยากให้ไปด่าคนอื่นที่มีพฤติกรรมหาผลประโยชน์โกงชาติบ้านเมือง จะดีกว่า
ว่างๆ ลองระลึกดูบ้างว่า ในชีวิตตัวเองเคยทำอะไรดีๆ เพื่อประเทศชาติบ้าง อย่าเอาแต่ว่าผู้อื่นจะขายชาติ หรือทำไม่ดีเลยครับ
ผมขอบอกพวกเปรตๆ อีกครั้งว่า ค่าตอบแทนผมที่ได้จาก กฟผ.นั้น ได้เดือนละหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยบาทครับ และผมไม่มีส่วนที่จะได้รับหุ้นเลยแม้แต่หุ้นเดียว นอกจากนั้น กฟผ.มีรถประจำตำแหน่งให้ผมก็ไม่ได้ใช้เลยครับ เขาจะซื้อรถใหม่ให้ผมก็ไม่เอา
ถามว่า ผมเคยคิดจะลาออกหรือไม่ คำตอบคือ เคยครับ แต่ไม่ใช่เวลานี้ ตอนที่ กฟผ.ยังไม่ยอมเปิดเขื่อนปากมูล ผมได้แจ้งกับผู้ว่าฯ กฟผ.ว่า หาก กฟผ.ไม่เปิดเขื่อนภายในเวลา 10.00 น. ของวันนั้น ผมจะลาออก
เมื่อ รมต.วิเศษ มาเป็น รมต.กระทรวงพลังงาน ผมได้บอกว่าหากจะเปลี่ยนประธานฯ ก็ได้ แต่ รมต.ขอว่าให้อยู่ไปก่อน ดังนั้นเมื่อจบเรื่องไม่ว่า กฟผ.จะกระจายหุ้นได้หรือไม่ได้ก็ตาม ผมก็จะลาออกแน่ๆ ครับ แต่ไม่ใช่เวลานี้
เรื่อง กฟผ.นี้ ผมไม่ได้ต่อว่าศาลปกครอง แต่ให้ความเห็นทางวิชาการ พวกสติปัญญาน้อยฟังไม่รู้เรื่องก็โพสต์เข้าไปด่าในเว็บน่าสมเพชเวทนามากจริงๆ เพราะการด่านั้นใครๆ ก็ด่าได้
ข้อติงของผมก็คือ การยับยั้งการดำเนินงานของ กฟผ.นั้น หากจะใช้ข้ออ้างเรื่องพระราชกฤษฎีกา ก็ควรจะไปร้องศาลปกครอง ก่อนที่กฟผ.จะได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนได้ ไม่ใช่มาทำตอนที่มีการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ จนมีการออกไปทำการเสนอขายหุ้นแล้ว ดังนั้นในด้านเงื่อนเวลาผมก็เห็นว่าไม่ถูก เพราะเป็นการขัดขวางสิทธิของบริษัทมหาชนที่จะดำเนินการตามกฎกติกาของตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับเรื่องผลเสียหายนั้น ผมเห็นว่าพูดกันเถียงกันจนเหนื่อยก็ไม่รู้ใครถูกใครผิด เพราะไม่มีกรณีที่เห็นความเสียหายอย่างเป็นรูปธรรม
บ้านเมืองเราจะเป็นประชาธิปไตยได้นั้น คนจะต้องมีข้อมูลข่าวสารมากๆ ฟังความคิดเห็นกันแยะๆ ยอมรับความเห็นของผู้ซึ่งคิดแตกต่างไปจากเรา แต่ก็นั่นแหละการแสดงความเห็นอย่างเถื่อนๆ ถ่อยๆ ย่อมมีเป็นธรรมดา บางคนขี้ขลาดแม้แต่จะเปิดเผยตัว ชื่อตนเอง ใช้นามแฝง เขียนบทความแล้วลงท้ายแช่งผมก็มี อ่านแล้วก็สงสารที่คนมีอุปนิสัยต่ำทรามแบบนี้ สามารถสะเออะมาใช้หน้าหนงัสือพิมพ์ระบายความเป็นไพร่สถุลออกมาได้
ความถ่อยทางความเห็นเช่นนี้ ไม่เป็นผลดีสำหรับระบอบประชาธิปไตยบ้านเราเลย
