xs
xsm
sm
md
lg

สุนทรียภาพการเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

สภาวะที่กำลังเป็นไปในประเทศไทย กำลังส่งสัญญาณชัดเจนยิ่งว่า การเมืองไทยถึงจุดที่จะต้อง "แปรเปลี่ยน" จากการเมืองอัปลักษณ์ ไปเป็นการเมืองสุนทรียภาพ เพื่อเบิกทางไปสู่อนาคตที่ดีกว่า ที่ประเทศไทยและประชาชนคนไทยควรเป็นควรมี

ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน อารยธรรมแห่งสุวรรณภูมิ ที่ครอบคลุมไปทั่วถิ่นแหลมทอง ได้ถักทอชีวิตวัฒนธรรมบนฐานแห่งปัญญา "เปิดกว้าง" ที่อ้ารับอารยธรรมจากทุกทิศทาง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นไทย พร้อมเสมอในการปรับเปลี่ยนตัวเอง ให้สอดรับกับกระบวนการขับเคลื่อนของอารยธรรมโลก

การมองโลกในรูปของกระแส และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแส เป็นบุคลิกภาพหรือลักษณะนิสัยพื้นฐานของคนไทย โดยไม่คำนึงว่าเขาเหล่านั้นจะมีรากเหง้าทางเชื้อชาติมาจากทางไหน เมื่อใด

โดยภาพรวม สังคมไทย ประเทศไทย ประชาชนชาวไทย จึงไม่เคยหลุดจากกระแสใหญ่กระบวนการพัฒนาของอารยธรรมโลก แม้ว่าจะไม่ค่อยได้แสดงบทบาทเป็น "ผู้นำ" ก็ตาม

มาบัดนี้ กระแสใหญ่อารยธรรมโลก กำลังแสดงตนออกมาในรูปของพัฒนาทางการเมืองการปกครองที่มุ่งสนองตอบความเรียกร้องต้องการของประชาชน อันเนื่องจากความตื่นตัวของประชาชนทั่วโลก เห็นได้จากประเทศที่มีคณะผู้บริหาร โดยพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร เมื่อดำเนินการปฏิรูประบบ กลไก ต่างๆ ที่เอื้อต่อการพัฒนาพลังการผลิตยุคใหม่ ก็สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่พลังรวมของชาติ ยกระดับคุณภาพชีวิตของปวงประชามหาชนได้อย่างชัดเจน เป็นแบบอย่างของการพัฒนาประเทศในยุคโลกาภิวัตน์

กระบวนการลักษณะนี้ เริ่มปรากฏเป็นรูปร่างมาตั้งแต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการระเบิดใหญ่ของยุคความรู้และวิทยาการยุคใหม่ในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1980 มีประเทศต่างๆ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เลือกเดินในเส้นทางดังกล่าว ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ประเทศชาติ ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุข และมีโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ ในการเลือกวิถีดำเนินชีวิต สร้างความสมบูรณ์ให้แก่ชีวิต สามารถเชิดหน้าชูตาบนเวทีโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ประเทศไทยเราไม่ได้ก้าวมาตามเส้นทางพัฒนาการทางการเมืองที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนนั้นได้ในทันที เนื่องด้วยสาเหตุหลายๆ ประการ ทั้งจากภายนอกและภายใน กำหนดให้การเมืองของไทยวนเวียนอยู่ในวังวนแห่งความชั่วร้ายอัปลักษณ์อย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ส่งผลให้ประเทศไทยไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ยาก ทั้งทางวัตถุและจิตใจ

เมื่อถึงวันนี้ วันที่ได้มีสัญญาอย่างชัดแจ้งแล้วว่า การเมืองไทยได้ก้าวมาถึงจุดที่จะต้อง "แปรเปลี่ยน" ครั้งใหญ่ จากการเมืองของคนส่วนน้อยมาเป็นการเมืองของคนส่วนใหญ่ หรือการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ โดยกลุ่มผลประโยชน์ เพื่อกลุ่มผลประโยชน์เป็นสำคัญ มาเป็นการเมืองของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชนแสดงตนเป็นเจ้าภาพอย่างแท้จริง

ที่กล่าวเช่นนี้ มิใช่การ "ฟันธง" เพราะความอยาก หรือต้องการส่วนตัว แต่เพราะปรากฏการณ์ต่างๆ ที่แสดงออก ได้สะท้อนถึงกระบวนการหรือ "กฎเกณฑ์" พัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เช่น ความศักดิ์สิทธิ์ของเสรีภาพสื่อมวลชน กระบวนการ "รู้แจ้ง" ของประชาชน ที่ก่อรูปเป็นขบวนการประชาชนรู้แจ้งได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กลุ่มกุมอำนาจตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยว ไม่อาจฝืนกระแสความเรียกร้องต้องการของประชาชนได้ รวมถึงการ "มองเห็น" "เข้าใจ" และ "ยอมรับ" ในสภาวธรรมแห่งการขับเคลื่อนของสังคมโลกและสังคมไทย จากบุคคลทุกระดับชั้นของสังคมไทย

เหนือสิ่งอื่นใด คือความปรารถนาดีที่มีต่อประเทศชาติและประชาชนคนไทยทุกระดับชั้น อันเป็น "จุดร่วมใหญ่" ผนึกพลังสามัคคีเข้าด้วยกัน ร่วมกันดำเนินภารกิจขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่อนาคต

มองด้วยสายตาประวัติศาสตร์ แบบ "หาสัจจะจากความเป็นจริง" ปรากฏการณ์ที่ว่า มิใช่จู่ๆ ก็จะเกิดขึ้น แต่เป็นผลจากการทำงานของเหตุปัจจัยน้อยใหญ่ทั้งภายในและภายนอก ที่แสดงบทบาทของตนอยู่ตลอดเวลาตามสภาวะและเงื่อนไขที่เปลี่ยนไป

แต่ที่สำคัญ เป็นผลจากกระบวนการสะสมทางปริมาณของพัฒนาทางการเมืองของภาคประชาชนในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ในรูปของการเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจเผด็จการระลอกแล้วระลอกเล่า นับตั้งแต่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475

กว่าครึ่งศตวรรษแล้ว การเมืองประเทศไทยต้องกลายเป็น "ของเล่น" วนเวียนไปมาในอุ้งมือของกลุ่มอำนาจอิทธิพล จากกลุ่มอำนาจขุนนาง มาถึงกลุ่มอำนาจทุน ในท่ามกลางกระบวนการพัฒนาเติบใหญ่ของการเมืองภาคประชาชน การดำเนินแนวนโยบายทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ล้วนแยกไม่ออกจากการแสวงประโยชน์ให้แก่กลุ่มอำนาจอิทธิพล ผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ทำให้เกิดกระบวนการโกงกินซึมซ่านอยู่ในทุกองคาพยพของกลไกรัฐ ดุจพยาธิกาฝาก คอยดูดสูบเอาสิ่งหล่อเลี้ยงสังคมไปจนเกือบหมดสิ้น ประเทศจึงอ่อนเปลี้ย ประชาชนจึงตีบตัน

เงาทะมึนของกลุ่มอำนาจอิทธิพลเหล่านั้น ได้ทาบทับและปิดกั้นเส้นทางสู่อนาคตของประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด ยังผลให้กระบวนการพัฒนาประเทศและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชาวไทยโดยรวมดำเนินไปอย่างล่าช้า ขาดวิ่น และลุ่มๆ ดอนๆ

จึงเป็นเรื่องธรรมดา ในความรับรู้ของสังคมไทย ที่ผ่านมาการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ เป็นเรื่องของการ "เล่น" เป็นเรื่องของความ "สกปรก"