อีกพวกหนึ่งคือ พวกที่คิดว่า คนเราต้องถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงจะเป็นคนดี คนไหนเป็นกลางๆ พยายามเสนอข้อมูลความเห็นเป็นสองทาง ก็หาว่าดูทิศทางลมบ้างล่ะ เป็นนกสองหัวบ้างล่ะ
ที่ผมเขียนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อสื่อสารกับลูกศิษย์เก่าๆ และคนทั่วไปที่สนใจการเมือง ผมคิดว่าแม้ผมจะไม่ได้เป็นอาจารย์แล้ว แต่ก็สามารถมีความเห็นทางสาธารณะได้ การที่ทักษิณจะชอบจะเกลียดผมนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะสนใจ และการเป็นกรรมการต่างๆ นั้น ใช่ว่าจะทำให้ผมดีขึ้นมีชื่อเสียงหรือร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นมา เพราะทุกวันนี้ ผมก็มีงานที่ชอบทำอยู่แล้ว ชีวิตก็สุขสบายดี แม้จะไม่รวยมากเท่าทักษิณ แต่ก็แฮปปี้ดี
กรณีทักษิณกับสนธินั้น ทำให้เรามีการเรียนรู้ และปรากฏการณ์นี้น่าสนใจสำหรับนักรัฐศาสตร์ การเมืองไทยนั้นไม่เหมือนประเทศอื่น จะเหมือนกันก็ตรงที่รัฐบาลมักเป็นฝ่ายแพ้เปรียบ แม้จะมีอำนาจ แต่ก็จะถูกหาว่าใช้อำนาจมากเกินเหตุ ในฐานะอาจารย์เก่าวิชารัฐศาสตร์ ผมเห็นว่าคนไทยเรามีข้อขัดแย้งกันอยู่ในตัวคือ ไม่ต้องการให้รัฐบาลมีอำนาจมาก แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้รัฐมีอำนาจมีบทบาทสูงๆ ระบอบประชาธิปไตยมีแต่จะสร้างตัวละลายอำนาจรัฐด้วยวิธีการต่างๆ
สำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้น การมีระบบสหภาพจัดเป็นระบบตัวแทน แต่การให้พนักงานได้ถือหุ้นด้วยเท่ากับเป็นระบบเข้ามีส่วนร่วมโดยตรง ผู้ถือหุ้นสามารถทำอะไรได้มากกว่าสหภาพ ดังนั้นในการที่พนักงานได้หุ้น จึงมิใช่การให้การตอบแทนด้านตัวเงิน แต่เป็นการสร้างและพัฒนารัฐวิสาหกิจให้ยกระดับการมีส่วนร่วมของพนักงานไปเหมือนอย่างบริษัทเอกชนหลายแห่งเวลานี้ ก็นิยมการให้ลูกจ้างเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นด้วย
เรื่อง กฟผ.จะลงเอยอย่างไรก็ตาม ผมก็จะไม่เป็นประธานบอร์ดอีกแล้ว แต่ผมดีใจที่อย่างน้อย ผมได้ทำให้การปรับเปลี่ยนองค์กรเป็นองค์กรที่เปิดมากขึ้น เพราะเมื่อเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ข้อมูลทุกอย่างก็โปร่งใส มีการตรวจสอบหลายระดับ
ที่สำคัญก็คือ ผมได้มีส่วนทำให้อำนาจรัฐที่ กฟผ.เคยมีได้กลับคืนไปเป็นของรัฐ กฟผ.ไม่ใช่ผู้วางกติกา ผู้ปฏิบัติและผู้ตัดสินการอุทธรณ์อีกต่อไป อำนาจรัฐไม่ได้ถูกโอนถ่ายไปให้กับบริษัท กฟผ.ที่เป็นบริษัทมหาชน