อารมณ์ร่วมของสังคมไทย จึงเป็นไปในทำนองเดียวกัน นึกถึงเรื่องการเมืองทีไร หาความสวยงามไม่ได้เลย ตรงกันข้าม กลับเห็นแต่ความอัปลักษณ์ น่ารังเกียจ เมื่อเห็นนักการเมืองทำแต่ในเรื่องที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่พรรคและพวกพ้อง

เผลอไม่ได้ ต้อง "กิน" ต้อง "ตัก" ต้อง "ตวง"

ณ วันนี้ สังคมไทยรับรู้กันทั่วไปแล้วว่า การเมืองที่ผ่านมาเป็นการเมืองของคนส่วนน้อย ของกลุ่มผลประโยชน์ไม่ใช่การเมืองของประชาชน ไม่ใช่การเมืองเพื่อประชาชน ไม่ใช่การเมืองที่ประชาชนแสดงตนเป็นเจ้าภาพอย่างแท้จริง

เป็นการเมืองจำกัดวง อยู่ในวงแคบๆ ของกลุ่มอำนาจอิทธิพล

รวมทั้งเห็นร่วมกันอีกว่า การเมืองเช่นนี้ มาบัดนี้ ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด ต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง ประชาชนชาวไทยอยู่ดีกินดี มีสุข จำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันขจัดออกไป

จะทำกันอย่างไร?

ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในเวลานี้ก็คือ ด้วยการคำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาวะเป็นจริงของประเทศไทยในบริบทของสังคมโลก และลักษณะนิสัยของคนไทย ดำเนินการขับเคลื่อนกระบวนการการเมืองภาคประชาชนให้เติบใหญ่อีกขั้นหนึ่ง ในรูปของขบวนการประชาชนรู้แจ้งและพรรคการเมืองประชาชนรู้แจ้ง

สภาวะสังคมไทยขณะนี้ มีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูป มากกว่าการใช้วิธีการรุนแรง เพราะบทเรียนที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า การใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหาไม่ได้ อีกทั้ง สังคมโลกวันนี้อยู่ในขั้นของการร่วมกันสร้างสรรค์สันติภาพและร่วมกันพัฒนา โดยการระดมความคิดปัญญาและใช้ประโยชน์วิทยาการสมัยใหม่ในระดับทั้งโลกทุกวิถีทาง เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของมวลมนุษยชาติไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

เป็นยุคคนไทยต้องใช้ปัญญาสูงสุดในการแก้ไขปัญหาของตน

ในสภาวะและลักษณะแห่งยุคสมัยเช่นนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุดของคนไทย ก็คือหันมาจับมือกัน รวมปัญญารู้แจ้งเป็นหนึ่งเดียว และมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ดำเนินการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงระบบ กลไก ต่างๆ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมือ (และแข่งขัน) กันของประเทศต่างๆทั้งโลก ดำเนินการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองทีละขั้นๆ ประชาชนชาวไทยอยู่ดีกินดีมีสุขถ้วนหน้า และยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

นี่คือความจริงที่คนไทยต้อง "รู้เท่าทัน" และต้องปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข เพื่อให้ประเทศไทยเราก้าวไปพร้อมๆ กับโลกที่เป็นจริง

โลกที่เป็นจริงเป็นอย่างไร?

ขอยกมาพูดอีกรอบ (และคงต้องพูดแล้วพูดอีก) ว่า โลกที่เป็นจริงก็คือ ความจริงที่สังคมโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไร้พรมแดน ในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ ทุกประเทศอยู่บนเส้นสตาร์ทเดียวกันในการที่จะใช้ความพยายามของตน คือคนในชาติ โดยเฉพาะรัฐบาลหรือพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล ดำเนินการพัฒนาตนเองไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง

ที่เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ในยุคสังคมไร้พรมแดน ในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์นี้ ปรากฏว่า ประเทศที่การเมืองดี มีรัฐบาล โดยพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน (ทั้งที่เป็นพรรคมาร์กซิสม์สังคมนิยมและพรรคลิเบอรัลเสรีนิยม) ใช้อำนาจบริหารประเทศ ประเทศชาติก็จะได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ประชาชนมีความอยู่ดีกินดีมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ เชิดหน้าชูตาได้อย่างสง่าผ่าเผยบนเวทีโลก

ตรงกันข้ามกับประเทศที่การเมืองเลว มีรัฐบาลโดยพรรคการเมืองหรือกลุ่มอำนาจอิทธิพลผูกขาดอำนาจบริหารประเทศ ใช้อำนาจอิทธิพลสองชั้นสามชั้นเป็นเครื่องมือ แสวงประโยชน์เข้าตัว ไม่ช้าไม่นาน ประเทศก็โทรม ประชาชนก็ทรุด เป็นสังคม "กลวง" ถมเท่าไรก็ไม่เต็ม ความล้าหลังยากจนกลายเป็น "โรคเรื้อรัง" ที่แก้ยาก และมองไม่เห็นทางแก้ แม้ว่ากลุ่มปกครองจะร่ำรวยระดับโลกก็ช่วยอะไรไม่ได้

ความจริงที่นำมาแสดงนี้ เป็นลักษณะร่วมกัน มีความเป็นแบบฉบับ มุ่งให้เห็นความแตกต่างของผลที่เกิดขึ้นจากการเมืองดีกับการเมืองเลว ในบริบทที่สังคมโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกประเทศอยู่บนเส้นสตาร์ทเดียวกัน สามารถสร้างความพร้อมให้แก่ตนเอง ในการใช้ประโยชน์เหตุปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่และกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งโลก

อีกนัยหนึ่ง ในสังคมโลกยุคปัจจุบัน การเมืองดีหรือเลว อันหมายถึงรัฐบาลโดยพรรคการเมืองหนึ่งใดใช้อำนาจบริหารประเทศเพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงของประเทศชาติและประชาชนหรือไม่ จึงกลายเป็น "เหตุปัจจัยแกน" หรือเหตุปัจจัยชี้ขาด ที่จะ "บันดาล" ให้ประเทศชาติและประชาชนเป็นไปอย่างไร

ความเข้าใจในเรื่องนี้สำคัญมาก ต่อการขับเคลื่อนการเมืองไทยจากมิติอัปลักษณ์ไปสู่มิติใหม่แห่งสุนทรียภาพ เพราะความเข้าใจในระดับ "รู้แจ้ง" ถึงกฎเกณฑ์หรือกระบวนการขับเคลื่อนที่เป็นแนวโน้มใหญ่ของสังคมไทย การเมืองไทย จะนำไปสู่การ "สว่างวาบ" ของปัญญา มองเห็นเส้นทางหรือ "มรรคา" ของการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาการเมืองไทย จากแบบเก่าไปสู่แบบใหม่ จากความอัปลักษณ์ไปสู่สุนทรียภาพ

ดังนั้น การสร้างความเข้าใจร่วมกันในเรื่องนี้ จึงเป็นความจำเป็นเบื้องต้น จากนั้นก็ร่วมด้วยช่วยกัน ขับเคลื่อนกระบวนการประชาชนรู้แจ้งพัฒนาขยายตัวไปทุกทิศทาง และทุกระดับชั้น สนับสนุนให้เกิดพรรคการเมืองประชาชนรู้แจ้งในเร็ววัน เพื่อกระตุ้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของการเมืองประเทศไทย ก้าวไปสู่การเมืองที่สร้างสรรค์ เกิดมรรคผลและประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

รวมทั้งกระตุ้นพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ยังลังเลอยู่ในระหว่างผลประโยชน์กลุ่มตนกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน สามารถก้าวข้ามมาสู่ครรลองของการเมืองยุคใหม่ได้ในเร็ววัน
กำลังโหลดความคิดเห็น