ที่จิตใจผมชัดเจนก็เพราะผมไม่ได้ทำให้ กฟผ.ต้องตกเป็นของต่างชาติ แต่มีส่วนในการกำหนดเงื่อนไขว่าหุ้นจะขายเพียงร้อยละ 25 และในร้อยละ 25 นั้น ต่างชาติจะซื้อเกิน 30% ไม่ได้ ในการกระจายหุ้นก็จะให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้ซื้อหุ้นด้วย และไม่มีการให้หุ้นแก่ผู้มีอุปการคุณ
กรรมการ กฟผ.ทุกคนไม่มีสิทธิได้หุ้นแม้แต่หุ้นเดียว และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็สบายใจ ผมอายุ 60 กว่าแล้ว เพื่อนๆ ผู้หวังดีบอกว่า อย่าไปช่วยทักษิณเลย จะเสียคนเมื่อแก่
ผมไม่ได้คิดว่าผมช่วยทักษิณ และการที่เราจะเสียคนหรือไม่นั้น อยู่ที่ความสำนึก และพฤติกรรมของตัวเราเอง ผมถือคติมานานว่า คนเราถ้าไปทำงานที่เป็นงานสาธารณะก็เหมือนกับคนอยู่กลางแจ้ง ถูกแดด ถูกฝนเป็นธรรมดา ถ้าเราแน่จริง คือ รู้ว่าเราเป็นอย่างไรแล้ว ก็จะไม่หวั่นไหว หากไม่ยอมถูกเข้าใจผิดเสียเลย ก็อย่าทำอะไรเสียดีกว่า
ผมบอกเพื่อนๆ ว่า เวลานี้ผมอายุมากขึ้น ช่วงหนุ่มๆ และกลางคนไม่ได้ทำงานแบบนี้ เพราะมีรัฐบาลอีกแบบหนึ่ง หากรัฐบาลนี้มีแนวโน้มจะเป็นเผด็จการ ผมก็คงอดไม่ได้
เวลานี้บ้านเมืองเราต่างกับสมัยก่อน แต่ก่อนมี คณะ ผู้ใช้อำนาจเด็ดขาด เวลานี้เรามีประชาธิปไตยที่ ผู้นำคนเดียว มีอำนาจเด็ดขาด เราจะทำอย่างไร ปรากฏการณ์สนธิ บอกเราว่า สังคมไทยไม่นิยมการมีอำนาจล้นพ้น และสังคมไทยมีความคาดหวังสูงกับผู้นำประเทศ ว่าจะต้องมีจริยธรรมสูงเป็นพิเศษ และไม่ใช้ตำแหน่งหรือบารมีเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง โดยเฉพาะญาติพี่น้อง
ลูกชายผม นายเพชร พลอยถูกฟ้องไปด้วย เพราะเป็นกรรมการบริษัท ไทยเดย์ ดอทคอม ลูกชายผมและผมคงไม่มีเงินไปให้ทักษิณ หากศาลตัดสินให้ต้องเสียค่าที่เขาเรียกร้อง
เพชรบอกว่า มีหมาอยู่สี่ตัว กลัวเขาจะยึดไปขายทอดตลาด เพชรเลี้ยงหมาและรักหมามาก กลัวอยู่อย่างเดียว
ฉบับนี้ผมเขียนสวิงสวายไปหน่อย เพราะนักเรียนประจำก็มีนิสัยเฮี้ยวๆ แบบนี้ละครับ มีหรือที่จะยอมให้คนด่าฟรี โดยเฉพาะคนซึ่งโดยปกติไม่มีสิทธิมาด่าเราอยู่แล้ว แต่เนื่องจากผมเป็นประธานบอร์ด กฟผ.ก็ต้องโดนธรรมดา ผมได้ตอบโต้เฉพาะคนที่ถ่อยๆ จริงๆ ท่านที่วิจารณ์และตักเตือนผมแบบผู้ดี (คือผู้ประพฤติดี) ผมขอขอบคุณครับ อ่านดูแล้วท่านหวังดีจริงๆ
ส่วนบางคนซึ่งผมรู้จักดี แต่โผล่หัวออกมานั้นเข้าใจครับ เพราะตอนหนุ่มๆ เคยเป็นว้ากเกอร์มาก่อน เลยติดนิสัยมา ไม่เป็นไรครับ
พวกที่ด่าผมอยากให้ไปด่าคนอื่นที่มีพฤติกรรมหาผลประโยชน์โกงชาติบ้านเมือง จะดีกว่า
ว่างๆ ลองระลึกดูบ้างว่า ในชีวิตตัวเองเคยทำอะไรดีๆ เพื่อประเทศชาติบ้าง อย่าเอาแต่ว่าผู้อื่นจะขายชาติ หรือทำไม่ดีเลยครับ